ตอนที่แล้วบทที่ 424 เตะกระเด็น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 426 กลับขาวให้เป็นดำ

บทที่ 425 คนหยิ่ง(ตอนฟรี)


บทที่ 425 คนหยิ่ง

เป็นไปได้ยังไง?!

คำถามนี้ดังก้องอยู่ในหัวของผู้คนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ พวกเขาจ้องมองอย่างว่างเปล่าไปที่ชายหนุ่มที่เดินลงมาจากเวทีประลองทีละก้าวๆ และอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

พัคจองฮยอนกระแทกพื้นด้วยเท้าเพียงข้างเดียวจนทำให้เวทีประลองแตกร้าว ถ้าไม่ใช่เพราะพื้นของเวทีประลองทำจากวัสดุที่แข็งแรงมาก เกรงว่าลูกเตะที่รุนแรงของเขาคงจะทำพื้นแตกละเอียดไปแล้ว

แต่คนที่น่ากลัวขนาดนั้นกลับถูกจี้เฟิงเตะจนกระเด็นออกไป ไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะต่อต้านได้เลยด้วยซ้ำ!

แล้วลองนึกดูสิว่าจี้เฟิงจะน่ากลัวขนาดไหน?!

ทันใดนั้นทุกคนก็นึกถึงสิ่งที่หวังเหล่ยและลู่เหว่ยซินเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เทควันโดเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ศิลปะการต่อสู้ของหัวเซี่ยไม่สามารถเทียบได้กับศิลปะการต่อสู้ของโคเรีย!

หากดูจากผลการแข่งขันระหว่างสมาคมกังฟูและสมาคมเทควันโดแล้ว ประโยคนี้อาจจะไม่เรียกว่าเป็นคำพูดที่ผิดนัก แต่ถ้าหากมองจากมุมอื่นมันไม่ได้เป็นแบบนั้น

แต่พอมาคิดอีกที คำพูดพวกนี้มันกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว!

ในเมื่อเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุดในโลก อีกทั้งชาวเกาลี่ที่ชื่อพัคจองฮยอนคนนั้นยังเป็นถึงเทควันโดสายดำ แล้วทำไมเขาถึงพ่ายแพ้โดยที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาโต้กลับ?

นี่แสดงให้เห็นว่าไม่มีศิลปะการต่อสู้อันไหนที่แย่หรือดีไปกว่านั้น ถ้าจะแย่ก็คงจะเป็นคนที่ใช้ศิลปะการต่อสู้นั้นๆเท่านั้น!

ตัวอย่างเช่นทุกคนต่างมีสองมือและสองเท้า แต่ทำไมบางคนสามารถเตะไม้ท่อนหนาๆให้หักได้ในขณะที่เอาไว้ใช้แค่เดินเท่านั้น?

นี่คือความแตกต่างระหว่างการใช้งาน!

จากการประลองในครั้งนี้จี้เฟิงได้นำพาความรู้สึกบางอย่างเข้ามาสู่ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าเขากำลังเดินลงมาจากเวทีประลองด้วยท่าทีสบายๆ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งเล็กน้อยและแอบชื่นชมจี้เฟิงอยู่ในใจ

“นาย.. มันจะเป็นไปได้ยังไง...”

พัคจองฮยอนพยายามลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก ร่างกายของเขาสั่นไม่หยุด ในเวลานี้มีคนสองคนรีบเข้าไปประคองเขาไว้เพื่อไม่ให้เขาล้มลงกับพื้นอีกครั้ง การเตะของจี้เฟิงทำให้อวัยวะภายในของเขาเจ็บปวดอย่างมาก และในตอนที่เขาลอยมากระแทกพื้นเขารู้สึกเหมือนว่ากระดูกที่เท้าและขาของเขามันจะหัก

แต่พัคจองฮยอนไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องนี้ เขาได้แต่จ้องมองจี้เฟิงด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ ฉันคือนักกีฬาเทควันโดสายดำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือในทางนี้ นายจะเอาชนะฉันได้ยังไง?”

จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “สิ่งที่นายฝึกคือเทควันโด ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ศักดิ์สิทธิ์อะไรซักหน่อย ทำไมฉันถึงจะเอาชนะนายไม่ได้ล่ะ?”

หลายคนถึงกับหัวเราะเยาะ ชาวโคเรียคนนี้สมองกระทบกระเทือนหรือไง ทำไมถึงได้พูดจาโง่ๆแบบนี้ออกมา?

จางเล่ยส่ายหัวและพูดพลางหัวเราะเยาะ “คงคิดว่าประเทศของตัวเองเลิศเลอเพอร์เฟกต์ที่สุดในโลก แล้วมองว่าประเทศอื่นด้อยกว่า คนพวกนี้มักจะคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่โลกต้องหมุนรอบตัวมัน น่าขำชะมัด!”

เฉินจิ้งยี่เหลือบมองจางเล่ยแวบหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร

แต่นักศึกษาที่อยู่ข้างๆอดถามอย่างอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ว่า “ที่นายพูดมันหมายความว่ายังไงเหรอ?”

จางเล่ยยิ้มและอธิบายว่า “ทุกคนน่าจะรู้กันดีว่าในหลายปีที่ผ่านมามีหลายประเทศในเอเชียเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็วราวกับพุ่งทะยานเหล่านั้นได้รับฉายาสี่มังกรแห่งเอเชีย... อันที่จริง มีอยู่ประเทศหนึ่ง เศรษฐกิจของพวกเขานั้นเติบโตไวมากจริงๆ แต่เนื่องจากพื้นที่ประเทศของพวกเขาเล็กเกินไป จนไม่สามารถรองรับความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นชาติที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มรวบรวมหนังสือประวัติศาสตร์ปลอมๆ อย่างเช่น ราชวงศ์เกาลี่ ที่ขยายอาณาเขตไปยังรัสเซียและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนไปยังเทือกเขาซิงอัน ทั้งหมดถูกพวกเขาสร้างเรื่องว่าอยู่ในแผนที่ของราชวงศ์เกาลี่...”

นักศึกษาโดยรอบที่ได้ฟังก็ถึงกับอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะ

“คนพวกนี้บ้าไปแล้วเหรอ? พวกเขาไม่เคยคิดเลยเหรอว่าฉายา*เกาลี่ปังซึ*ของพวกเขานั้นมาจากไหน!” เหล่านักศึกษาทั้งโกรธทั้งตลก

จางเล่ยเองก็หัวเราะไปด้วยและกล่าวต่อว่า “แน่นอนว่าพวกเขาต้องรู้อยู่แล้วว่าฉายา ปังซึ(ไม้กระบอง) ของพวกเขามาจากไหน”

ในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น นอกจากชาวญี่ปุ่นจะเข้ายึดประเทศเกาลี่ได้ ยังได้เชลยศึกเป็นชาวเกาลี่ด้วย พวกเขาจัดตั้งกองทัพขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้มอบปืนและกระสุนให้กับเชลยศึกเหล่านั้น ปล่อยให้พวกเขาแต่ละคนถือไม้กระบองเพื่อมาบุกประเทศจีน ต่อมาชาวเกาลี่เหล่านั้นจึงถูกเรียกว่า “ปังซึ (ไม้กระบอง)”

“พวกเขาคงไม่มีทางเลือกอ่ะแหละ ประเทศอื่นๆต่างก็มีจุดเด่นกันทั้งนั้น ถ้าพวกเขาไม่สร้างดินแดนปลอมๆขึ้นมาสักหน่อย แล้วประเทศของพวกเขาจะคู่ควรกับประเทศอื่นๆได้ยังไง?” นักศึกษาคนอื่นพูดด้วยความเห็นใจแต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย และพูดต่อว่า “ทุกคนก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว ว่ากันว่าแม้แต่เทศกาลดั้งเดิมของจีนอย่าง**เทศกาลเรือมังกรก็ถูกชาวเกาลี่สมัครเป็นมรดกโลกและกลายเป็นเทศกาลของพวกเขาไปแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาฉลอง**เทศกาลตวนอู่เพื่อรำลึกถึงใครกันแน่!”

นักศึกษาคนอื่นต่างพากันหัวเราะอีกครั้ง จางเล่ยก็อดหัวเราะไม่ได้ ชาวเกาลี่คนนี้ทำตัวหยิ่งยโสเกินไป

พัคจองฮยอนคนนี้คิดว่าตัวเองฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เทควันโดจนมาถึงระดับสูงได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครควรเอาชนะเขา นี่มันตรรกะบ้าๆ!

ก็เหมือนอย่างที่จี้เฟิงพูด พัคจองฮยอนไม่ได้ฝึกวิชาเทพไร้เทียมทาน ทำไมถึงจะแพ้ไม่ได้?

ผู้ชมเหล่านี้ที่กำลังพูดคุยกันอย่างเมามันส์ไม่ได้ลดเสียงลงเลย บางคนจงใจพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นการตะโกนแล้วด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจงใจทำให้พัคจองฮยอนฟังให้ชัดเจนขึ้น

เสียงพูดคุยหัวเราะเยาะเย้ยเหล่านั้นดังไปถึงหูของพัคจองฮยอนอย่างไม่ต้องสงสัย มันทำให้หน้าของเขาเปลี่ยนสีและขาวซีด แต่ความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ภายในร่างกายกลับทำให้หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นๆผุดออกมาไม่หยุด เขาหลับตาลงแสร้งทำเป็นลมอยู่ตรงนั้น หลังจากนั้นก็ถูกนักศึกษาเทควันโดสองสามคนช่วยหามกันขึ้นมาและพาเขาไปส่งที่ห้องพยาบาล

“เฮ~! ฮ่าๆๆๆ”

ทุกคนต่างส่งเสียงเฮและหัวเราะกันยกใหญ่ เด็กหนุ่มชอบกังฟู แต่ที่พวกเขาชอบเทควันโดก็เพราะความรวดเร็วและท่วงท่าการเตะสุดเท่! แถมยังสามารถใช้เป็นการออกกำลังกายได้อย่างดีเยี่ยม แต่ไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะต้องชอบชาวเกาลี่ที่ทำตัวหยิ่งยโสคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น!

เมื่อเห็นพัคจองฮยอนที่ทำตัวแบบนั้นพวกเขาก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจจากก้นบึ้งของหัวใจ พวกเขานึกถึงความเคารพของหวังเหล่ยและลู่เหว่ยซินที่มีต่อคนเกาลี่ นักศึกษาที่เป็นผู้ชมเริ่มก่นด่าสาปแช่งพวกเขาด้วยเสียงกระซิบ คำด่าหยาบคาย แขวะ จิกกัดและประชดประชันพุ่งเข้าใส่ลู่เหว่ยซินและหวังเหล่ยราวกับคลื่นลูกใหญ่ที่แผ่กระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ทำให้สีหน้าของสองคนนั้นดูย่ำแย่มาก

“นี่เป็นสิ่งที่พวกคุณคาดการณ์ไว้ใช่มั้ย?” ทันใดนั้นเฉินจิ้งยี่ก็หันหน้าไปมองจางเล่ยด้วยสีหน้าและแววตาที่ซับซ้อน “เพื่อนของคุณจงใจอยู่ต่อ ที่จริงก็เพื่อให้นักศึกษาคนอื่นๆเห็นความอวดดีและหยิ่งยโสของคุณพัค และทำให้พวกเขาเกลียดสมาคมเทควันโด ฉันพูดถูกมั้ย?!”

“เธอก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันเป็นแค่ผู้ชม เรื่องพวกนี้เธอไม่ควรมาถามฉันนะ!” จางเล่ยยิ้มมุมปาก ไม่ว่าเฉินจิ้งยี่จะพูดว่าเรื่องนี้เป็นแผนของพวกเขาจริงหรือไม่ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับ

“ปล่อยหวังเหล่ยไปเถอะ!” แววตางดงามของเฉินจิ้งยี่ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น ทว่าน้ำเสียงของเธอกลับอ่อนโยน “อย่าทำร้ายเขามากไปกว่านี้เลย ได้มั้ย...?”

“แน่นอน! ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว..” จางเล่ยพยักหน้าทันที เขายิ้มและกล่าวว่า “ที่จริงฉันก็ไม่ได้จัดการอะไรเขามากไปกว่านี้หรอก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องการให้เธอช่วย!”

“ช่วย? ช่วยอะไร?”

เฉินจิ้งยี่ถาม แต่ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอจึงส่ายหน้าน้อยๆแล้วพูดเสียงเบาว่า “จางเล่ย ฉันรู้ว่าคุณคิดยังไงกับฉัน แต่... ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจ แม้ว่าหวังเหล่ยจะไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ฉันไม่สามารถทำผิดต่อเขาได้ ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ!”

จางเล่ยหัวเราะทันที “พวกเราเรียนอยู่คณะเดียวกัน เคยเจอกันในห้องเรียนก็ตั้งหลายครั้ง แล้วก่อนหน้านี้เราเคยพูดคุยกันมากี่ครั้งแล้ว เธอจำได้มั้ย? ในความคิดของเธอ ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”

“ฉันไม่รู้ ฉันไม่เคยคิดถึงคุณ!” เฉินจิ้งยี่พูดเสียงเบา

จางเล่ยรู้สึกปวดจี๊ดที่หัวใจ แต่สีหน้าของเขายังคงเหมือนปกติ เขาส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เฉินจิ้งยี่ ฟังฉันให้ดีนะ ฉันชอบเธอ ชอบเธอมากจริงๆ และฉันก็เชื่อว่าเธอก็รู้เรื่องนี้มาสักพักแล้ว! แต่ฉันไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจจนถึงขนาดทำร้ายหวังเหล่ยเพื่อเอามาบังคับจิตใจเธอ ไม่ใช่ว่าฉันดูถูกเขานะ แต่เขาไม่มีค่าพอให้ฉันเสียเวลาไปทำอะไรแบบนั้น!”

“ฉันเข้าใจแล้ว” เฉินจิ้งยี่พยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็ถามเสียงเบาว่า “แล้วนายต้องการให้ฉันทำอะไร?”

จางเล่ยชี้ไปยังกลุ่มคนที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วตรงประตู เขายิ้มมุมปากและกล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เธอเพียงแค่ต้องบอกความจริงกับพวกเขา เล่าทั้งหมดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แค่นั้นเอง! เธอจะทำมันให้ฉันได้มั้ย?”

“ขอโทษ... ฉันทำไม่ได้” แน่นอนว่าเฉินจิ้งยี่รู้ว่ากลุ่มคนที่กำลังวิ่งเข้ามานั่นคือหน่วยรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าที่นี่มีการต่อสู้เกิดขึ้นจึงได้รีบมา

แต่ถ้าหากเธอบอกเรื่องพวกนี้กับหน่วยรักษาความปลอดภัย นั่นก็เท่ากับว่าเธอทำร้ายหวังเหล่ยทางอ้อม แน่นอนว่าเฉินจิ้งยี่ไม่สามารถทำได้

“งั้นฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!” จางเล่ยส่ายหัวและยิ้ม เขาลดโทรศัพท์ในมือลงและกดหยุดวิดีโอที่ถ่ายไว้ จากนั้นก็บันทึกไว้ในเครื่อง

เฉินจิ้งยี่ตกใจขึ้นมาทันที “คุณ.. คุณบันทึกทั้งหมดไว้แล้วเหรอ?”

“แน่นอน ไม่งั้นเธอคิดว่าฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่เหรอ?” จางเล่ยยิ้ม

ใบหน้าอันงดงามของเฉินจิ้งยี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากพูด เธอก็เห็นจางเล่ยส่ายหัวด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“อย่าเสียเวลาเลย ฉันไม่เคยอ่อนข้อให้ศัตรู ไม่ว่าใครขอร้องก็เปล่าประโยชน์!” จางเล่ยพูดอย่างจริงจังว่า “แต่ฉันยังไม่เลิกหวังกับเธอหรอกนะ ฉันจะยังตามจีบเธอต่อไป!”

เมื่อพูดจบเขาก็ยิ้มน้อยๆแล้วลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป เหลือแต่เฉินจิ้งยี่ที่นั่งมองด้านหลังของจางเล่ยด้วยดวงตาคู่งามที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน

จี้เฟิงมองไปที่หวังเหล่ยและลู่เหว่ยซินที่ตกใจจนเหมือนจะช็อกไปแล้ว เขาส่ายหัวเล็กน้อยและหันหลังเพื่อที่จะจากไป

ในตอนนั้นเองคนกลุ่มใหญ่ก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาคือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย และคนที่นำทีมมาในครั้งนี้ก็คือหัวหน้าโจวหลี่

จี้เฟิงหัวเราะทันที “เล่ยซือ นายโทรเรียกพวกเขามาใช่มั้ย?”

“พวกเราเป็นเหยื่อนี่นา ก็ต้องโทรแจ้งสิ!” จางเล่ยพูดด้วยใบหน้าซื่อๆ

จี้เฟิงหัวเราะอีกครั้ง เขารู้ว่าจางเล่ยเพื่อนของเขาคนนี้ฉลาดมากอยู่แล้ว การมีเขาอยู่ที่นี่ด้วยมันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

“เมื่อกี้คุยกันเป็นไงบ้าง?” จู่ๆ จี้เฟิงก็ถามขึ้น

จางเล่ยเบิกตากว้างทันที “นายรู้ได้ไง?”

“พูดมาให้หมด!” จี้เฟิงไม่ได้ตอบ เขาแค่อมยิ้ม อันที่จริงในตอนที่เขาเดินลงมาจากเวทีประลอง เขาเหลือบไปเห็นจางเล่ยและเฉินจิ้งยี่นั่งอยู่ด้วยกัน ในตอนนั้นเขาแอบส่ายหัวอยู่ในใจ ‘ผู้ชายคนนี้ช่างหาโอกาสเสียบเก่งจริงๆ!’

“ก็ไม่มีอะไรมาก แต่ฉันรู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย อย่างน้อยเธอก็เป็นคนที่ฉลาดกว่าที่ฉันคิดไว้!” จางเล่ยยิ้มและกล่าวว่า “ยังคงต้องดูกันไปอีกยาวๆ!”

จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้มทันที “ระวังตัวหน่อยแล้วกัน!”

จางเล่ยหัวเราะ “โทษทีน้องชาย ปีนี้คนที่สามารถหลอกฉันได้ยังไม่เกิด เลิกคุยเรื่องนี้ได้แล้ว! เราไปอธิบายสถานการณ์ให้หัวหน้าโจวฟังกันเถอะ!”

จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า แต่ภายในใจของเขานั้นรู้สึกโล่งใจมาก จางเล่ยยังคงมีสติครบถ้วน เขาไม่ได้ใช้ความรู้สึกเป็นตัวนำทาง แบบนี้ดีมาก!

สำหรับหวังเหล่ย... ทั้งจี้เฟิงและจางเล่ยไม่ได้เห็นหวังเหล่ยอยู่ในสายตาเลย

…จบบทที่ 425~❤️

*เกาลี่ ปังซึ (Gaoli bangzi) เป็นศัพท์สแลงของชาวจีน(สมัยก่อน!!) ถูกใช้เป็นคำพูดเหยียดชาติพันธุ์ของชาวเกาหลี หมายถึงราชวงศ์เกาหลีโบราณ ปังซึนั้นมีความหมายพ้องกับ ไม้กระบอง

**เทศกาลแข่งเรือมังกรหรือเทศกาลตวนอู่เจี๋ย

ในวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติของจีนของทุกๆ ปี เป็นวันที่เรียกกันว่าเทศกาลไหว้บะจ่าง มีชื่อเรียกในภาษาจีนกลางว่า (duānwŭjié) (อ่านว่า ตวนอู่เจี๋ย)

สำหรับที่มาของการไหว้ "บะจ่าง" นั้นสืบทอดมาจาก 2 ประเพณีที่เชื่อมโยงด้วยกัน คือ การบูชาเทพเจ้ามังกรและประเพณีแข่งเรือมังกร ดังนั้นแล้วชื่อทางการที่เป็นภาษาอังกฤษของวันไหว้บะจ่างจึง เรียกว่า Dragon Boat Festival

ข้อมูลจาก thaiPhDinchina.com ระบุว่า เทศกาลไหว้บะจ่างนั้น แรกเริ่มเดิมทีมาจากการบูชาเทพเจ้ามังกร ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชาของชาวไป่เยว่ 百越族 กลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงตั้งแต่ช่วงกลางลงไปยังตอนใต้ ว่ากันว่าชาวไป่เยว่มีการสักตัวด้วยรูปมังกร เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าตนคือลูกหลานมังกรอีกด้วย

ชาวไป่เยว่เดินทางข้ามฟากไปมาหาสู่กันด้วยเรือที่ทำจากไม้ท่อนเดียวเป็นพาหนะ ในอดีตจึงมีการจัดแข่งพายเรือมังกรเพื่อเป็นการเคารพบูชาเทพเจ้ามังกรในช่วงเวลานี้ ซึ่งว่ากันว่าในการแข่งพายเรือมังกรนั้น มีการนำเอาอาหารใส่ลงกระบอกไม้ไผ่ หรือห่อด้วยใบไม้แล้วโยนลงน้ำ เพื่อแสดงความเคารพต่อเทพเจ้ามังกร ให้ปกป้องคุ้มครองลูกหลาน

****ชื่อประเทศหรือเชื้อชาติที่อยู่ในนิยายเรื่องนี้ เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีอยู่จริง! ผู้แปลพยายามแปลตามต้นฉบับให้คล้ายคลึงที่สุด และต้องเสริมคำอธิบายเพื่อเพิ่มความเข้าใจสำหรับผู้อ่านที่น่ารักทุกๆท่าน

ด้วยรักและห่วงใย

เนตรนารีสีชมพู

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด