ตอนที่ 5 : เด็กพลังจิต (5)
ตอนที่ 5 : เด็กพลังจิต (5)
“หยุดได้!”
ครูฝึกเป่านกหวีดเสียงแหลมแสบหูแล้วตะโกนลั่น เด็กทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ร่วงลงไปกองที่พื้นเหมือนหุ่นเชิดที่ถูกตัดเชือก พวกเขาแทบลืมตาไม่ขึ้นด้วยซ้ำ
“ขอบคุณนะอีฮัน” คุโระเค้นเสียงพูดแม้ว่าจะหายใจแทบไม่ทัน
“ด้วยความยินดี”
อีฮันไม่อยากทิ้งคุโระไว้ข้างหลัง คุโระทำให้เขานึกถึงน้อง ๆ ที่บ้านเด็กกำพร้าด้วยเหตุผลบางประการ
ผ่านไปไม่ถึงนาที ยังไม่ทันที่ใครจะได้พักหายใจ ครูฝึกก็สั่งให้ทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง
เด็ก ๆ ตั้งแถวกันระเนระนาด ก่อนจะค่อย ๆ เขยิบมาอยู่รวมกัน ช่วงเวลาเคลื่อนตัวนี้เป็นจังหวะเดียวที่พวกเขาจะได้พัก
“มังกรมีต้นกำเนิดมาจากต่างมิติ พวกมันมีตัวตนทั้งบนโลกของเราและโลกของมัน เวลาที่มันปรากฏตัวบนโลกของเรา มันจะมีลักษณะเป็นภาพฝันลวงตา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงฆ่ามันด้วยอาวุธทางกายภาพไม่ได้”
หลังจากวิ่งช่วงเช้าเสร็จก็เป็นเวลาของการเรียนทฤษฎีและประวัติศาสตร์ ครูที่สอนเป็นอาจารย์ท่าทางใจดีบนหน้าจอโฮโลแกรม เด็กส่วนใหญ่แอบงีบหลับในเวลานี้ แต่อีกหลายคนก็ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ
“มีแค่ไซเกอร์เท่านั้นที่มีความสามารถในการฆ่ามังกร หรือพูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ พลังจิต ที่ทำให้เราฆ่ามังกรได้ พลังจิตที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธกายภาพเท่านั้นที่มีพลังมากพอจะสยบมังกร”
“แล้วเราใช้อาวุธนิวเคลียร์สู้กับมันไม่ได้หรอครับ” เด็กคนหนึ่งยกมือถาม
“อาวุธนิวเคลียร์ทำได้อย่างมากก็แค่ขวางทางมัน อย่างที่บอกว่าร่างกายของมันมีรูปแบบเป็นภาพลวงตา เราสามารถใช้พลังที่แข็งแกร่งมาระเบิดสิ่งของให้ระเหยเป็นไอ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับพวกมังกรได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่นั่นก็ทำได้แค่ยื้อเวลาโจมตีออกไปเล็กน้อย ปัญหาหลักไม่ได้ถูกแก้ ในสงครามครั้งก่อน หลายประเทศก็เคยคิดว่าอาวุธนิวเคลียร์จะใช้การกับมังกรได้ ตอนท้ายเราถึงได้มารู้ทีหลังว่าอาวุธนั่นมีแต่จะสร้างความเสียหายเกินแก้ให้กับโลก”
อาจารย์อธิบายลำดับเหตุการณ์ของสงครามครั้งแรกต่อไป ไซเกอร์ผู้ได้รับพลังค่อย ๆ ปรากฏตัว พวกเขาอดทนสู้สุดแรงจนฆ่ามังกรได้ แต่ก็ทำได้แค่เอาชีวิตรอดมาอย่างหวุดหวิด จนกระทั่งมีคำทำนายว่าจะมีสงครามครั้งที่สอง การโจมตีครั้งแรกที่เป็นเพียงการโจมตีเล็ก ๆ ของกองกำลังอารักขายังเกือบทำลายล้างมนุษยชาติจนหมดสิ้น แม้ว่าจะผ่านมากว่า 12 ปีแล้วแต่โลกก็ยังฟื้นตัวคืนมาไม่ได้
อีฮันนั่งหลบมุมอยู่กับตัวเอง เขาไม่ได้สนใจฟังเรื่องราวเท่าไรนัก ความสนใจของเขามุ่งอยู่แต่กับการฝึกพลังจิต เด็กคนอื่นที่ยังปลุกพลังไม่ได้ต่างก็โฟกัสอยู่กับอย่างอื่นเช่นกัน
สองสัปดาห์ผ่านไปแล้ว เด็กที่ปลุกพลังสำเร็จดูท่าทางสบายอกสบายใจ ในขณะที่คนที่ยังดึงพลังออกมาไม่ได้ดูมืดมนขึ้นทุกวัน
‘ไซมอน เดลล์’
อีฮันจ้องไซมอนเขม็ง เขานั่งอยู่แถวหน้าสุดของคลาสเหมือนพวกเด็กเรียน ทั้งที่น่าจะเคยเรียนมาหมดแล้วแต่ก็ยังนั่งเรียนด้วยความตั้งใจ
‘เด็กส่วนใหญ่ที่ไปขอความช่วยเหลือจากไซมอน ปลุกพลังได้สำเร็จทั้งนั้น’ เสียงของคุโระดังก้องในหัว
ไซมอนรู้วิธีที่ต่างจากที่ครูฝึกสอน
การเอาชนะอุปสรรคในใจเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของการปลุกพลังไซเกอร์ ไซเกอร์มีอยู่หลายประเภทนับไม่ถ้วน และแต่ละคนก็มีวิธีปลุกพลังเฉพาะตัว
รู้วิธีใหม่ไม่ได้แปลว่าจะทำสำเร็จได้ในวันเดียว อีฮันเข้าใจสาระสำคัญของมันดี
‘นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวรักษาอีโก้ของตัวเองแล้ว เหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เดียว…’
อีฮันรอจนจบคลาสแล้วพุ่งตัวเข้าหาไซมอนทันที เวลาว่างเดียวของที่นี่คือช่วงพักกลางวัน
“ว้าว ดูสิว่าใครมาหา”
ไซมอนเบนความสนใจจากกลุ่มเพื่อนยุโรปผิวขาวของเขา “ว่าไงอีฮัน”
“ขอยืมเวลานายหน่อยสิ” อีฮันปริปากพูด
“ทำไมฉันต้องให้ด้วย”
ไซมอนยิ้มเยาะ ก่อนจะหันหน้าหนี
อีฮันคิดไว้แล้วว่าอาจจะเป็นแบบนี้ เขาหยิบช็อคโกแลตในกระเป๋าที่แอบเก็บจากมื้ออาหารเมื่อวานออกมา “นี่น่าจะพอเป็นเหตุผลได้นะ”
ไซมอนเป็นเด็กกำลังโตที่กินเท่าไหร่ก็ไม่พอ เขาหัวเราะกับข้อเสนอของอีฮัน แต่ก็คว้าช็อคโกแลตไป ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคุยกับอีฮันเป็นการส่วนตัว
ไซมอนฉีกฟอยล์ห่อช็อคโกแล้วแล้วงับเข้าไปคำโต
“นายอยากรู้อะไรล่ะ” เขาถามเสียงอู้อี้เพราะช็อคโกแลตที่อยู่ในปาก
“รู้อยู่แล้วก็อย่าแกล้งถาม” อีฮันตอบกลับห้วน ๆ
ไซมอนยิ้มเจ้าเล่ห์
“โอเค โอเค นายอยากรู้วิธีของฉันใช่ไหมล่ะ วิธีของครูฝึกมันไม่ค่อยเคลียร์ก็จริง แต่ว่ากันตามตรง ถ้านายทำวิธีนั้นไม่ได้ผลก็คงไม่ค่อยมีโชคกับวิธีของฉันสักเท่าไหร่เหมือนกัน” เขาว่าแล้วกัดช็อคโกแลตอีกคำ “คนอื่นที่ฉันสอนทำได้กันหมด แต่นายอยู่แค่ระดับ D เองนี่ โอกาสที่พลังจะตื่นมีไม่เยอะนักหรอก หรือต่อให้ทำได้ก็คงอนาคตไม่สวยสักเท่าไหร่”
“นั่นมันปัญหาของฉัน นายแค่บอกวิธีมาก็พอ”
“ขนมของนายทั้งสัปดาห์ที่เหลืออยู่เป็นของฉัน ตกลงมั้ย” ไซมอนยื่นข้อเสนอ เงื่อนไขนี้ยากกว่าที่เขาขอจากคนอื่นมาก
‘โชคดีที่ขอแค่นี้ ฉันดีใจด้วยซ้ำที่นายไม่ได้สั่งให้อดอาหารแทนน่ะ’
อีฮันใช้ชีวิตแบบที่ต้องกังวลกับการหาอาหารแต่ละมื้อมาตลอดจนกระทั่งมาอยู่ที่นี่ แค่ไม่ได้กินขนมล้างปาก ไม่กระทบกระเทือนเขาสักเท่าไหร่
อีฮันพยักหน้าตอบรับ ทำเอาไซมอนหลุดยิ้มดีใจจนเห็นฟันที่เลอะช็อคโกแลต ทั้งคู่ยื่นมือมาจับกันเป็นอันทำสัญญา
“บอกไว้ก่อนนะว่าวิธีของฉันมันรุนแรงนิดหน่อย ต่อให้เจ็บแค่ไหนก็อดทนไว้ล่ะ”
ไซมอนหัวเราะชั่วร้ายจนอีฮันเริ่มมีความกังวลขึ้นมา แต่เขาก็เลือกที่จะเชื่อไซมอน ไซมอนเป็นเด็กหัวสูงและเย่อหยิ่ง แต่ไม่ใช่พวกตาขาวที่จะกลับคำกลางคัน
“ใช้เวลานานหรือเปล่า” อีฮันถาม
“แค่แปปเดียวเท่านั้นแหละ” ไซมอนตอบ “แก่นของนายอยู่ตรงไหน”
“แก่น?”
“ที่ที่นายจะรวมพลังจิต มีที่ไหนแว้บขึ้นมาในหัวนายบ้างไหม”
อีฮันหยุดคิดพักหนึ่งก่อนจะตอบ “หัวใจ”
ทันทีที่อีฮันพูดจบ ไซมอนก็หยิบปากกาลูกลื่นขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วปักลงบนหน้าอกของอีฮันทันที
“อั้ก”
อีฮันคราง ไซมอนดึงปากกาออกมาแล้วทิ่มซ้ำลงไปที่เดิมเพื่อเปิดแผลให้กว้างขึ้น
“นี่ใช่วิธีจริง ๆ ใช่ไหม นายไม่ได้พยายามฆ่าฉันอยู่ใช่หรือเปล่า” อีฮันร้องครวญ
ไซมอนหัวเราะผ่านจมูก พลางเก็บปากกาเข้ากระเป๋า
“ตอนนี้แผลที่อกนายจะเป็นทางผ่านของพลัง พอนายรู้สึกเจ็บก็จะโฟกัสง่ายขึ้น ลองนึกภาพตัวเองดึงพลังออกมาจากรูนั่นสิ”
มันฟังดูเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้
อีฮันเพ่งสมาธิไปที่ความเจ็บปวด เขารู้สึกถึงรูที่อยู่บนอก และพบว่าขนาดมันพอ ๆ กับหัวปากกา
“เข้าใจแล้ว”
ไซมอนหัวเราะทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป “อย่าลืมของว่างฉันล่ะ ไม่ว่านายจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ต้องเอามาให้ฉันทุกวัน เข้าใจใช่ไหม”
เขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก
นับตั้งแต่นั้นมา อีฮันก็มอบขนมให้ไซมอนโดยไม่เสียดายแม้แต่น้อย