ผู้กอบกู้แห่งที่ราบทมิฬ ตอนที่ 14 การพบกันที่ไม่ต้องการ
1 อาทิตย์ผ่านไปหลังจาก เอเลน กลับไปเกาะศิลา แต่ยังไม่มีการค้าหรืออะไรเกิดขึ้น ถึงแม้ดินแดนนี้ต้องการเปลี่ยนแปลงยังมาก แต่ก็ต้องการงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนา
เนื่องจากปัญหาทางการเงินทำให้ แผนการบริหารของไมนอสนั้นถูกระงับ เขามีโครงการสร้าง สถานบันสอนจิตวิญญาณเองสำหรับเด็กๆ ในเมืองเพื่อรับสมัครนักเรียนที่อยากเข้ากองทัพที่ราบทมิฬ เช่นเดียวกับพี่น้องกริฟฟ์
แม้ตอนนี้ค่าเฉลี่ยระดับยังต่ำอยู่ แต่อีก 20 30 ปี มันจะเปลี่ยนไปยังแน่นอน เพราะไมนอสวางรากฐานไว้แล้ว
ในอาทิตย์นี้ ไมนอสไปถึงระดับ 13 แล้ว และยังส่งต่อวิชาระดับเงิน ให้กับพ่อบ้านดิลเลียนด้วย เป็นวิชาการรักษาด้วยเฉพาะ วิชา ‘อรุณคุ้มภัย’ มีถึง 6 ขั้นจะเป็นสำแสงใช้ในการรักษาบาดแผล
ตั้งแต่แผลไม่ร้ายแรงถึงแผนฉกรรจ์ถึงชีวิต แต่ด้วยพรสวรรค์ของ ดิลเลี่ยนยังไม่สามารถจะสำเร็จวิชาได้ถึงวิชานี้ แต่ก็พอจะรักษา หรือสร้างแขนขาที่ขาดได้ (.....นี้ขนานยังไม่สำเร็จนะ)
ไมนอสไม่ได้รีบส่งวิชานี้ให้พ่อบ้านแต่แรก เพราะเขาต้องทำความเข้าใจแต่ละวิชาก่อนที่จะให้กับใคร ทางพ่อบ้านดิลเลียนเองก็กำลังปรับตัวกับการฝึกวิชาใหม่เหมือนกัน
ไมนอสได้ไหว้วานให้ ทางพ่อบ้านให้นำเอาวิชาระดับดำ ไปให้กับทหารยามในการฝึกและเปลี่ยนวิชา และต่อไปในอนาคตวิชาพวกนี้จะถูกเก็บไว้ใน คลังวิชาของที่ราบทมิฬต่อไป
แต่ตอนนี้ส่งให้กับทหารรักษาการ ส่วนตัวของไมนอสก่อนเท่านั้นที่ได้เริ่มฝึกแล้ว
ในเมืองดราย หญิงสาวสองคนใส่เสื้อคลุมลวดลายเดียวกัน เหมือนกับคนของประเทศหรือนิกายหนึ่ง
กำลังเดินอยู่ใจกลางเมือง
หญิงสาวผมดำพูดขึ้น
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะมีดินแดนที่แห้งแล้งพลังจิตวิญญาณขนานนี้ อาจารณ์ ต้องขออภัยที่ต้องถาม แต่ ไมนอส นั้น ยังมีสติดีอยู่หรือไม่ หลังจากฟื้นแล้วถึงย้ายมาอยู่ในที่แบบนี้”
“เจ้านะคิดอะไรไม่เข้าเรื่อง รูท เขามาที่นี้เพราะที่นี้เป็นที่เดียวที่เขาจะไปได้”
ผู้หญิงดูเป็นผู้ใหญ่กว่าตอบ
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินทางมาถึงสำนักงานที่ไมนอสอยู่
“เข้าไปข้างในกันเถอะ เราจะได้พบกับเขา”
ผู้หญิงผมน้ำตาลพูดขึ้นและเดินเข้าไปในสำนักงาน
…..
“ยินดีตอนรับ ฉันมีอา ไม่ทราบมีอะไรให้ช่วยค่ะ”
มีอาตอนรับแขกผู้มาเยือนทันที
“ ช่วยไปแจ้งกับไมนอสที่ว่าแม่ของเขามาหา”
“แม่...ของนายน้อย”
มีอาตกใจกับประโยคนั้น เพราะผู้หญิงที่พูดนั้นดูเด็กกว่าเธอเสียด้วยซ้ำจะเป็นแม่ของไมนอสยังงั้นหรอ
เมื่อเธอตั้งสติได้
“อ้ะ!! ค่ะ ค่ะ เดียวดิฉันจะไปแจ้งให้เขาทราบ”
และมีอาก็รีบไปที่ห้องทำงานของไมนอสทันที
ในตอนนี้ไมนอส ดิลเลียน และ ไปกี้ กำลังพูดคุยกันเรื่องการรักษาความปล่อยภัยของเมือง
มีอาเปิดประตูออก
“นายน้อย!! มีผู้หญิงคนหนึ่งต้องหารพบนายน้อย แจ้งว่าเป็น มะ..”
ไม่ทันจะพูดเสร็จ หญิงสาวสองคนก็เดินเข้ามาทันที หนึ่งในนั้นคือแม่ของไมนอส เมซี่ โคลแมน ระดับ65 อยู่ในขั้น จักพรรดิแห่งจิตวิญญาณ
อีกคนพ่อบ้านและไมนอสไม่รู้จัก แต่ระดับของเธออยู่ที่ 43
พ่อบ้านได้ทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น
“คุณนาย เมซี่ยินดีที่ได้พบอีกครั้ง”
“โอ้ ดิลเลี่ยน ยินดีที่ได้พบนายอีกครั้ง”
“คุณมาทำอะไรที่นี้?”
ไมนอสถามอย่างเย็นชา
เขาไม่มีความสุขที่ได้เจอแม่ของเขาเลยสักนิด เพราะเธอไม่เคยสนใจเขาหรือทำตัวเป็นแม่เลยเมื่อเขาต้องการแม่ ทำไมเขาจึงจะต้องเคารพและเรียกเธอว่าแม่ด้วย??
เมื่อหญิงสาวผมดำได้ยินก็โมโหและพูดขึ้น
“นี้ๆ พูดกับแม่ให้กำเนินแบบนี้ได้ไง ไม่รู้หรือว่าแม่เจ้าเดินทางมาไกลแค่ไหน”
“แล้วไงใครสน เพราะข้าก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่เลยสักนิดเหมือนกัน”
ไมนอสตอบยังประชด
จากนั้นแม่ของไมนอสก็ได้ยกมือห้ามศิษย์ของเธอ
“รูธ!! ไม่ต้องพูดอะไร เขามีสิทธิที่จะแสดงท่าทีแบบนั้น ไม่ต้องห้ามเขา”
“ไมนอสลูก วันนี้แม่มาเพื่อจะพาลูกไปอยู่กับแม่ที่นิกายเมฆาสีเทา”
เธอได้จองมองที่ไมนอสและสังเกตว่าลูกของเธอนั้นโตขึ้นแค่ไหน
“แม้ลูกจะมีพรสวรรค์ดำ แต่ก็ยังเป็นผู้อาวุโสภายนอกของนิกายได้ ดีกว่าอยู่ในดินแดนแห่งนี้”
เธอพูดโน้มน้าวไมนอส
เมื่อ แม่ของไมนอสพูดออกไป ทั้งห้องนั้นไม่เห็นด้วยกับการพาไมนอสไปนิกาย ยกเว้น รูธ
ไปกี้ กับ มีอา ต่างคิดว่าตอนนี้ที่ราบทมิฬกำลังมีอนาคตที่สดใจรออยู่ ภายใต้การบริหารปกครองของไมนอส เมื่อได้ยินสิ่งนี้ทำให้ พวกเขาหวั่นใจยังมาก
แม้ที่ฟื้นฟูที่ราบทมิฬจนเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็รู้ว่า ไมนอสนั้นเป็นผู้ปกครองที่ดี และเขายังมีแผนการอีกมากมายที่จะพัฒนาดินแดนนี้ ตอนนี้พวกเขาไม่อยากสูญเสียผู้นำคนนี้ไป
พ่อบ้านดิลเลี่ยนก็รู้สึกไม่ต่างกันไม่อยากให้ ไมนอสไปกับคุณนาย เพราะเขาได้ทราบถึงแผนการบริหารของไมนอส และมั่นใจว่า นายน้อยของเขานั้นต้องบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้แน่ และถึงไม่ต้องกลับไปนิกายกับแม่ตัวเอง ไมนอสก็ยังมีมรดกและมิติโลกขนาน ที่มีอาณาจักรอยู่และมีทรัพยากรมากมาย ไม่มีอุปสรรค ต่อการฝึกบ่มเพาะพลังเลย
สำหรับไมนอสนั้นเห็นว่า ผู้หญิงคนหนึ่งต้องการให้เขาล้มเลิกเป้าหมาย และไปอยู่ที่นิกาย ต่อให้เขาเข้าไปอยู่ในนิกายเขาก็ต้องชิงดีชิงเด่นกับคนภายใน และอุปสรรคมากมาย ถึงแม้เขาจะฝ่าฟันผ่านไปได้ถึงจุดสูงสุด ก็คงไม่มีใครในนั้นหวังดีต่อเขา
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพักไมนอสก็หัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่ต้องการเจตนาดีของคุณ อยู่นี้ข้าสบายดี แต่ไม่แน่นะต่อไปคุณอาจต้องมาอ้อนวอนขอให้ข้าช่วยแทนก็ได้”
หลังพูดจบไมนอสพุ่งออกจากห้องแล้วเข้ามิติโลกขนานไปสงบสติอารมทันที
ในขณะนั้น รูธ ได้ด่าไมนอสอยู่ในใจ
“เฮ้อ….กระผมต้องอภัยแทนนายน้อยไมนอสด้วย ขอรับ แต่ นายน้อยอยู่ที่นี้สบายดี และกระผมรู้ว่าท่านเป็นห่วงอนาคตของเขา แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่านายน้อยจะไม่เป็นไรขอรับ”
ดิลเลียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มขอโทษบนใบหน้าของเขา
“ไม่เป็นไร ข้าพอจะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่ไปกับข้าแน่ แต่ก็อยากจะลองเกลี้ยกล่อมเขาดู เพราะถ้าอยู่ในนิกายก็ยังอยู่ในสายตาข้า”
“กระผมเข้าใจขอรับ แต่บางที่นายน้อยก็ไม่จำเป็นต้องค่อยปกป้องตลอดไป..”
ดิลเลียนตอบพร้อมกับไขว้มือไปด้านหลัง
“ดิลเลียน เหตุไหนเจ้าถึงพูดแบบนี้..”
แม่ของไมนอสถามด้วยความสงสัย
“คุณนายไม่รู้สึกถึงระดับของนายน้อยเลยหรือขอรับ”
เธอตอบยังไม่ทันคิด
“ตอนนี้เขาน่าจะอยู่ที่ระดับ 13…”
เมื่อเธอพูดเสร็จก็ทำให้เธอคิดได้ทันที
“ถูกต้องแล้ว ขอรับ นายน้อยพึ่งจะฟื้นมาเมื่อ 1 เดือนก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น รูธถึงกับตกใจ
‘ได้ไง ขนานเรามีพรสวรรค์ระดับเงินยังใช้เวลาต้อง 3 เดือนกว่าจะมาถึงระดับนั้น’
“ข้าจะอยู่ที่เมืองดรายอีก สองวัน แจ้งให้ลูกข้าทราบด้วย”
แล้วเธอก็ออกจากสำนักงานไป
หลังจากออกมาจากสำนักงาน ไมซี่และรูธ ได้เข้าพักที่โรงแรม สี่ฤดู
“ท่านอาจารย์ ทำไมเราไม่กลับเลยละ ลูกท่านคงไม่เปลี่ยนใจหรอก”
รูธถามขึ้นก่อนถึงโรงแรม
“ข้ารู้ แต่ข้าอยากสังเกตลูกชายข้ออีกสักพักก่อนที่พวกเราจะไป”
“แม้ว่าเขาจะไม่เปลี่ยนใจ แต่ถึงกระนั้นข้าอยากให้เจ้ากลับมาที่นี้ในอีก ครึ่งปี เพื่อดูความการหน้าของเขา ถ้าเขายังมีพัฒนาการที่รวดเร็วแบบนี้อยู่ ข้าต้องการให้เจ้า พาเขาไปร่วมการแข่งขันที่จะจัดขึ้นในอีก 18 เดือน ข้างหน้านี้ที่อาณาจักรครอมเวลล์”
“ด้วยวิธีนี้ เขาจะเข้าใจถึงความแตกต่างของระดับโลกใบนี้ ถึงจะฝึกบ่มเพาะได้เร็ว แต่ก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งที่สุด การได้ต่อสู้กับคนรุ่นเดียวกันจะเปิดหูเปิดตาเขา และเขาจะเปลี่ยนใจเอง”
ไมซี่พูดยังมั่นใจ
“อ้า..แล้วถ้าเขาปฏิเสธอีกล่ะ”
“เขาไม่ปฏิเสธเป็นแน่น เขาเหมือนพ่อเขา และความต้องการอยู่ได้ด้วยตัวของเขาเอง จะไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้เลย”
หลังจากนั้นทั้งสองก็เข้าพักที่โรงแรมเป็นเวลาสองวัน