ตอนที่แล้วKill the Dragons ตอนที่ 2 : เด็กพลังจิต (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปKill the Dragons ตอนที่ 4 : เด็กพลังจิต (4)

Kill the Dragons ตอนที่ 3 : เด็กพลังจิต (3)


“ย๊ากก!”

เด็กจีนพุ่งเข้าใส่ไซมอนเต็มแรง พลังจิตของไซมอนเองก็ยังไม่แข็งแกร่งพอจะใช้ในการต่อสู้ พวกเขาจึงสู้กันด้วยกำปั้นแทน

ยังไม่ทันจะเสียเลือดเสียเนื้อ ครูฝึกก็ถีบประตูเข้ามาดังปัง! มือข้างหนึ่งของเขาถือกระบอง อีกข้างจับหมวกไว้ไม่ให้ปลิวไปตามการเคลื่อนไหว “หยุดกัดกันได้แล้วไอ้พวกเด็กเวร ก้มลงเดี๋ยวนี้!”

ปั้ก! ปั้ก!

เสียงกระบองกระแทกดังสนั่นไปทั่วบริเวณ คนที่ตอบสนองช้ากว่าได้ลิ้มรสกระบองเข้าไปเต็ม ๆ มันทำจากวัสดุชนิดพิเศษที่ไม่ถึงกับทำให้กระดูกหัก แต่ก็แรงพอที่จะทำให้ช้ำเป็นจ้ำเป็นดวงได้

ครูฝึกจับเด็กทั้งสองแยกจากกันแล้วยืนคั่นระหว่างทั้งคู่

“มาวันแรกก็สู้กันแล้วหรอ” เขาตวาดเสียงลั่น “ไซมอน เดลล์ มีพลังแค่เป่าเทียนดับยังจะทำเป็นอวดเก่ง อย่าเหลิงให้มากนัก น้ำหน้าอย่างแกไม่มีอะไรให้อวดหรอกนอกจากความน่าอับอาย”

ไซมอนโดนครูฝึกหมายหัวแล้ว เขาโดนตีอีกครั้งแรงกว่าเดิม แม้จะไม่แสดงอาการ แต่ดวงตาของเขามีน้ำตาคลอเบ้า

เด็กทุกคนรู้ตัวได้ทันทีว่าศัตรูของพวกเขาไม่ใช่คนที่อยู่ข้าง ๆ แต่เป็นครูฝึกคนนั้นต่างหาก

ครูฝึกยังคงสาปส่งเด็ก ๆ ไม่หยุด ขณะเดียวกันก็รวบกระบองกลับมา

น่าตลกที่ความขัดแย้งระหว่างเด็ก ๆ เมื่อครู่จางหายไปแล้ว พวกเขากลับมาเหนียวแน่นอีกครั้งหลังจากที่มีศัตรูคนเดียวกัน

เสียงกระซิบกระซาบดังหึ่งไปทั่วแม้ว่าจะพวกเขาจะตั้งใจแอบคุยกันลับหลังอาจารย์

“อย่างที่คิดไว้ เด็กก็คือเด็ก”

ครูฝึกชำเลืองมองโดยรอบแล้วหัวเราะผ่านจมูก

ด้านหลังมีครูฝึกอีกจำนวนหนึ่งยืนดูสถานการณ์โดยรวม เขายิ้มพึงพอใจกับผลลัพธ์แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อสังเกตเห็นอีฮัน เขารีบชี้ให้ครูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ดู

“เด็กคนนั้นดูต่างจากคนอื่นเลยว่าไหม เขาสงบ ไม่ปริปากโวยวายเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะกระซิบคุยกับเพื่อนด้วยซ้ำ”

ครูฝึกอีกคนตอบปัด “คิดมากน่า เด็กวัยนี้ไม่มองโลกซับซ้อนนักหรอก”

อีฮันสังเกตรายละเอียดจนเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี พวกครูฝึกจับตามองพวกเขามาตลอด รอเวลาที่เริ่มต่อสู้ถึงค่อยเข้ามา

มันเป็นการจัดสถานการณ์ให้ทุกคนรวมกันเป็นหนึ่ง

อีฮันค่อย ๆ กระเถิบไปร่วมวงสนทนากับเพื่อนอย่างแนบเนียน แม้ว่าจะมองสถานการณ์ออกแต่เขาไม่อยากแสดงตัวให้โดดเด่นจนเกินไป เขายังไม่คุ้นเคยกับที่นี่มากพอที่จะทำอะไรผลีผลาม

***

อีฮันและเด็กคนอื่นมีเวลาสามสัปดาห์ที่จะทำความคุ้นเคยกับอาร์ค หลังจากนั้นพวกเขาจะได้เข้าเรียนอย่างจริงจัง

แต่ละชั้นปีที่อาร์คออกแบบไว้ให้เรียนเป็นเวลาหนึ่งปี แต่ในความเป็นจริงถ้าเด็กคนไหนผ่านเกณฑ์ของชั้นปีต่อไปก็จะได้เลื่อนชั้นทันที มีเพียงไม่กี่คนที่ต้องอยู่เรียนจนครบทั้งปี

“อย่างน้อยก็ได้อยู่ด้วยกันอีกสามสัปดาห์” เด็กหลายคนคิดแบบนั้น

พวกเขาทำความรู้จักและเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกมีการแบ่งแยกเชื้อชาติกันอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็เป็นแค่เด็กที่การปลูกฝังเรื่องเชื้อชาติยังไม่มากพอจะกีดกันความเป็นเพื่อน เมื่อเห็นโอกาสพวกเขาก็ไม่รีรอที่จะสร้างความสัมพันธ์โดยไม่แยแสแค่เรื่องชนชาติ

แต่ละคนรวมตัวกันเป็นกลุ่ม แต่ก็ไม่ได้มองกลุ่มอื่นเป็นศัตรู เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่ากำลังเดินอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน

ช่วงเช้าเป็นเวลาเรียนรู้คำศัพท์และคำสั่งต่าง ๆ ของกองทัพ ส่วนช่วงบ่ายเป็นเวลาฝึกพลังจิต

“ไซมอน เดลล์ แกเคยอยู่ที่โรงเรียนฝึกไซเกอร์ประจำอังกฤษใช่มั้ย”

พลทหารไซเกอร์ที่เข้าร่วมสงครามครั้งแรกเอ่ยปากถาม ตอนนี้เขาเป็นครูฝึกคนหนึ่งของอาร์ค ป้ายชื่อบนอกสลักคำว่า เรด ที่แปลว่าสีแดง ใบหน้าของเขาก็เป็นสีแดงก่ำตลอดเวลาสมกับชื่อ

“ใช่ครับ” ไซมอนตอบด้วยความมั่นใจ เขาเป็นหนึ่งในเด็กไม่กี่คนที่มีประสบการณ์ฝึกมาก่อน นั่นเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจที่สุด

มีบางประเทศก่อตั้งโรงเรียนฝึกไซเกอร์ประจำประเทศขึ้นมา แต่แน่นอนว่าการฝึกระดับสูงยังจำเป็นต้องมาเรียนรู้ที่อาร์ค

“ดี แล้วรู้พลังเฉพาะตัวหรือยังล่ะ”

“ยังเลยครับ”

ครูฝึกเรดปราดตามอง เด็กบางคนเอียงหัวด้วยความสงสัยว่าพลังเฉพาะตัวคืออะไร

“ไซมอน รับปากกานี่ด้วยพลังจิตเคลื่อนย้าย”

ครูฝึกเรดโยนปากกาขึ้นบนอากาศ

ดวงตาของไซมอนพลันประกายแสงสีฟ้าขึ้นมาทันใด เวลาที่ไซเกอร์ใช้พลังจะมีแสงเปล่งออกมาจากดวงตา เขาตั้งสมาธิและหยุดปากกาด้วยพลังจิต

วืด~!

ปากกาหยุดเคลื่อนไหวแล้วลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ

“ทำได้ดี ไซมอน”

ไซมอนยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินคำชม

“แต่ถ้าฝึกมาเป็นปีแล้วยังทำได้แค่นี้ แกมันก็เป็นแค่ขยะดี ๆ นั่นแหละ”

ไซมอนหุบยิ้มทันที ความภาคภูมิใจถูกแทนที่ด้วยความโกรธและความอับอาย

ครูฝึกเรดไม่เคยเป็นมิตรกับนักเรียนคนไหน

“เป็นอะไรไซมอน โกรธหรอ หรืออยากร้องไห้?” ครูฝึกเย้ยหยันพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้แทบจะชนกับไซมอน “หรือถ้าอยากกลับบ้านไปนอนดูดนมแม่ต่อก็รีบบอกมา ฉันยินดีจะส่งแกกลับไปให้”

ไซมอนน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เขาพยายามข่มความรู้สึกเอาไว้ไม่ให้ร้องไห้ออกมาต่อหน้าคนอื่น เพราะไม่อย่างนั้นคงได้กลายเป็นความอัปยศติดตัวตลอดการเรียนแน่

“ไม่จำเป็นครับ” ไซมอนตอบ กลั้นเสียงไม่ให้สั่นเครือ

ครูฝึกเรดเหล่มอง แล้วถีบเขากลับเข้าที่เดิม

จุดมุ่งหมายของอาร์คคือการสร้างกองทัพไซเกอร์ที่แข็งแกร่งเพื่อต่อกรกับมังกร พวกเขาจำเป็นต้องก้าวข้ามทุกความสิ้นหวังไปให้ได้ และการมีจิตใจที่แข็งแกร่งกับความอดทนเป็นสิ่งแรกที่ต้องมีในการล่ามังกร

“แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรอ” เด็ก ๆ เริ่มกระซิบกระซาบกันอีกครั้ง “ไซมอนน่ารำคาญก็จริง แต่เขาทำกับมนุษย์แบบนั้นได้ยังไง”

แม้แต่คนไม่ที่ไม่ชอบไซมอนยังอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ความเป็นเด็กปกป้องพวกเขาจากคำพูดโหดร้ายและการกระทำรุนแรงมาตลอด

‘แต่เราชินกับการโดนแบบนั้นไปแล้วแฮะ’

อีฮันต่างจากเพื่อน เขาเติบโตมาอย่างยากลำบากเมื่อเทียบกับคนอื่น ทั้งยังโดนทำร้ายเป็นประจำตอนที่ถูกจับได้ว่าขโมยอาหาร ถ้าวันไหนแค่โดนพูดจาแย่ ๆ ใส่นั่นถือว่าเป็นวันโชคดีของเขาเลย

“ส่วนพวกแกที่ยังเทียบชั้นไซมอนไม่ได้ก็เป็นยิ่งกว่าขยะโสโครกไร้ประโยชน์”

ครูฝึกเรดตะโกนกราดขึ้นมาอีกครั้ง

“คิดว่าฉันพูดเกินไปหรอ? เปล่าเลย นี่มันน้อยไปด้วยซ้ำ พวกแกเข้าใจสถานการณ์หรือเปล่า คิดว่าสงครามเป็นสนามเด็กเล่นหรือไง สถานการณ์ของเราแม่งโคตรจะเฮงซวย ฉันต้องเปลี่ยนขยะที่ใช้ไม่ได้แม้แต่พลังเคลื่อนย้ายโง่ ๆ อย่างพวกแกให้กลายเป็นทหารไซเกอร์ ทหารที่จะไปสู้กับมังกร เฮอะ ตลกสิ้นดี”

เด็กบางคนที่ทนแรงกดดันไม่ไหวเริ่มปล่อยโฮออกมา

“ตอนที่มังกรโผล่มาพวกแกจะยังร้องไห้หาแม่อยู่แบบนี้ไหม คิดว่าแม่แกจะบินมาเหมือนซูเปอร์แมนแล้วตบหน้ามังกรโง่นั่นไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้แกไปด้วยหรอ”

ครูฝึกเรดชายตามองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา

“ในสงครามมีแต่ความตาย ถ้าแกไม่สู้ มันก็จะกินแกเข้าไปทั้งเป็น ตามด้วยเพื่อนแก ต่อจากนั้นก็เป็นครอบครัวของพวกแก”

“สถานการณ์แม่งโคตรเฮงซวย” ครูฝึกเรดสบถอีกครั้ง “แต่พวกแกเป็นอนาคตของโลก เป็นความหวังของมนุษยชาติ ฉันไม่ได้เปรียบเปรยด้วย พวกแกเป็นความหวังสุดท้ายของโลกใบนี้แล้วจริง ๆ”

น้ำเสียงของเขาค่อย ๆ อ่อนลง

“ไซเกอร์โดยกำเนิดแบบพวกแกมีพลังมากกว่าคนได้รับพลังแบบฉันเป็นสิบเท่า ต่อให้มีเวลาฝึกแค่สั้น ๆ พวกแกก็ยังกลายเป็นคนแข็งแกร่งกว่าพลทหารที่รอดตายจากสงครามทั้งหมดนั่นได้”

แววตาของเด็ก ๆ สะท้อนวาบไปด้วยแสงแห่งความหวัง พวกเขามีใจฮึดสู้ขึ้นหลังจากฟังคำพูดที่พรั่งพรูจากปากของครูฝึก

คำว่า ‘ความหวัง’ ปลุกพลังของพวกเขาขึ้นมาจนปริ่มหัวใจ

“คมจนเกือบบาดแหนะ”

อีฮันก็เกือบจะอินไปกับคำของครูฝึกเช่นกัน แต่ดึงตัวเองกลับมาที่เป้าหมายได้ทัน

‘ฉันไม่สนใจสงครามอะไรนั่นหรอก สิ่งที่ต้องทำก็แค่สร้างผลงานดี ๆ ให้น้อง ๆ อยู่สบายเท่านั้นแหละ’



0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด