Kill the Dragons ตอนที่ 3 : เด็กพลังจิต (3)
“ย๊ากก!”
เด็กจีนพุ่งเข้าใส่ไซมอนเต็มแรง พลังจิตของไซมอนเองก็ยังไม่แข็งแกร่งพอจะใช้ในการต่อสู้ พวกเขาจึงสู้กันด้วยกำปั้นแทน
ยังไม่ทันจะเสียเลือดเสียเนื้อ ครูฝึกก็ถีบประตูเข้ามาดังปัง! มือข้างหนึ่งของเขาถือกระบอง อีกข้างจับหมวกไว้ไม่ให้ปลิวไปตามการเคลื่อนไหว “หยุดกัดกันได้แล้วไอ้พวกเด็กเวร ก้มลงเดี๋ยวนี้!”
ปั้ก! ปั้ก!
เสียงกระบองกระแทกดังสนั่นไปทั่วบริเวณ คนที่ตอบสนองช้ากว่าได้ลิ้มรสกระบองเข้าไปเต็ม ๆ มันทำจากวัสดุชนิดพิเศษที่ไม่ถึงกับทำให้กระดูกหัก แต่ก็แรงพอที่จะทำให้ช้ำเป็นจ้ำเป็นดวงได้
ครูฝึกจับเด็กทั้งสองแยกจากกันแล้วยืนคั่นระหว่างทั้งคู่
“มาวันแรกก็สู้กันแล้วหรอ” เขาตวาดเสียงลั่น “ไซมอน เดลล์ มีพลังแค่เป่าเทียนดับยังจะทำเป็นอวดเก่ง อย่าเหลิงให้มากนัก น้ำหน้าอย่างแกไม่มีอะไรให้อวดหรอกนอกจากความน่าอับอาย”
ไซมอนโดนครูฝึกหมายหัวแล้ว เขาโดนตีอีกครั้งแรงกว่าเดิม แม้จะไม่แสดงอาการ แต่ดวงตาของเขามีน้ำตาคลอเบ้า
เด็กทุกคนรู้ตัวได้ทันทีว่าศัตรูของพวกเขาไม่ใช่คนที่อยู่ข้าง ๆ แต่เป็นครูฝึกคนนั้นต่างหาก
ครูฝึกยังคงสาปส่งเด็ก ๆ ไม่หยุด ขณะเดียวกันก็รวบกระบองกลับมา
น่าตลกที่ความขัดแย้งระหว่างเด็ก ๆ เมื่อครู่จางหายไปแล้ว พวกเขากลับมาเหนียวแน่นอีกครั้งหลังจากที่มีศัตรูคนเดียวกัน
เสียงกระซิบกระซาบดังหึ่งไปทั่วแม้ว่าจะพวกเขาจะตั้งใจแอบคุยกันลับหลังอาจารย์
“อย่างที่คิดไว้ เด็กก็คือเด็ก”
ครูฝึกชำเลืองมองโดยรอบแล้วหัวเราะผ่านจมูก
ด้านหลังมีครูฝึกอีกจำนวนหนึ่งยืนดูสถานการณ์โดยรวม เขายิ้มพึงพอใจกับผลลัพธ์แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อสังเกตเห็นอีฮัน เขารีบชี้ให้ครูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ดู
“เด็กคนนั้นดูต่างจากคนอื่นเลยว่าไหม เขาสงบ ไม่ปริปากโวยวายเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะกระซิบคุยกับเพื่อนด้วยซ้ำ”
ครูฝึกอีกคนตอบปัด “คิดมากน่า เด็กวัยนี้ไม่มองโลกซับซ้อนนักหรอก”
อีฮันสังเกตรายละเอียดจนเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี พวกครูฝึกจับตามองพวกเขามาตลอด รอเวลาที่เริ่มต่อสู้ถึงค่อยเข้ามา
มันเป็นการจัดสถานการณ์ให้ทุกคนรวมกันเป็นหนึ่ง
อีฮันค่อย ๆ กระเถิบไปร่วมวงสนทนากับเพื่อนอย่างแนบเนียน แม้ว่าจะมองสถานการณ์ออกแต่เขาไม่อยากแสดงตัวให้โดดเด่นจนเกินไป เขายังไม่คุ้นเคยกับที่นี่มากพอที่จะทำอะไรผลีผลาม
***
อีฮันและเด็กคนอื่นมีเวลาสามสัปดาห์ที่จะทำความคุ้นเคยกับอาร์ค หลังจากนั้นพวกเขาจะได้เข้าเรียนอย่างจริงจัง
แต่ละชั้นปีที่อาร์คออกแบบไว้ให้เรียนเป็นเวลาหนึ่งปี แต่ในความเป็นจริงถ้าเด็กคนไหนผ่านเกณฑ์ของชั้นปีต่อไปก็จะได้เลื่อนชั้นทันที มีเพียงไม่กี่คนที่ต้องอยู่เรียนจนครบทั้งปี
“อย่างน้อยก็ได้อยู่ด้วยกันอีกสามสัปดาห์” เด็กหลายคนคิดแบบนั้น
พวกเขาทำความรู้จักและเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกมีการแบ่งแยกเชื้อชาติกันอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็เป็นแค่เด็กที่การปลูกฝังเรื่องเชื้อชาติยังไม่มากพอจะกีดกันความเป็นเพื่อน เมื่อเห็นโอกาสพวกเขาก็ไม่รีรอที่จะสร้างความสัมพันธ์โดยไม่แยแสแค่เรื่องชนชาติ
แต่ละคนรวมตัวกันเป็นกลุ่ม แต่ก็ไม่ได้มองกลุ่มอื่นเป็นศัตรู เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่ากำลังเดินอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน
ช่วงเช้าเป็นเวลาเรียนรู้คำศัพท์และคำสั่งต่าง ๆ ของกองทัพ ส่วนช่วงบ่ายเป็นเวลาฝึกพลังจิต
“ไซมอน เดลล์ แกเคยอยู่ที่โรงเรียนฝึกไซเกอร์ประจำอังกฤษใช่มั้ย”
พลทหารไซเกอร์ที่เข้าร่วมสงครามครั้งแรกเอ่ยปากถาม ตอนนี้เขาเป็นครูฝึกคนหนึ่งของอาร์ค ป้ายชื่อบนอกสลักคำว่า เรด ที่แปลว่าสีแดง ใบหน้าของเขาก็เป็นสีแดงก่ำตลอดเวลาสมกับชื่อ
“ใช่ครับ” ไซมอนตอบด้วยความมั่นใจ เขาเป็นหนึ่งในเด็กไม่กี่คนที่มีประสบการณ์ฝึกมาก่อน นั่นเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจที่สุด
มีบางประเทศก่อตั้งโรงเรียนฝึกไซเกอร์ประจำประเทศขึ้นมา แต่แน่นอนว่าการฝึกระดับสูงยังจำเป็นต้องมาเรียนรู้ที่อาร์ค
“ดี แล้วรู้พลังเฉพาะตัวหรือยังล่ะ”
“ยังเลยครับ”
ครูฝึกเรดปราดตามอง เด็กบางคนเอียงหัวด้วยความสงสัยว่าพลังเฉพาะตัวคืออะไร
“ไซมอน รับปากกานี่ด้วยพลังจิตเคลื่อนย้าย”
ครูฝึกเรดโยนปากกาขึ้นบนอากาศ
ดวงตาของไซมอนพลันประกายแสงสีฟ้าขึ้นมาทันใด เวลาที่ไซเกอร์ใช้พลังจะมีแสงเปล่งออกมาจากดวงตา เขาตั้งสมาธิและหยุดปากกาด้วยพลังจิต
วืด~!
ปากกาหยุดเคลื่อนไหวแล้วลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ
“ทำได้ดี ไซมอน”
ไซมอนยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินคำชม
“แต่ถ้าฝึกมาเป็นปีแล้วยังทำได้แค่นี้ แกมันก็เป็นแค่ขยะดี ๆ นั่นแหละ”
ไซมอนหุบยิ้มทันที ความภาคภูมิใจถูกแทนที่ด้วยความโกรธและความอับอาย
ครูฝึกเรดไม่เคยเป็นมิตรกับนักเรียนคนไหน
“เป็นอะไรไซมอน โกรธหรอ หรืออยากร้องไห้?” ครูฝึกเย้ยหยันพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้แทบจะชนกับไซมอน “หรือถ้าอยากกลับบ้านไปนอนดูดนมแม่ต่อก็รีบบอกมา ฉันยินดีจะส่งแกกลับไปให้”
ไซมอนน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เขาพยายามข่มความรู้สึกเอาไว้ไม่ให้ร้องไห้ออกมาต่อหน้าคนอื่น เพราะไม่อย่างนั้นคงได้กลายเป็นความอัปยศติดตัวตลอดการเรียนแน่
“ไม่จำเป็นครับ” ไซมอนตอบ กลั้นเสียงไม่ให้สั่นเครือ
ครูฝึกเรดเหล่มอง แล้วถีบเขากลับเข้าที่เดิม
จุดมุ่งหมายของอาร์คคือการสร้างกองทัพไซเกอร์ที่แข็งแกร่งเพื่อต่อกรกับมังกร พวกเขาจำเป็นต้องก้าวข้ามทุกความสิ้นหวังไปให้ได้ และการมีจิตใจที่แข็งแกร่งกับความอดทนเป็นสิ่งแรกที่ต้องมีในการล่ามังกร
“แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรอ” เด็ก ๆ เริ่มกระซิบกระซาบกันอีกครั้ง “ไซมอนน่ารำคาญก็จริง แต่เขาทำกับมนุษย์แบบนั้นได้ยังไง”
แม้แต่คนไม่ที่ไม่ชอบไซมอนยังอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ความเป็นเด็กปกป้องพวกเขาจากคำพูดโหดร้ายและการกระทำรุนแรงมาตลอด
‘แต่เราชินกับการโดนแบบนั้นไปแล้วแฮะ’
อีฮันต่างจากเพื่อน เขาเติบโตมาอย่างยากลำบากเมื่อเทียบกับคนอื่น ทั้งยังโดนทำร้ายเป็นประจำตอนที่ถูกจับได้ว่าขโมยอาหาร ถ้าวันไหนแค่โดนพูดจาแย่ ๆ ใส่นั่นถือว่าเป็นวันโชคดีของเขาเลย
“ส่วนพวกแกที่ยังเทียบชั้นไซมอนไม่ได้ก็เป็นยิ่งกว่าขยะโสโครกไร้ประโยชน์”
ครูฝึกเรดตะโกนกราดขึ้นมาอีกครั้ง
“คิดว่าฉันพูดเกินไปหรอ? เปล่าเลย นี่มันน้อยไปด้วยซ้ำ พวกแกเข้าใจสถานการณ์หรือเปล่า คิดว่าสงครามเป็นสนามเด็กเล่นหรือไง สถานการณ์ของเราแม่งโคตรจะเฮงซวย ฉันต้องเปลี่ยนขยะที่ใช้ไม่ได้แม้แต่พลังเคลื่อนย้ายโง่ ๆ อย่างพวกแกให้กลายเป็นทหารไซเกอร์ ทหารที่จะไปสู้กับมังกร เฮอะ ตลกสิ้นดี”
เด็กบางคนที่ทนแรงกดดันไม่ไหวเริ่มปล่อยโฮออกมา
“ตอนที่มังกรโผล่มาพวกแกจะยังร้องไห้หาแม่อยู่แบบนี้ไหม คิดว่าแม่แกจะบินมาเหมือนซูเปอร์แมนแล้วตบหน้ามังกรโง่นั่นไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้แกไปด้วยหรอ”
ครูฝึกเรดชายตามองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา
“ในสงครามมีแต่ความตาย ถ้าแกไม่สู้ มันก็จะกินแกเข้าไปทั้งเป็น ตามด้วยเพื่อนแก ต่อจากนั้นก็เป็นครอบครัวของพวกแก”
“สถานการณ์แม่งโคตรเฮงซวย” ครูฝึกเรดสบถอีกครั้ง “แต่พวกแกเป็นอนาคตของโลก เป็นความหวังของมนุษยชาติ ฉันไม่ได้เปรียบเปรยด้วย พวกแกเป็นความหวังสุดท้ายของโลกใบนี้แล้วจริง ๆ”
น้ำเสียงของเขาค่อย ๆ อ่อนลง
“ไซเกอร์โดยกำเนิดแบบพวกแกมีพลังมากกว่าคนได้รับพลังแบบฉันเป็นสิบเท่า ต่อให้มีเวลาฝึกแค่สั้น ๆ พวกแกก็ยังกลายเป็นคนแข็งแกร่งกว่าพลทหารที่รอดตายจากสงครามทั้งหมดนั่นได้”
แววตาของเด็ก ๆ สะท้อนวาบไปด้วยแสงแห่งความหวัง พวกเขามีใจฮึดสู้ขึ้นหลังจากฟังคำพูดที่พรั่งพรูจากปากของครูฝึก
คำว่า ‘ความหวัง’ ปลุกพลังของพวกเขาขึ้นมาจนปริ่มหัวใจ
“คมจนเกือบบาดแหนะ”
อีฮันก็เกือบจะอินไปกับคำของครูฝึกเช่นกัน แต่ดึงตัวเองกลับมาที่เป้าหมายได้ทัน
‘ฉันไม่สนใจสงครามอะไรนั่นหรอก สิ่งที่ต้องทำก็แค่สร้างผลงานดี ๆ ให้น้อง ๆ อยู่สบายเท่านั้นแหละ’