ตอนที่ 4 : เด็กพลังจิต (4)
ตอนที่ 4 : เด็กพลังจิต (4)
“หลับตาลง นึกภาพพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย แล้วรวมพลังงานพวกนั้นไว้ที่จุดใดจุดหนึ่ง จะเป็นที่หัวหรือหัวใจก็ได้ หรือถ้าถนัดจะรวมพลังไว้ที่ท้องเหมือนการฝึกกำลังภายในก็ทำไป จำไว้ว่าจุดสำคัญอยู่ที่การปั้นพลังให้เป็นรูปเป็นร่างในร่างกาย”
ครูฝึกเรดอธิบายวิธีการปลุกพลังให้เด็ก ๆ ฟัง แม้ว่าเขาสอนมาหลายวิธีต่อหลายวิธีแล้ว แต่เด็กส่วนใหญ่ก็ยังปลุกพลังขึ้นมาไม่ได้
อีฮันก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาไม่เคยคิดว่าพลังจิตจะมีประโยชน์ในชีวิตของเขา มันไม่เคยอยู่ในความคิดเลยจนกระทั่งเซนเซอร์ทำงาน
“เฮ้อ สิ้นหวังแท้” ครูฝึกเรดพึมพัมกับตัวเองเสียงดังพอที่เด็ก ๆ จะได้ยิน
“อย่างที่รู้กันว่าพวกแกมีเวลาแค่สามสัปดาห์ ถ้าในสามสัปดาห์นี้ใครยังดึงพลังออกมาไม่ได้ก็เตรียมตัวกลับบ้านได้เลย”
เด็กทุกคนหยุดกึกพร้อมกัน พวกเขาเข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง ไล่ถามแต่ละคนได้เลยว่าทำไมถึงยังกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้
อีฮันตั้งสมาธิอีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกถึงพลังในร่างกายแม้แต่น้อย
วันแล้ววันเล่าผ่านไป การฝึกทุกวิธีผ่านมืออีฮันมาแล้วทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ไม่บังเกิดผล เด็กคนอื่นเริ่มปลุกพลังสำเร็จกันทีละคน ๆ แม้แต่เพื่อนที่ใกล้ชิดอีฮันที่สุดอย่างคุโระก็ทำได้แล้วเช่นกัน
หวึ่ง–
ดวงตาของคุโระสะท้อนแสงสีฟ้า อากาศรอบตัวสั่นระริก
“สำเร็จ! ทำได้แล้วอีฮัน! ฉันทำได้แล้ว” คุโระยิ้มร่าตะโกนบอก ทั้งยังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
อีฮันชำเลืองมองแล้วตอบห้วน ๆ “ดีใจด้วย”
คุโระสะดุ้งรู้ตัว เขาก้มมองต่ำก่อนจะพูดเสียงแผ่ว
“ขอโทษที”
ยิ่งได้เห็นคุโระทำสำเร็จ อีฮันก็ยิ่งกังวลใจ หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้วนับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาที่อาร์ค
นอกเหนือจากชั่วโมงฝึกร่างกาย อีฮันยังใช้เวลาในชั่วโมงเรียนทฤษฎีฝึกพลังจิตด้วย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่รู้สึกถึงพลังเลยแม้แต่ปลายเล็บ
‘หรือว่าเราจะไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้’ เขาแอบคิดในใจ
“อีฮัน”
เสียงตะโกนเรียกของคุโระดึงเขากลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง
“ว่าไง” อีฮันตอบเสียงนิ่ง ท่าทางดูหงุดหงิดไม่น้อย
คุโระวิ่งเข้ามาใกล้ เขาพยักหน้าไปอีกทาง
“ทำไมนายไม่ลองถามไซมอนดูล่ะ เห็นหลายคนก็ทำได้เพราะวิธีที่ไซมอนเรียนมานะ”
อีฮันขมวดคิ้ว
ตั้งแต่ที่ไซมอนพูดจาไม่เข้าหูครั้งก่อน กลุ่มยุโรปกับเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือก็ไม่ลงรอยกัน พวกเขาไม่ได้ทะเลาะถึงขั้นต่อยตีลงไม้ลงมือกันก็จริง แต่สงครามเย็นก็ยังดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับแต่นั้น
“ไม่เป็นไร ฉันยังมีเวลาอยู่” อีฮันตอบปัดอย่างไม่ใยดี
เขาไม่ได้มองไซมอนในทางที่ดีนัก ทุกคำพูดของเขามันช่างหยิ่งผยอง เหมือนกับคำพูดของคนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น
แค่นึกถึงก็รู้สึกได้ถึงความโกรธที่แผดเผาในอก อีฮันไม่ยอมแพ้ เขายังฝึกต่อไปจนถึงเวลาเข้านอน
***
ที่จุดพักผ่อนแห่งหนึ่งในอาร์ค ครูฝึกกำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ในมือถือกาแฟกันคนละแก้ว
“เด็กใหม่เป็นยังไงบ้าง” ครูคนหนึ่งถามขึ้นพลางจิบกาแฟ ด้านหน้ามีเอกสารโฮโลแกรมเปิดอยู่
“ไซมอน หมอนั่นนิสัยเหมือนขยะ แต่ผลงานไม่แย่”
“ได้ยินว่าเขาเป็นเด็กอัจฉริยะคนสุดท้ายของโรงฝึกที่อังกฤษนี่”
“เด็กนั่นมีพลังระดับ A6 แหนะ อนาคตสว่างสไวเชียวล่ะ” เขามองข้อมูลบนจอโฮโลแกรม “พลังเคลื่อนย้ายก็ทำได้ดีทั้งที่เพิ่งเรียนไปปีเดียว อายุแค่นี้มีโอกาสขึ้นไปถึง A1 ได้เลย”
ด้วยเหตุผลด้านทรัพยากรและงบประมาณ ทำให้มีเพียงเด็กหัวกะทิเท่านั้นที่จะได้เข้าร่วมกองทัพไซเกอร์อย่างเป็นทางการ
เครื่องมือของไซเกอร์ราคามหาศาล ไซโครเฟรมที่จะช่วยขยายขอบเขตพลังของไซเกอร์มีจำนวนจำกัด ทำให้ราคาพุ่งอย่างกับจรวด
“เด็กคนนั้นล่ะ? อีฮัน จากเกาหลี”
“เด็กนั่นเรียนรู้เร็วสุดในทุกวิชาเลย ความสามารถในการเรียนรู้เหนือกว่าเด็กคนอื่น แถมยังพยายามกว่าคนอื่นมาก” ครูอีกคนตอบอย่างไว “น่าเสียดายที่ตอนนี้พลังยังไม่ตื่น แต่ถึงปลุกพลังขึ้นมาได้ก็อยู่แค่ระดับ D คงใช้พลังได้จำกัด”
ครูฝึกเรดนั่งฟังทุกคำพูดในบทสนทนา เขาจุดไฟขึ้นที่ปลายนิ้วแล้วจุดบุหรี่ที่คาบอยู่ พลังเฉพาะตัวของเขาคือไฟ
“ยังมีเวลาเหลืออยู่”
เขาดูดบุหรี่เข้าเต็มปอดก่อนจะพ่นควันออกมาโขมงใหญ่
“พลังจิตไม่ได้มีแต่ที่ค่อย ๆ แข็งแกร่ง พวกที่เก่งขึ้นมาพรวดพราดก็มี”
ครูฝึกเรดแสดงความเห็นก่อนจะพิงตัวบนพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ทันใดนั้นก็มีใครบางคนเรียกเขา
“ครูฝึกครับ ที่นี่เป็นเขตปลอดบุหรี่”
***
“แฮ่ก แฮ่กก–”
ลมหายใจของคนนับสิบในสนามฝึกกำลังจะหมดลง
เด็กทุกคนถูกสั่งให้วิ่งทั้งตอนเช้าและเย็นทุกวันไม่มีพัก มันเป็นการฝึกที่นับว่าโหดเกินไปสำหรับเด็กที่ยังไม่โตเต็มวัยอย่างพวกเขา แม้แต่ผู้ใหญ่ร่างกายแข็งแรงเองยังต้องร้องโอดครวญถ้าได้รับการฝึกนี้ แต่ครูฝึกกลับสั่งให้เด็ก ๆ ทำมันอย่างไร้เหตุผลและไร้ยางอาย
“อึก!”
ทันทีที่มีใครทรุดตัวลงกับพื้นหรือหยุดอาเจียน ครูฝึกจะวิ่งจี๋เข้ามาแล้วตะโกนคำพูดหยาบคายใส่จนเด็กเหล่านั้นต้องฝืนวิ่งต่ออย่างช่วยไม่ได้
ไม่มีเวลากำหนดว่าพวกเขาต้องวิ่งไปนานเท่าไร พวกเขาแค่ต้องวิ่งจนกว่าครูฝึกจะสั่งให้หยุดพัก
การฝึกนี้ไม่ใช่เพื่อเพิ่มสมรรถนะทางร่างกาย หากแต่เป็นบททดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจ เป้าหมายของอาร์คคือการสร้างพลทหารไซเกอร์ที่พร้อมจะทำภารกิจให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเจออุปสรรค หรืออยู่ในสถานการณ์เลวร้ายขนาดไหนก็ตาม
ครูฝึกจะให้พวกเขาวิ่งจนถึงขีดจำกัด แม้ว่าร่างกายจะรับไม่ไหว แต่จิตใจต้องแข็งแกร่งพอที่จะฝืนตัวเองลุกขึ้นมาอีกครั้งให้ได้
“ฉัน – แฮ่ก – ฉันวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว”
น้ำเสียงอ่อนแรงของคุโระแทรกผ่านมือที่ปิดปากเอาไว้ เขาพยายามสุดชีวิตที่จะไม่อ้วกออกมา จังหวะที่กลืนก้อนอาหารที่จ่ออยู่ที่คอลงไปได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่อีฮันดันหลังเขาให้วิ่งต่อ
“อย่าพูดว่ายอมแพ้ เมื่อไหร่ที่นายพูดมัน ทุกอย่างจะจบทันที” เขาพูดเสียงเข้ม “อดทนไว้คุโระ”
คุโระผิวดำ แต่ร่างกายอ่อนแอ เขาเป็นเด็กกำพร้าจากสงคราม แต่เติบโตมาอย่างสะดวกสบายกว่าอีฮันมาก เด็กทั้งสองเจอสถานการณ์ที่เหมือนกัน แต่ในเวลาเดียวกันก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว
“อึก–”
คุโระหน้ามืด ทรุดลงไปอยู่ที่พื้น
ครูฝึกปรี่เข้ามาหาคุโระทันที เขาตะโกนถ้อยคำหยาบคาย และพ่นคำดูถูกเหยียดหยามออกมาจนฟังแทบไม่ทัน คำพูดเหล่านั้นรุนแรงจนคุโระต้องยอมฝืนดันตัวเองขึ้นมาจากพื้น
“ฉัน– ฉันไม่ไหวแล้ว”
ถ้าเขายอมแพ้ตอนนี้ เขาจะต้องถูกส่งกลับบ้านทันทีไม่มีข้อยกเว้น อาร์คเลือกเฉพาะเด็กที่โดดเด่นเข้าร่วมกองทัพไซเกอร์ พวกเขาจะไม่ยอมเสียเวลาเปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็นยอดมนุษย์
อีฮันไม่พูดอะไรแต่ดึงคุโระมาประชิด เขายกแขนของคุโระขึ้นพาดไหล่ แล้วเริ่มวิ่งต่อ
ครูฝึกชำเลืองมองทั้งคู่ แต่ไม่พูดอะไร บางครั้งทหารก็จำเป็นต้องฝากชีวิตไว้ที่เพื่อนร่วมศึกเช่นกัน พวกเขายืดหยุ่นให้ในกรณีที่เพื่อนช่วยเพื่อนแบบนี้
เด็กหลายคนเห็นอีฮันทำได้โดยไม่โดนต่อว่าก็เริ่มทยอยทำตามบ้าง คนที่แข็งแรงกว่ายื่นมือเข้าช่วยเพื่อนที่อ่อนแอกว่า
‘ในบรรดาเด็กใหม่ทั้งหมด อีฮันเป็นคนที่จิตใจแข็งแกร่งที่สุด’
ครูฝึกจดบันทึกแล้วคิดในใจ