ตอนที่แล้วตอนที่ 3 : เด็กพลังจิต (3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5 : เด็กพลังจิต (5)

ตอนที่ 4 : เด็กพลังจิต (4)


ตอนที่ 4 : เด็กพลังจิต (4)

“หลับตาลง นึกภาพพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย แล้วรวมพลังงานพวกนั้นไว้ที่จุดใดจุดหนึ่ง จะเป็นที่หัวหรือหัวใจก็ได้ หรือถ้าถนัดจะรวมพลังไว้ที่ท้องเหมือนการฝึกกำลังภายในก็ทำไป จำไว้ว่าจุดสำคัญอยู่ที่การปั้นพลังให้เป็นรูปเป็นร่างในร่างกาย”

ครูฝึกเรดอธิบายวิธีการปลุกพลังให้เด็ก ๆ ฟัง แม้ว่าเขาสอนมาหลายวิธีต่อหลายวิธีแล้ว แต่เด็กส่วนใหญ่ก็ยังปลุกพลังขึ้นมาไม่ได้

อีฮันก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาไม่เคยคิดว่าพลังจิตจะมีประโยชน์ในชีวิตของเขา มันไม่เคยอยู่ในความคิดเลยจนกระทั่งเซนเซอร์ทำงาน

“เฮ้อ สิ้นหวังแท้” ครูฝึกเรดพึมพัมกับตัวเองเสียงดังพอที่เด็ก ๆ จะได้ยิน

“อย่างที่รู้กันว่าพวกแกมีเวลาแค่สามสัปดาห์ ถ้าในสามสัปดาห์นี้ใครยังดึงพลังออกมาไม่ได้ก็เตรียมตัวกลับบ้านได้เลย”

เด็กทุกคนหยุดกึกพร้อมกัน พวกเขาเข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง ไล่ถามแต่ละคนได้เลยว่าทำไมถึงยังกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้

อีฮันตั้งสมาธิอีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกถึงพลังในร่างกายแม้แต่น้อย

วันแล้ววันเล่าผ่านไป การฝึกทุกวิธีผ่านมืออีฮันมาแล้วทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ไม่บังเกิดผล เด็กคนอื่นเริ่มปลุกพลังสำเร็จกันทีละคน ๆ แม้แต่เพื่อนที่ใกล้ชิดอีฮันที่สุดอย่างคุโระก็ทำได้แล้วเช่นกัน

หวึ่ง–

ดวงตาของคุโระสะท้อนแสงสีฟ้า อากาศรอบตัวสั่นระริก

“สำเร็จ! ทำได้แล้วอีฮัน! ฉันทำได้แล้ว” คุโระยิ้มร่าตะโกนบอก ทั้งยังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

อีฮันชำเลืองมองแล้วตอบห้วน ๆ “ดีใจด้วย”

คุโระสะดุ้งรู้ตัว เขาก้มมองต่ำก่อนจะพูดเสียงแผ่ว

“ขอโทษที”

ยิ่งได้เห็นคุโระทำสำเร็จ อีฮันก็ยิ่งกังวลใจ หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้วนับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาที่อาร์ค

นอกเหนือจากชั่วโมงฝึกร่างกาย อีฮันยังใช้เวลาในชั่วโมงเรียนทฤษฎีฝึกพลังจิตด้วย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่รู้สึกถึงพลังเลยแม้แต่ปลายเล็บ

‘หรือว่าเราจะไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้’ เขาแอบคิดในใจ

“อีฮัน”

เสียงตะโกนเรียกของคุโระดึงเขากลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง

“ว่าไง” อีฮันตอบเสียงนิ่ง ท่าทางดูหงุดหงิดไม่น้อย

คุโระวิ่งเข้ามาใกล้ เขาพยักหน้าไปอีกทาง

“ทำไมนายไม่ลองถามไซมอนดูล่ะ เห็นหลายคนก็ทำได้เพราะวิธีที่ไซมอนเรียนมานะ”

อีฮันขมวดคิ้ว

ตั้งแต่ที่ไซมอนพูดจาไม่เข้าหูครั้งก่อน กลุ่มยุโรปกับเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือก็ไม่ลงรอยกัน พวกเขาไม่ได้ทะเลาะถึงขั้นต่อยตีลงไม้ลงมือกันก็จริง แต่สงครามเย็นก็ยังดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับแต่นั้น

“ไม่เป็นไร ฉันยังมีเวลาอยู่” อีฮันตอบปัดอย่างไม่ใยดี

เขาไม่ได้มองไซมอนในทางที่ดีนัก ทุกคำพูดของเขามันช่างหยิ่งผยอง เหมือนกับคำพูดของคนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น

แค่นึกถึงก็รู้สึกได้ถึงความโกรธที่แผดเผาในอก อีฮันไม่ยอมแพ้ เขายังฝึกต่อไปจนถึงเวลาเข้านอน

***

ที่จุดพักผ่อนแห่งหนึ่งในอาร์ค ครูฝึกกำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ในมือถือกาแฟกันคนละแก้ว

“เด็กใหม่เป็นยังไงบ้าง” ครูคนหนึ่งถามขึ้นพลางจิบกาแฟ ด้านหน้ามีเอกสารโฮโลแกรมเปิดอยู่

“ไซมอน หมอนั่นนิสัยเหมือนขยะ แต่ผลงานไม่แย่”

“ได้ยินว่าเขาเป็นเด็กอัจฉริยะคนสุดท้ายของโรงฝึกที่อังกฤษนี่”

“เด็กนั่นมีพลังระดับ A6 แหนะ อนาคตสว่างสไวเชียวล่ะ” เขามองข้อมูลบนจอโฮโลแกรม “พลังเคลื่อนย้ายก็ทำได้ดีทั้งที่เพิ่งเรียนไปปีเดียว อายุแค่นี้มีโอกาสขึ้นไปถึง A1 ได้เลย”

ด้วยเหตุผลด้านทรัพยากรและงบประมาณ ทำให้มีเพียงเด็กหัวกะทิเท่านั้นที่จะได้เข้าร่วมกองทัพไซเกอร์อย่างเป็นทางการ

เครื่องมือของไซเกอร์ราคามหาศาล ไซโครเฟรมที่จะช่วยขยายขอบเขตพลังของไซเกอร์มีจำนวนจำกัด ทำให้ราคาพุ่งอย่างกับจรวด

“เด็กคนนั้นล่ะ? อีฮัน จากเกาหลี”

“เด็กนั่นเรียนรู้เร็วสุดในทุกวิชาเลย  ความสามารถในการเรียนรู้เหนือกว่าเด็กคนอื่น แถมยังพยายามกว่าคนอื่นมาก” ครูอีกคนตอบอย่างไว “น่าเสียดายที่ตอนนี้พลังยังไม่ตื่น แต่ถึงปลุกพลังขึ้นมาได้ก็อยู่แค่ระดับ D คงใช้พลังได้จำกัด”

ครูฝึกเรดนั่งฟังทุกคำพูดในบทสนทนา เขาจุดไฟขึ้นที่ปลายนิ้วแล้วจุดบุหรี่ที่คาบอยู่ พลังเฉพาะตัวของเขาคือไฟ

“ยังมีเวลาเหลืออยู่”

เขาดูดบุหรี่เข้าเต็มปอดก่อนจะพ่นควันออกมาโขมงใหญ่

“พลังจิตไม่ได้มีแต่ที่ค่อย ๆ แข็งแกร่ง พวกที่เก่งขึ้นมาพรวดพราดก็มี”

ครูฝึกเรดแสดงความเห็นก่อนจะพิงตัวบนพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ทันใดนั้นก็มีใครบางคนเรียกเขา

“ครูฝึกครับ ที่นี่เป็นเขตปลอดบุหรี่”

***

“แฮ่ก แฮ่กก–”

ลมหายใจของคนนับสิบในสนามฝึกกำลังจะหมดลง

เด็กทุกคนถูกสั่งให้วิ่งทั้งตอนเช้าและเย็นทุกวันไม่มีพัก มันเป็นการฝึกที่นับว่าโหดเกินไปสำหรับเด็กที่ยังไม่โตเต็มวัยอย่างพวกเขา แม้แต่ผู้ใหญ่ร่างกายแข็งแรงเองยังต้องร้องโอดครวญถ้าได้รับการฝึกนี้ แต่ครูฝึกกลับสั่งให้เด็ก ๆ ทำมันอย่างไร้เหตุผลและไร้ยางอาย

“อึก!”

ทันทีที่มีใครทรุดตัวลงกับพื้นหรือหยุดอาเจียน ครูฝึกจะวิ่งจี๋เข้ามาแล้วตะโกนคำพูดหยาบคายใส่จนเด็กเหล่านั้นต้องฝืนวิ่งต่ออย่างช่วยไม่ได้

ไม่มีเวลากำหนดว่าพวกเขาต้องวิ่งไปนานเท่าไร พวกเขาแค่ต้องวิ่งจนกว่าครูฝึกจะสั่งให้หยุดพัก

การฝึกนี้ไม่ใช่เพื่อเพิ่มสมรรถนะทางร่างกาย หากแต่เป็นบททดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจ เป้าหมายของอาร์คคือการสร้างพลทหารไซเกอร์ที่พร้อมจะทำภารกิจให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเจออุปสรรค หรืออยู่ในสถานการณ์เลวร้ายขนาดไหนก็ตาม

ครูฝึกจะให้พวกเขาวิ่งจนถึงขีดจำกัด แม้ว่าร่างกายจะรับไม่ไหว แต่จิตใจต้องแข็งแกร่งพอที่จะฝืนตัวเองลุกขึ้นมาอีกครั้งให้ได้

“ฉัน – แฮ่ก – ฉันวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว”

น้ำเสียงอ่อนแรงของคุโระแทรกผ่านมือที่ปิดปากเอาไว้ เขาพยายามสุดชีวิตที่จะไม่อ้วกออกมา จังหวะที่กลืนก้อนอาหารที่จ่ออยู่ที่คอลงไปได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่อีฮันดันหลังเขาให้วิ่งต่อ

“อย่าพูดว่ายอมแพ้ เมื่อไหร่ที่นายพูดมัน ทุกอย่างจะจบทันที” เขาพูดเสียงเข้ม “อดทนไว้คุโระ”

คุโระผิวดำ แต่ร่างกายอ่อนแอ เขาเป็นเด็กกำพร้าจากสงคราม แต่เติบโตมาอย่างสะดวกสบายกว่าอีฮันมาก เด็กทั้งสองเจอสถานการณ์ที่เหมือนกัน แต่ในเวลาเดียวกันก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว

“อึก–”

คุโระหน้ามืด ทรุดลงไปอยู่ที่พื้น

ครูฝึกปรี่เข้ามาหาคุโระทันที เขาตะโกนถ้อยคำหยาบคาย และพ่นคำดูถูกเหยียดหยามออกมาจนฟังแทบไม่ทัน คำพูดเหล่านั้นรุนแรงจนคุโระต้องยอมฝืนดันตัวเองขึ้นมาจากพื้น

“ฉัน– ฉันไม่ไหวแล้ว”

ถ้าเขายอมแพ้ตอนนี้ เขาจะต้องถูกส่งกลับบ้านทันทีไม่มีข้อยกเว้น อาร์คเลือกเฉพาะเด็กที่โดดเด่นเข้าร่วมกองทัพไซเกอร์ พวกเขาจะไม่ยอมเสียเวลาเปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็นยอดมนุษย์

อีฮันไม่พูดอะไรแต่ดึงคุโระมาประชิด เขายกแขนของคุโระขึ้นพาดไหล่ แล้วเริ่มวิ่งต่อ

ครูฝึกชำเลืองมองทั้งคู่ แต่ไม่พูดอะไร บางครั้งทหารก็จำเป็นต้องฝากชีวิตไว้ที่เพื่อนร่วมศึกเช่นกัน พวกเขายืดหยุ่นให้ในกรณีที่เพื่อนช่วยเพื่อนแบบนี้

เด็กหลายคนเห็นอีฮันทำได้โดยไม่โดนต่อว่าก็เริ่มทยอยทำตามบ้าง คนที่แข็งแรงกว่ายื่นมือเข้าช่วยเพื่อนที่อ่อนแอกว่า

‘ในบรรดาเด็กใหม่ทั้งหมด อีฮันเป็นคนที่จิตใจแข็งแกร่งที่สุด’

ครูฝึกจดบันทึกแล้วคิดในใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด