ตอนที่ 82 คนนำทาง
ตอนที่ 82 คนนำทาง
กายหลับตาลง ปรับรูปแบบการหายใจและเริ่มรวบรวมพละกำลังของร่างกายที่มีทั้งหมด หลังจากรวบรวมพละกำลังได้ 60 วินาทีอยู่ ๆ ร่างกายทุกส่วนของกายก็ราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใด ๆ
ถ้าในตอนนี้มีคนมาแตะตัวกายเบา ๆ เขาคงล้มพับลงไปกับพื้นในทันที
ตอนนี้กายรับรู้ได้ว่าพละกำลังทั้งหมดในร่างกายมารวมกันที่หัวใจกลายเป็นเหมือนกับพื้นน้ำที่บางเบา
แต่พอผ่านไปจากผ่านไป 60 วินาที แต่แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนกับมีใครมาโยนหินลงบนผิวน้ำที่เงียบสงบ
กายก็สัมผัสได้พื้นน้ำพละกำลังที่อยู่ในหัวใจ...เกิดคลื่นพละกำลังกระจายตัวออกจากจุดศูนย์กลาง กระจายจากหัวใจไปตามหน้าอก ไหล หน้าท้อง และแขนขาทั้งสี่
พละกำลังกระจายไปทั่วร่างกาย แต่แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันบางเบาเกินไป
“ความรู้สึกที่อธิบายในม้วนสำเนาสินะ หนึ่งรอบคือร้อยยี่สิบวินาทีหรือสองนาที” กายหลับตาลงและทำอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น ถึงความรู้สึกที่แปลกใหม่
แต่เขาทำไปได้ประมาณ 10 รอบ ซึ่งมากเกินไปทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบอย่างบอกไม่ถูก มือเท้าเริ่มด้านชา กล้ามเนื้อกระตุกเกร็งราวกับมันสูญเสียพลังงานไปในช่วงเวลาสั้น ๆ
กายรู้สึกเวียนหัวโลกหมุนพลางหอบหายใจ
มันรีบทิ้งตัวนั่งพักไปกับพื้นของโรงตีเหล็กในทันที นี่เป็นครั้งแรกที่การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ทำให้กายเหนื่อยขนาดนี้
“ท่านเดวิน” ในตอนนั้นนาธานที่เปิดประตูเข้ามาเห็นกายที่นั่งหอบหายใจอยู่ที่พื้นก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ ทำเอามิล่าที่อยู่ในร้านได้ยินวิ่งมาดูด้วย
“ท่านเดวินเห็นอะไรหรือไม่ค่ะ”
ทั้งสองมีท่าทีตื่นตกใจ กายส่ายหัวไปมาสองสามครั้งพลางกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร แค่เวียนหัวเล็กน้อย พาข้าไปนั่งพักในร้านหน่อย”
นาธานรีบเข้าไปพยุงกายมานั่งพักที่เก้าอี้เอนหลังในร้านทันที ส่วนมิล่ารีบวิ่งไปเอาน้ำสะอาดมาให้กายหนึ่งแก้ว
“พวกเจ้าไปทำงานได้แล้ว ส่วนเจ้านาธานไปจุดไฟหลอมแร่โลหะไว้รอข้าไปจัดการต่อ” กายโบกไม้โบกมือไล่ให้ทั้งสองคนที่เอาแต่จ้องมองตนไปทำงาน
ฟู่....อันตรายเกินไป...นึกว่าจะไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจซะแล้ว
กายยกน้ำขึ้นมาดื่มด้วยมือที่สั่นเทาจนมันต้องใช้มืออีกข้างมาช่วยประคองแก้วน้ำ กายดื่มน้ำไปสองสามอึก ในตอนนั้นร่างกายของมันก็รู้สึกราวกับพื้นดินที่แห้งแล้งได้มีสายฝนและหยดน้ำตกลงมา ทำให้กายดีขึ้นมากอาการเวียนหัวค่อย ๆ หายไป
กายพักจนกระทั่งถึงเที่ยงอาการทุกอย่างจึงหายกลับไปเป็นปกติ เขาดีดตัวจากเก้าอี้เอนหลังเรียกผู้ช่วยทั้งสองคน
“ไปกินข้าวกัน ข้าเลี้ยง!”
ทั้งนาธานและมิล่าต่างหันมาตามเสียงด้วยความสนใจ ก่อนที่ทั้งสามจะพากันออกไปกินอาหารกลางวัน ซึ่งเป็นร้านเดิมที่กายกินเป็นประจำ
มื้อกลางวันในวันนี้กายกินเยอะมากว่าปกติ ซึ่งมากกว่านาธานถึงสองเท่าทำเอานาธานที่มักจะกินเก่ง ๆ ยังรู้สึกอิ่มแทนเจ้านายของตนเอง
หลังกลับมากายก็จัดการฝึก “ศิลปะการต่อสู้ รูปแบบปลดล็อกขีดจำกัด พละกำลัง” ต่อในช่วงบ่าย แต่เขาไม่ได้โหมฝึกมากจนเกินไปเหมือนเช่นตอนเข้า ซึ่งกายรับรู้ได้ว่าอาหารที่พึ่งจะกินมาถูกย่อยอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย กายออกไปจนถึง 8 รอบจึงหยุดการฝึก หันไปสนใจการฝึก “ศิลปะการต่อสู้ รูปแบบศาสตราวุธ ฟาดฟัน” เพื่อที่จะทำความคุ้นชินกับดาบหักสังหาร
ในตอนที่กายเอาดาบออกมาจากกล่อง กายให้นาธานออกไปจากโรงตีเหล็กก่อน เพราะกลัวว่านาธานจะได้รับผลกระทบจากออร่าตกค้างในดาบและเห็นภาพหลอนได้
ในโรงตีเหล็กเหลือเพียงเสียงของการฟาดฟันดาบของกายอย่างต่อเนื่อง กับความร้อนที่มาจากเตาถลุงแร่ที่นาธานทำค้างไว้ ซึ่งมันต้องใช้เวลาไปอีกสักพักถึงจะได้เหล็กหลอมเหลว
ตัวของกายตอนนี้เหมือนอาบไปด้วยน้ำที่เปียกไปทั้งตัว จนสุดท้ายกายถอดเสื้อออกโยนไว้ข้าง ๆ เหลือเพียงกางเกง จากนั้นก็กลับไปฝึกฝนต่อ
โดยสายตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าจอสถานะตัวละคร
“ชื่อ : เดวิน”
“อายุ : 19”
“เพศ : ชาย”
“ระดับ : นักรบฝึกหัด ขั้น 2”
“ศิลปะการต่อสู้ :
ทุบ 2/2 (11%)
ฟาดฟัน 1/2 (98%)
พละกำลัง 0/2 (3%)
ความเร็ว 0/2 (0%) ”
กายจับจ้องไปที่ค่าประสบการณ์ฟาดฟันที่ตอนนี้เหลืออีกสองเปอร์เซ็นต์ก็จะเลื่อนเป็นขั้น 2 สุดท้ายเวลาบ่ายสามสี่สิบ ศิลปะการต่อสู้ ฟาดฟัน ของกายก็พัฒนาเป็นขั้น 2 ได้สำเร็จ
ปัง!
ดาบหักสังหารในมือชายหนุ่มปักลงพื้น เขายกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าออกและยิ้มด้วยความพอใจ
ตอนนี้สองศิลปะการต่อสู้ก็พัฒนาขึ้นมาเป็นขั้น 2 หมดแล้ว ศิลปะการต่อสู้ ทุบ เราได้เรียนรู้ขั้น 3 แล้ว ดังนั้นจึงสามารถฝึกฝนเลื่อนขั้นได้เลย...ส่วนศิลปะการต่อสู้ ฟาดฟันนั้นยังไม่ได้เรียนรู้ขั้น 3 คงต้องไปหาที่สถาบันศาสตร์นักรบ ถ้าเป็นม้วนสำเนาจะดีมาก แต่ถ้าไม่มีขายคงต้องไปลงเพื่อเรียน แต่ไม่รู้ว่าในฐานะนักเรียน ปี 1 จะสามารถลงเรียนได้หรือเปล่า...
กายตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
ยามเย็นในนครดาราฟ้ามาเยือนอย่างรวดเร็ว นาธานและมิล่ากำลังเป็นลูกมือของกายทำงานอยู่ในโรงตีเหล็ก เพื่อสร้างมีดสั้นและดาบไว้สำหรับขายในวันพรุ่งนี้
เขาต้องเร่งมือสำรองอาวุธไว้ในจำนวนมากเท่าที่ทำได้ เพราะยิ่งเวลาผ่านไปผู้เล่นก็มาที่ร้านของกายมากขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาด เพราะเวลาผ่านไปผู้เล่นก็จะมีเงินมากขึ้น จากการรวมตัวแลกเปลี่ยนหรืออะไรก็ตามแต่นั่นแสดงให้เห็นในจุดหนึ่งว่าผู้เล่นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าในระหว่างวันนี้กายยังมีเวลาเฝ้าสังเกตและเก็บข้อมูลจากการพูดคุยของผู้เล่นในร้านด้วย ซึ่งมีเรื่องผู้เล่นโดนจับได้จำนวนมาก แม้หลายคนไม่ได้เป็นคนของกิลด์กะโหลกแดงก็ตาม ผู้เล่นหลายคนยอมเปิดเผยเรื่องของกิลด์กะโหลกแดงให้กับทางคนของนครดาราฟ้ารู้
ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีใครโทษผู้เล่นเหล่านี้ พวกเขาเลือกจะไปโทษพวกกิลด์กะโหลกแดแทน
กายยังรู้มาอีกว่าหน่วยทหารจากกองทัพพิทักษ์ตะวันออกที่ประจำป้อมปราการตะวันออก ซึ่งไปที่ทุ่งหญ้ากิราเพื่อจัดการไล่ล่ากลุ่มโจรกะโหลกแดงโดยเฉพาะ นั้นกลับต้องประสบปัญหาในการไล่ฆ่ากิลด์กะโหลกแดง
ส่วนสิ่งที่ทำให้พวกหน่วยทหารต้องลำบากนั้น มันไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด แต่ตามข่าวลือที่ได้ยินจากผู้เล่น กิลด์กะโหลกแดงได้พยายามรวบรวมโจรและยึดทุ่งหญ้ากิราเป็นกองกำลังโจรขนาดใหญ่ แน่นอนว่ากายก็ตกใจกับข่าวที่ได้ยิน ซึ่งเขาอยากที่จะติดต่อไปสอบถาม หมายเลข 99 ของหน่วยงานเงาราตรีเหมือนกัน แต่ก็หยุดความคิดไว้ก่อน เพราะกายยังไม่อยากจะดึงดูดหน่วยเงาราตรี
เนื่องจากข่าวลือพวกนี้มาจากผู้เล่นเท่านั้น เพราะเขาสังเกตว่าไม่มี NPC รู้เรื่องนี้ ซึ่งกายคงยากจะบอกคนจากหน่วยงานราตรีว่าเขารู้มาจากไหน และกายรู้ว่าพวกหน่วยงานเงาราตรีคงจะมีข้อมูลมากกว่านี้ แต่คงต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจาก NPC ในนครดาราฟ้าไว้ก่อน
อีกอย่างกายไม่ได้ไร้เดียงสาจนคิดว่าสิ่งที่เกิดเป็นแค่ฝีมือของกิลด์กะโหลกแดงเพียงอย่างเดียว
ใครกันแน่ ไม่สิ!..ต้องบอก NPC ฝ่ายไหนที่อยู่เบื้องหลังกิลด์กะโหลกแดง...
หลังจากปิดร้านมิล่าและนาธานก็เลิกงานกลับบ้าน
กายก็ออกไปฝึกขี่ม้าเหมือนเช่นปกติ ส่วนมีอาและลิลี่ยังคงฝึกอยู่ที่สถาบันศาสตร์นักรบ ฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจังเช่นเคย สุดท้ายก็ฝึกขี่ม้าคนเดียวเช่นตามปกติ
...
สองวันต่อมาในวันที่ 11 เดือน 2 ปีดาราที่ 997
กายแต่งกายด้วยเสื้อโค้ตหนังสีดำ รูปแบบย้อนยุค มีฮู้ดที่คุมศีรษะได้จนมิด แขนเสื้อยาวพอดี ชายเสื้อคลุมไปจนเกือบถึงหัวเข่าในรูปแบบเฉลียงข้างทั้งสองเข้าหา ส่วนเสื้อด้านในและกางเกงและส่วนอื่นเป็นชุดที่มักใช้ในหมู่นักรบหรือทหาร
กายยังคงสวมใส่หน้ากากเหล็กที่สร้างขึ้นมาด้วยตนเองเมื่อวานนี้เพื่อปกปิดตัวตนอีกชั้นหนึ่ง
ก่อนที่เขาจะเดินออกจากร้านและไปขึ้นรถม้าที่ห่างออกไปอีกสองสามซอย ตรงไปยังร้านตัวตุ่นโลหะ กายไปถึงร้านตัวตุ่นก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น ร้านยังไม่เปิดแต่มีชายร่างสูงใหญ่มายืนรออย่างเงียบ ๆ อยู่หน้าร้านแล้ว
กายหยิบตั๋วที่ซื้อมาในราคา 25 เหรียญทองออกมา ก่อนจะส่งให้กับชายคนนั้น
“รอด้านใน” เสียงที่ไร้อารมณ์ของชายร่างใหญ่กล่าวก่อนจะเปิดประตูให้กับกาย กายพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในร้านตัวตุ่นโลหะ
หืม...มีคนมากกว่าที่คิด
ด้านในมีกลุ่มคนอยู่ราว ๆ สิบห้าคน กายเข้าไปยืนในมุมหนึ่งไม่ได้พูดจากับใคร เขาหันไปมองซ้ายขวาสังเกตคนรอบข้าง แต่ละคนแต่งกายต่างกันไป บ้างปกปิดตัวตนบ้างก็ไม่สนใจว่าใครจะรู้จักตัวเองหรือไม่ ในจำนวนนั้นสองสามคนมีท่าทีคล้ายเขา ซึ่งน่าจะเป็นคนที่มาเข้าร่วมเป็นครั้งแรกเหมือนเขา
“ถึงเวลาแล้วเราไปกันเถอะ”
กายรออยู่ประมาณสิบนาทีก็ไม่มีใครมาอีก ในที่สุดก็มี “คนนำทาง” ชายท่าทางเงียบขรึมเดินออกมาบอกพวกเขา ก่อนที่จะพาทุกคนเดินออกไปทางหลังร้านขึ้นรถม้าลากหกล้อที่มีหลังคาปิดมิดชิดและรถม้าเคลื่อนตัวขับออกไปนอกนครดาราฟ้า
โดยในตอนที่พวกเขานั่งอยู่ในรถม้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดดูด้านนอกรถ
รถม้าวิ่งอีกประมาณเกือบ ๆ ครึ่งชั่วโมงรถม้าก็หยุดลง คนนำทางหันมาบอกทุกคนในรถม้าพร้อมกับแจกป้ายโลหะสองใบ
“ใบแลกคือป้ายที่เข้าไปด้านใน อีกใบคือของทางร้านขากลับให้เอาป้ายไปยืนกับทางผู้จัดงาน เดี๋ยวทางนั้นจะจัดส่งของที่ประมูลมาทางเราและพวกเจ้าสามารถมารับหรือให้ร้านเราไปส่งที่บ้านได้”
“แบบนั้นคงไม่ดี...ท่าพวกเจ้ารู้ที่อยู่เรา” หนึ่งในชายที่แต่งตัวมิดชิดกล่าวด้วยความไม่ไว้วางใจ
“พวกเรารักษาความลับได้ดีกว่าที่เจ้าคิด เพราะนี่คืองานของพวกเรา” คนนำทางกล่าวอย่างไร้อารมณ์ พร้อมกันนั้นยังมีออร่าปรากฏออกมา สะกดข่มทุกคนในรถม้า
นักรบแท้จริง... กายแปลกใจอย่างมาก มันรีบควบคุมตัวเองและตั้งสติ ...ไม่คิดว่าจะมีนักรบแท้จริงเข้ามาเกี่ยวข้อง...ดูท่ามันจะเป็นการประมูลที่ไม่ได้ถูกกฎหมายมากนัก ถึงได้ดูลึกลับขนาดนี้
ไม่ใช่ทุกคนในรถม้าที่ได้รับผลกระทบ ยังมีบางคนมองไปที่ชายที่พาพวกเขามาอย่างดูถูก แต่ชายคนนั้นไม่ได้โมโหอะไร
“พาพวกเราเข้าไปได้แล้วมั้ง...” ชายวัยกลางคนร่างท่วมผู้มีใบหน้าแผลเป็น หนึ่งในคนที่มาด้วยแล้วไม่ได้รับผลกระทบกล่าวออกมา
“เชิญ” คนนำทางพาทุกคนลงจากรถม้าโดยไม่พูดมากอะไรอีก