ผู้กอบกู้แห่งที่ราบทมิฬ ตอนที่ 20 สุนัขล่าเนื้อ
รุ่งเช้ารถม้าสามคันออกจากเมืองดราย มุ่งสู่ทิศตะวันตก ของที่ราบทมิฬ ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากขอบฟ้าเรื่อยๆ เป็นวิวที่น่าดูยังมาก
ทั้งกลุ่มเดินทางผ่านพื้นที่การเกษตร และเมืองดรายก็ค่อยๆ ดูเล็กลง เล็กลงจากสายตาของพวกเขา
ในรถม้าคันที่สอง ไมนอสนั้นกำลัง เพลิดเพลินกับทิวทัศน์รอบข้างตอนนี้ สายลมอ่อนๆ พัดสัมผัสใบหน้ายังอ่อนโยน เขาชอบความรู้สึกนี้จริงๆ บวกบรรยากาศ รอบๆ ทำให้ไมนอสนั้นสงบจิตใจยังมาก
เวลาผ่านไปยังช้า ๆ และ สิบโท ไปกี้ก็เข้ามาหาไมนอสเพื่อแจ้งเกี่ยวกับการเดินทาง
“นายน้อย เราจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 วัน ก่อนเข้าเมืองมารีนทาม ระหว่างทางจะไม่มีเมืองหรือหมู่บ้านไหนเลย จำเป็นต้องตั้งแค้มป์กันกลางทางครับ”
“ได้ตามนั้น นี้ไปกี้ช่วยเล่าข้อมูลที่เกี่ยวกับเมืองท่านี้ที”
ไมนอสอยากทราบข้อมูลจึงถามไปกี้ยังสงสัย
ไปกี้จึงขึ้นไปนั่งรถม้ากับไมนอส และเล่าข้อมูลทั้งหมดที่ตนรู้เกี่ยวกับเมืองนี้
“เมืองมารีทาม เป็นเมืองท่าเรือของอาณาจักรบราวน์กับเกาะศิลา แม้จะตั้งอยู่ในที่ราบทมิฬ”
“ที่ราบทมิฬนั้นครอบคลุมพื้นที่แนวชายฝั่งทั้งหมดของอาณาจักรนี้ ทำให้เมื่อหลายพันปีก่อน เมืองท่านี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางการเชื่อมต่อการค้าระหว่างสองประเทศ แลกเปลี่ยนสินค้ากัน”
“แม้จะอยู่ในที่ราบทมิฬแต่ก็ไม่ได้อยู่ในการปกครองของเรา ขึ้นตรงกับเมืองหลวง”
“ด้วยเหตุนี้ ระดับความแข็งแกร่งของเมืองนี้จะสูงกว่าระดับเฉลี่ยของที่ราบทมิฬ ที่เมืองมีราชาแห่งจิตวิญญาณอยู่ 1 คน เพื่อดูแลเมืองนี้ไว้”
“แต่นั้นมัน ไม่ใช่เรื่องที่ คนระดับราชาแห่งจิตวิญญาณจะมาอยู่ในที่พลังงานน้อยยังงี้ มันจะส่งผลต่อการบ่มเพาะของเขาเลยนะ”
ไมนอสถามยังสงสัย
“เป็นเช่นนั้น แต่ทางเมืองหลวงนั้นให้ความสำคัญกับเมืองท่านี้มาก ถึงกับลงทุนในการลงอาคมปรับแต่งพื้นที่ให้มีความเข้มข้นของพลังงานเพิ่มขึ้น”
ไปกี้ตอบคำถามของไมนอส
“และคนที่จะเข้ามาดูแลเมืองนี้จะถูกสลับผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเลยไม่ใช่เรื่องร้ายแรง สำหรับคนมาอยู่ดูแล”
หลังจากพูดคุยกันได้สักระยะ ไมนอสก็ทราบถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับเมืองท่านี้ ที่เขาจะต้องไปถึง
และคิดว่าต่อไปเมืองท่านี้อาจจะขัดขวางแผนการของเขาได้
เพราะถ้าหากอาณาจักรบราวน์ รู้เรื่องเกี่ยวกับการค้าขายของที่ราบทมิฬกับเกาะศิลา คงมีพวกขุนนางโลภมากพยายามจะหาส่วนแบ่งเค้กชิ้นนี้แน่
ไม่นอสไม่ต้องการให้ใครมาหาผลประโยชน์จากน้ำพักน้ำแรงของเขา เขาเลยคิดได้สองตัวเลือก คือสร้างเมืองท่าของตัวเอง หรือ ยึดเมืองท่านี้สะ แต่ถ้ายึดเมืองเท่ากับเขาจะเป็นกบฏกับอาณาจักรบราวน์ทันที และต้องเกิดสงครามวุ่นวายเป็นแน่ และความแข็งแกร่งของกองทัพไมนอสตอนนี้ยังไม่พอที่จะต้านทานทัพจากเมืองหลวงได้
แต่ไมนอสยังคงไม่กล้าที่จะทำตามข้อสอง เพราะเพียงผู้ดูแลเมืองท่าคนเดียวก็ ฆ่าล้างกองทัพไมนอสได้หมดแล้ว
‘เราคงต้องสร้างเมืองท่าขึ้นมาให้ห่างจาก เมืองมารีทามพอตัวเลยสินะ’
ไมนอสกลับไปคิดทบทวนถึงแผนการแรก ถึงจะช้าน้อย แต่ก็ดีกว่าทำให้ที่ราบทมิฬถูกจับตามอง
…..
อาทิตย์ตกดิน กลางคืนคืบคลานเข้ามายังรวดเร็ว
คณะเดินทางเริ่มตั้งแค้มป์ กันส่วนไมนอสได้ฝึกบ่มเพาะพลังจากในเต้นของเขา เขาเลือกที่จะดูดซับพลังจากคริสตัลแทนที่จะเข้าไปมิติโลกคู่ขนาน เพราะไม่เช่นนั้นผู้ติดตามของเขาจะสงสัยได้
ระหว่างนั้นมีเสียงร้องของทหารนายหนึ่งร้องขึ้น
“อ้าา!!”
ทุกคนจึงรีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อมาถึงทหารคนนั้น ทั้งหมดพบกับฝูงสัตว์อสูรจิตวิญญาณ สุนับล่าเนื้อ ฝูงใหญ่ มีประมาณ 30 ตัวได้
พวกมันมีตาสีแดงยังกับทับทิม เมื่ออยู่ในความมืดทำให้สายตาที่พวกมันจองมาที่ เหล่าทหารนั้น ดูน่ากลัวยังมาก และน้ำลายที่ไหลย้อยออกมาจากปากของพวกมันแสดงถึงความหิวโหย
พวกมันทั้งหมดเป็นสัตว์อสูรขั้นนักรบแห่งจิตวิญญาณ มีระดับสูงต่ำเฉลี่ยๆ กันแต่มีบ้างตัวระดับอยู่ในเกือบจุดสูงสุดของขั้นพลัง
พวกสัตว์อสูรเหล่านี้ มีระดับและขั้นพลังเหมือนกับมนุษย์แต่แค่พวกมันจะไม่มีวิชา แต่ทดแทนด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพยังมากกว่ามนุษย์ และมีความสามารถแปลกๆ มากับตัวด้วย
เหตุที่ทหารคนนั้นร้องลั้นออกมานั้นเพราะการเห็นสัตว์อสูรในระดับใกล้ๆ กัน เป็นฝูงกลุ่มใหญ่ขนานนี้
“เป็นไรไหม เนโด”
ทหารคนหนึ่งรีบเข้าไป ตรวจสอบเพื่อนของเข้าที่พบเจอสัตว์คนแรก
“ข้าไม่เป็นไร แค่ตกใจกลัวนิดหน่อย”
เขาพูดพร้อมจองตากับเหล่าสัตว์ร้ายพวกนั้น
หลังจากไมนอสมาถึงพื้นที่เขายิ้มขึ้นและสั่งการทันที่
“ใจเย็นทุกท่าน พวกมันอาจมีเยอะก็จริงแต่อย่าได้กลัวไป”
‘แจ๋ว เลยกำลังอยากจะลองวิชาใหม่อยู่พอดี’
ไมนอสคิดในใจขณะที่หน้าของเขายิ้มยังชัวร้าย
วิชาที่เขาพึ่งฝึกมานั้นคือวิชา อัตลักษณ์แห่งการกลืนกิน วิชาระดับทอง มี 8 ขั้น
วิชานี้เมื่อใช้งานจะดูดพลังงานผู้ที่อยู่ในบริเวณรอบตัวมาให้กับผู้ใช้วิชานี้ แต่หากศัตรูมีระดับพลังไม่มากกว่า 1 เท่าของผู้ใช้วิชา
วิชานี้มีขอบเขตขั้นแรกที่ 50 เมตรรอบตัวผู้ใช้ และแปลงพลังที่ดูดมาใช้ได้แค่ 20 % เท่านั้น หากถึงขั้นสูงสุดแล้วจะสามารถ แปลงพลังงานใช้ได้ 100% และระยะเพิ่มถึง 50 กิโลเมตร
หมายความว่า ถ้าดูดพลังจากรอบข้างมาได้ 100 จะใช้ได้แค่ 20 จากทั้งหมด
และข้อเสียอีกข้อของวิชานี้ ไม่สามารถดูดพลังเหล่านั้นมาใช้ในการบ่มเพาะพลังได้
ไมนอสเปิดใช้วิชา อัตลักษณ์แห่งการกลืนกินแล้วโดดเข้าไปใจกลาง ฝูง สุนับล่าเนื้อ
“พวกเราจะฆ่าพวกมันทั้งหมด นี้เป็นการฝึกอย่างหนึ่ง”
ไมนอสตะโกนขึ้นสั่งการต่อทันที่
และเมื่อไมนอสถึงใจกลางฝูงทหารหลายคนสังเกตถึงอาณาเขตแปลกๆ ที่แพร่ออกมารอบตัวนายน้อยของเขา เป็นวงแหวนหมอกสีดำ
ตอนนี้ไมนอสยังไม่สามารถเลือกเป้าหมายในการดูดพลังได้ เขาจึงได้สั่งการต่อทันที
“ไม่ต้องเข้ามาโจมตีพวกมันจากระยะไกล”
แล้วไมนอสก็ได้เปิดใช้วิชา กระบี่ไร้ขอบเขต เพื่อโจมตีเหล่าฝูงสัตว์อสูร
เฟี้ยว!! เฟี้ยว !!
เสียงใบมีดอากาศพุ่งใส่เหล่าสัตว์อสูร พวกมันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกเพราะโดน อาณาเขตของ กระบี่ไร้ขอบเขต ถ่วงเอาไว้ บ้างตัวถึงกับขยับไม่ได้ และตกเป็นเหยื่อคมดาบ หลายครั้งจนตาย
การร่ายรำดาบครั้งนี้ ของไมนอสดูลื่นไหลและสวยงามยังมาก
สวบ! สวบ!
ใบมีด กรีดผ่าร่างของสัตว์อสูรไปตัวแล้วตัวเล่า ทหารทุกคนต่างประหลาดใจกับวิชาของนายน้อยมาก
เสียงระเบิดจากการโจมตีของทหารที่ โจมตีเข้ามาจากระยะไกล ทำให้ฝูงสัตว์อสูรแตกกระเจิงไปคนละทาง
แล้วสัตว์อสูรที่ระดับสูงที่สุดก็พุ่งโจมตีไมนอสทันที
กร๊ากกกก!!!
มันคำรามขึ้นพร้อมโดดใส่ไมนอส และอ้าปากคิดจะกัดกระชากให้ไมนอสนั้นสิ้นใจในทันที
ไมนอสเปิดใช้วิชา กายาอมตะ เมื่อ คมเขี้ยวกระทบร่างของไมนอส กลับไม่สามารถแม้แต่จะสร้างรอยบุมจากแรงกดที่ผิวหนังได้เลยด้วยซ้ำ
และดาบอากาศปรากฎขึ้น และตัดเข้าที่หัวของสัตว์อสูรตัวนั้น เลือดพุ่งทะลักออกมายังกับน้ำพุ สีแดงฉานที่ นี้เป็นภาพที่หน้าสยดสยอง แต่ก็กลับกันก็เป็นภาพที่น่าหลงใหลยังยิ่ง
….
พวกทหารได้ฆ่าฝูงสัตว์อสูรจนหมดเกลี้ยง
“เอาละรวบรวมศพของมันแล้วเอาไปขายเมือถึงเมืองท่าซะ”
“ถึงแม้ราคามันไม่สูงมากนัก แต่ พวกเจ้าก็แบ่งคริสตัลที่ขายได้กันเองข้ายกให้”
ไมนอสพูดเสร็จก็เดินกลับเข้าเต้นไปชำระล้างกาย
เมื่อทหารได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจยังมากเพราะเหมือนได้ รางวัลค่าเหนื่อยในวันนี้
สุดท้ายแล้ว เมื่อนำซากศพมาขายทั้งหมดมูลค่ามันไม่ได้มากมายสำหรับไมนอสเลย และพวกทหารก็ได้แบ่งกัน มากกว่าคนละ 1,000 คริสตัลระดับต่ำ ซึ้งมากกว่า เงินเดือนพวกเขาถึงสองเท่า เลยที่ได้รับ
….
เมื่อคำคืนผ่านพ้นไปพวกเขาก็ออกเดินทางแต่เช้า และในที่สุดก็มาถึง เมืองท่าแห่งอาณาจักรบราวน์
‘มารีนทาม’