ผู้กอบกู้แห่งที่ราบทมิฬ ตอนที่ 3 เข้าสู่อาณาจักรในห่วงความว่างเปล่า
ยามค่ำคืนของเมืองหลวงของอาณาจักรบราวน์
มีชายหนุ่มคนหนึ่งในคฤหาสน์กำลังดูเคร่งขรึมอยู่ในตอนนี้ นั้นคือไมนอสที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่อาณาจักรในห้วงความว่างเปล่า ทันที่ที่พ่อบ้านดิลเลียนออกจากห้อง
ในขณะที่พ่อบ้านกำลังวางแผนที่จะเดินทางไปที่ราบทมิฬ ซึ่งน่าจะเดินทางกันไม่กี่วันข้างหน้านี้
ผ่านไปสักพักจนพ่อบ้านเขาออกไป ไมนอสได้อยู่ตัวคนเดียว เขาก็เริ่มเปิดใช้งานแหวนในมือขวาทันที่ ชายหนุ่มหายตัวไปในพริบตาทันที
ไมนอส ได้สำรวจสิ่งเปลี่ยนแปลงและสภาพแวดล้อมที่น่าเพลิดเพลินที่อยู่ตรงหน้าเขา
เป็นสถานที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลายามดึกของอาณาจักรบราวส์ แต่ในสถานที่แห่งนี้กลับสว่างดังกลางวัน ราวกับอยู่คนละประเทศเลยที่เดียว นอกจากนี้ยังมีความเข้มข้นของพลังงานจิตวิญญาณที่หนาแน่นกว่า เมืองอาทิตย์อัสดงเป็นร้อยเป็นพันเท่า
มีต้นไม้หลายหลากพันธ์ บ้างต้นมีแรงกดดันวิญญาณออกมาด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ไมนอสนั้นยังไม่ได้เริ่มฝึกฝนบ่มเพาะเลยไม่สามารถแยกแยะพลังงานที่อยู่ในที่แห่งนี้ได้
และมีทะเลสาป ขนานใหญ่อยู่ด้วยซึ่งเมื่อสังเกตุดูใกล้ๆทะเลสาปมีบ้านหลังใหญ่อยู่
เดินเพียงไม่กี่นาที ไมนอสก็เห็นยาสมุนไพร หลายชนิด ซึ่งด้วยความรู้ของเขาในตอนนี้ ทราบทันที่ว่าสมุนไพรพวกนี้สามารถช่วยบรรลุขั้นปราชญ์แห่งจิตวิญญาณได้เลย
‘น่าเสียดายที่อีกนานกว่าเราจะได้ใช้สมุนไพรยาพวกนี้ได้’
ไมนอสคิดไปเดินไปตามสถานที่แห่งนี้
ในที่สุดเขาก็มาถึงบ้าน เป็นบ้านพักตากอากาศที่ใหญ่มาก ทำให้ไมนอสคิดว่าที่นี้เหมาะกับการฝึกบ่มเพาะพลังยังมาก
เมื่อเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มเห็นห้องมากมายด้านใน
มีอย่างน้อย 20 ห้อง ห้องประชุมขนานใหญ่ 3 ห้อง ห้องหนึ่งมีโต๊ะนั่งมากกว่า 10 ที่นั่ง และอีก 2 ห้องมีเก้าอี้และโซฟา ทุกอย่างตกแต่งได้อย่างลงตัว แต่มีห้องหนึ่งที่ดึงดูความสนใจของไมนอสเป้นพิเศษ
ตามความทรงจำที่ได้รับมา มีแหวนสามวงในห้องนั้น ในแหวนเหล่านั้น มีอาวุธ คริสตัลจิตวิญญาณ หนังสือวิชา ย่างก้าว, โจมตี, วิญญาณ, การรักษา และอื่นๆ อีก
“อื้ม เท่าที่เรารู้ตอนนี้ หนังสือวิชาต่างๆ ถูกแบ่งออกเป็น ขาว ฟ้า ดำ เงิน และทอง โดยที่แตกต่างกันที่การใช้พลังและการแปลงพลังวิญญาณของผู้ใช้วิชา ซึ่งจะตามลำดับ 40 50 70 100 และ 200 เปอเซ็น ของพลังงานที่ใช้ในการเปิดใช้งานวิชา”
“ถ้ามีใครใช้วิชาโจมตีระดับเงินกับอีกคนปล่อยวิชาระดับทอง วิชาระดับทองจะอนุภาคมากกว่า 4 เท่า”
“วิชายังแบ่งย่อยเป็นตามขั้นอีกด้วย ดังนั้นการเรียนวิชาตามขั้นตอนที่เหมาะสมกับระดับขั้นเพื่อเมื่อถึงระดับสูงสุดของขั้นแล้ววิชาดังกล่าวจะเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่าในช่วงระหว่างบ่มเพาะ”
(หมายถึงวิชาจะมีแบ่งระดับในตัวของวิชาเองในแต่ละช่วงขั้นของวิชา ยิ่งระดับขั้นในวิชาเยอะทำให้วิชายิ่งทรงอนุภาพมากว่า วิชาขั้นที่น้อยกว่า)
นอกจากนี้ ในโลกนี้ การบ่มเพาะถูกจำกัดด้วยระดับขั้นของการบ่มเพาะ โดยที่เพิ่มวิชาได้แค่ขั้นละวิชาเท่านั้น
ดังนั้น ผู้ฝึกตนจึงเลือกอย่างรอบคอบ เพราะในขณะที่สามารถเปลี่ยนวิชาได้ การทำเช่นนี้จะต้องเลือกระดับขั้นที่น้อยกว่า ซึ่งจะเสียเปรียบระดับขั้นที่สูง
ระดับขั้นของวิชาจะอ้างอิงถึงตัววิชามันเอง
ตัวอย่างเช่น หากวิชาถูกจำกัดไว้ในขอบเขต การจะขยายขอบเขตเพิ่มขึ้นนั้นก็ต่อเมื่อเพิ่มระดับความเชียวชาญของวิชานั้น ไม่ว่าระดับของผู้ฝึกจะอยู่ระดับหรือขั้นไหนก็ตาม จะถูกกันขอบเขตไว้
“อื้ม วิชาแรกที่จะฝึกจะต้องเป็นวิชาเฉพาะทางในการบ่มเพาะพลัง เนื่องจากผู้ฝึกตนจะไม่สามารถรวบรวมพลังจิตวิญญาณได้หากไม่มีวิชาบ่มเพาะ และหลังจากนั้น ผู้ฝึกตนจะทำการทะล่วงเพื่อเลื่อนระดับขั้นและรักษาระดับไว้ในขั้นจิตก่อตั้ง”
“อื้มถึงยังไงก็เถอะ ดูเหมือนว่าวิชาเกือบทั้งหมดจะเป็นประเภททองคำหรือเงิน แล้วก็อาวุธพวกนี้ น่าเสียดายที่เราไม่สามารถใช้มันได้ตอนนี้ ยังน้อยก็ต้องระดับ 60 ซึ่งก่อนไม่งั้นเราคงควบคุมอาวุธพวกนี้ไม่อยู่แน่”
ขณะที่สำรวจวงแหวนมิติอยู่ ไมนอสพบกับวิชาการบ่มเพาะขั้นพระเจ้า อยู่ในประเภททองคำ วิชานั้นมีชื่อว่า ‘อัสสาสะเทพสุริยา’ (ลมหายใจเทพสุริยะ) วิชานี้จะเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะและสะสมพลังงานจิตวิญญาณในอากาศได้ในตอนกลางวัน ผลของมันจะเพิ่มแบบทวีคูณในขั้นต่อๆ ไปอีก
“อัสสาสะเทพสุริยา ขอเลือกเป็นวิชาแรกเลยละกัน”
หลังงานนั้น ไมนอสได้ทำการวบรวมของอีกสองสามชิ้นในระดับต่ำที่สุดในนั้น เนื่องจากเขาไม่สามารถใช้หรือพกสิ่งล้ำค่าพวกนั้นได้ หากระดับไม่ถึง
นอกจากนี้ เขายังเลือกวิชาการบ่มเพาะให้พ่อบ้านของเขาด้วย เพราะพ่อบ้านดิลเลี่ยนคงไม่มีวิชาระดับ ทองคำหรือเงิน อย่างแน่นอน
ในที่สุด ไมนอสก็ตัดสินใจใช้เวลาสองสามชัวโมงในการฝึกวิชาใหม่จนกระทั้งเข้าถึงระดับ 1
“ด้วยความเร็วระดับนี้ เราคงไปถึงระดับ 10 และถึงขั้น เปลี่ยนผ่าน โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 เดือนแน่นอน...”
“สำหรับคริสตัลจิตวิญญาณที่นี้มี นับล้านก้อน และทั้งหมดอยู่ในสภาพสูงตอนนี้เราเองก็ดูดซับไม่ไหว อย่างน้อยก็ต้องไปถึงขั้นนักบุณแห่งจิตวิญญาณก่อน”
คริสตัลจิตวิญญาณนี้ แบ่งออกเป็นสามประเภทในโลกแห่งวิญญาณ ตามความเข้มข้นของพลังคือ ต่ำ กลาง สูง พลังงานที่เพิ่มขึ้นตามระดับความเข้มข้น
คริสตัลระดับต่ำนั้น มีไว้ให้ผู้ฝึกตนระดับ 20 - 49
คริสตัลระดับกลางนั้น มีไว้ให้ผู้ฝึกตนระดับ 50 - 69
คริสตัลระดับสูง มีไว้ให้กับผู้ฝึกตนระดับ 70 ขึ้นไป
นี้คือระดับที่ร่างกายจะสามารถซึมซับพลังจากคริสตัลได้
ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกตนที่ระดับต่ำกว่าระดับจิตก่อตั้ง จึงไม่สามารถบ่มเพาะกับคริสตัลได้ ที่ขั้นพื้นฐานต้องมุ่งเน้นการเตรียมร่างกายให้พร้อมกับการรองรับพลังวิญญาณในอนาคต ในทางกลับกันขั้นเปลี่ยนผ่าน
จะมุ่งเน้นไปที่ การฝึกพลังทางจิตวิญญาณ เพื่อจะเริ่มไปขั้นต่อไป
“เราจะต้องรวบรวมคริสตัลระดับต่ำ ก่อนถึงขั้นจิตก่อตั้ง อื้ม..ท่านพ่อได้ทิ้งมรดกและการค้าไว้พอสมควร เราก็ยังอยากให้ธุรกิจการค้าเหล่านั้นให้ทำงานในดินแดนของเราเอง”
“ควรกลับออกจากที่นี้ได้แล้ว ไม่อย่างงั้นคุณปู่ ดิลเลี่ยนได้สงสัยแน่ว่าเราหายไปไหน ถึงแม้เขาจะเชื่อ เรื่องทั้งหมดนี้ก็เถอะ แต่ขอเก็บไว้บอกที่หลัง ยังน้อยก็รอจนกว่าจะย้ายไปที่ราบทมิฬ”
“สำหรับราบทมิฬ เราว่าเราสามารถบริหารจัดการทำให้เป็นดินแดนที่ดีกว่านี้ และเพิ่มพลังงานจิตวิญญาณของดินแดนได้โดยใช้ทรัพยากรจากอาณาจักรในห้วงความว่างเปล่า”
“แต่ก่อนอื่นต้องให้ปู่ดิลเลี่ยนรวบรวมข้อมูลที่ทำให้เราวางแผนที่จะจัดการสิ่งต่างๆ ด้วย”
หลังจากนั้น ไมนอส ก็ได้กลับมายังห้องนอนของเขาและเข้านอนทันที่
เมื่อตื่นนอนตอนเช้า พ่อบ้านได้ออกไปจัดการธุรต่างๆ ที่ค้างคาไว้ พ่อครัวเตรียมอาหารเช้าให้ไมนอส และได้บอกว่า พ่อบ้านดิลเลี่ยนได้ฝากข้อความไว้ว่า ทุกอย่างจะพร้อมสำหรับการเดินทางในตอนบ่าย
เนื่องด้วยตระกูลสจวร์ตพึงได้รับตำแหน่งขุนนางไม่นาน ซึ่งประกอบด้วยนายพลผู้ล่วงลับและผู้สืบทอดวัยเยาว์ เขาจึงมีสัตว์หรือรถม้าไม่มากพอสำหรับเดินทางระยะไกล เลยต้องเช่ารถม้ามาเพื่อใช้งานนี้
ถึงแม้จะไม่มีสิ่งของมากมายที่ขนไป แต่ก็มีผู้ติดตามอยู่ 20 คน และองครักษ์อีก 10 คน ที่ยังรับใช้อยู่แม้นายพลจะจากไปแล้ว ดิลเลี่ยนใช้เวลาในการรวบรวมรถม้าเพื่อจะเดินทางทั้งหมด
เวลาได้ผ่านไป ก็ถึงเวลาเดินทาง รถม้า 12 คัน ออกเดินทางไปทางใต้ของเมืองหลวง มุ่งสู่ที่ราบทมิฬ
ที่อยู่ห่างออกไปถึง 4,000 กิโลเมตร ใกล้กับชายแดนของอาณาจักรบราวน์ ซึ่งมีอีกสองอาณาจักรติดกัน อีก 2 อาณาจักรที่มีอำนาจพอๆกันกับอาณาจักรบราวน์
การเดินทางที่หากไม่พบปัญหาเลยจะใช้เวลาน้อยกว่า 1 อาทิต โดนใช้รถม้าอสูรจิตวิญญาณ เป็นอสูรขั้นจิตก่อตั้ง ที่สามารถเดินทางได้วันละ 1000 กิโลเมตรต่อวัน
ในขณะเดียวกันใน คฤหาสน์ตระกูลซิลวา ชายสูงวัยสองคนกำลังโขกหมากรุกดื่มชายังสบายในเมือง อาทิตย์อัสดง คนหนึ่งมีใบหน้าที่ดูสงบนิ่งราวโลกใบนี้ไม่มีสิ่งให้ทำให้เขาต้องกังวลได้อีก
ชายชราผู้ผมขาวราวนักปราญช์มีเครา ชื่อของเขาคือ โอติส ซิลวา ผู้อาวุโสคนปัจจุบันของตระกูลซิลวา อยู่ในขั้นราชาแห่งจิตวิญญาณ ระดับที่ 57
อีกคนนั้ วิลเลียม ซิลวา ระดับที่ 52 หนึ่งในผู้เข้าโจมตีนายพลอัลเบิร์ต สจวร์ต ตามคำสั่งของผู้อาวุโสที่นั้งอยู่ตรงหน้า เขาสวมชุดคลุมสีดำและผมหงอก ขณะที่เขานั้งครุ่นคิดที่จะเดินตาหมากต่อไป
“ผู้อาวุโส เจ้าเด็กสจวร์ตนั้นออกจากเมืองไปไม่กี่ชัวโมงก่อน กำลังเดินทางไปยังดินแดนที่ได้เป็นของกำนัน ‘ที่ราบทมิฬ’ พร้อมกับข้ารับใช้อีกกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนเจ้าเด็กนั้นจะฟื้นมาได้สองสามวันก่อน”
“จะไปดักซุ่มโจมตีมันอีกดีหรือไม่” เขาถามขณะนั้งจิบชา
“ไม่จำเป็น ข้าได้ยินว่าเด็กคนนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว ก็จริงแต่เขาอายุ 15 แล้วยังไม่ได้เริ่มฝึกฝนอะไรด้วยซ้ำ แทบจะฝึกให้บรรลุถึงขั้นนักรบแห่งจิตวิญญาณไม่ได่้ด้วยซ้ำ”
หลังจากเดินหมากแล้ว โอทิสก็พูดต่อ
“แม้ว่ามันจะได้พรสวรรค์จากพ่อของมันมากแค่ไหน ก็ต้องใช้เวลาอีกหลาย 10 ปีหรือ 100ปีถึงจะพลังเท่ากับพ่อของมัน ในทางกลับกันพวกเราอยู่ระดับที่ 50 แล้ว และยังสามารถเพิ่มระดับขึ้นไปเรื่อยๆได้อีก เราเป็นตระกูลใหญ่ มีผู้ฝึกตนหลายร้อนคน”
“แม้มันจะต้องการแก้แค้นเท่าไร แต่ก็ไม่มีทางทำได้ ลืมๆ เด็กคนนี้ไปเถอะ ต่อให้เป็นพ่อบ้านดิลเลียนก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้”
หลังจากนั้นทั้งสองก็เล่นหมากรุกต่อ จนผู้อาวุโสชนะกระดานนี้
จากนั้นชายชราสองคนก็กล่าวคำอำลา ขณะที่โอทิสยังนั้งอยู่ในห้อง มองออกไปที่ระเบียงมองออกไปนอกระเบียง ‘เมื่อหุบเขาแดง อยู่ในมือของเราแล้วตระกูล ซิลวา จะเติบโตแบบก้าวกระโดด ฮ่าๆๆ แม้แต่ไอพวกสารยำ มิลเลอร์แม้จะมีอำนาจทางการเงินก็ไม่อาจมาขัดขวาง”