150 - ออกจากแคว้นเอี๋ยน
150 - ออกจากแคว้นเอี๋ยน
สีหน้าของฮั่นยี่สุ่ยซีดขาว นี่เป็นการทำร้ายจิตใจมากเกินไปสำหรับเขา เขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าร่างกายของบุคคลนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร นี่มันเกินสามัญสำนึกของเขาไปแล้ว
“เจ้าสารเลว เจ้าทำได้เกินความคาดหมายทั้งหมดของข้าแล้ว……”
ในขณะนั้นน้ำเต้าสีเงินวาววับก็ปรากฏขึ้นในมือของฮั่นยี่สุ่ย ประกายแวววาวของมันยิ่งสดใสมากขึ้นเมื่อจุกฝาถูกดึงออกมา
“ถึงเวลายุติเรื่องนี้แล้ว!”
น้ำเต้าสีเงินบินไปข้างหน้าและขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้ามันก็เปลี่ยนเป็นภูเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง ปากของมันพ่นหมอกหมุนวนพร้อมที่จะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป
เย่ฟ่านรู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลที่ดึงมาที่เขาทำให้เท้าของเขายกขึ้นจากพื้นและบินเข้าไปทางน้ำเต้าสีเงิน มันเหมือนกับอ่างน้ำวนที่ดูดพลังปราณจิตวิญญาณทั้งหมดเข้าไปข้างใน
“นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ข้าใช้เวลาถึงครึ่งชีวิตในการหลอม ข้าไม่เชื่อว่าร่างกายของเจ้าจะสามารถป้องกันสิ่งนี้ได้ มันจะจับเจ้าและเปลี่ยนเจ้าเป็นกองเลือด นี่เป็นการแก้แค้นสำหรับลูกศิษย์ของข้า!”
"เจ้าสามารถลองได้!"
ทันใดนั้นเย่ฟ่านก็กลายเป็นสายรุ้งลึกลับ เมื่อเขาพุ่งไปที่ปากของน้ำเต้าสีเงินหมัดของเขาก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรุนแรงพร้อมกับบดขยี้ปากน้ำเต้าให้ระเบิดเป็นจุล
“บูม!”
ร่างกายของเย่ฟ่านเปล่งประกายราวกับหล่อหลอมจากโลหะศักดิ์สิทธิ์ หมัดทองคำของเขาบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีอะไรสามารถขวางกั้น
"เจ้า! เป็นไปไม่ได้!" ใบหน้าของฮั่นยี่สุ่ยซีดไร้สีสันใดๆ
“ข้าไม่มีเวลาที่จะล่าช้ากับเจ้า ฮั่นยี่สุ่ยให้ข้าส่งเจ้าเดินทางเถอะ!”
“ข้าเป็นผู้อาวุโสของหลิงซู่ตงเทียน ถ้าเจ้าฆ่าข้าเจ้าจะถูกไล่ล่าจนสุดขอบโลก!”
เย่ฟ่านมีรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“ข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่เจ้ายังส่งศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่สิบคนมาจัดการกับข้า แม้ว่าข้าจะถูกคนอื่นตามล่าจริงๆเจ้าก็ไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว”
"เจ้า!"
ท่าทางของฮั่นยี่สุ่ยเปลี่ยนไป เขารู้ว่าสถานการณ์ของเขาเข้าสู่ช่วงวิกฤตแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้น่ากลัวมากเกินไปเขากล้าที่จะลงมือสังหารทุกคนที่เป็นศัตรูอย่างแน่นอน
“เจ้าต้องการจะฆ่าข้า ข้าจะทิ้งภัยคุกคามไว้เบื้องหลังได้อย่างไร ในชาติหน้าจงรู้จักทำตัวเป็นคนดีเถอะ”
เย่ฟ่านกระโจนไปข้างหน้า ฮั่นยี่สุ่ยก็ไม่รอช้าเช่นกัน เขาปลดปล่อยสิ่งประดิษฐ์ที่เขาควบคุมทั้งหมดออกมาเพื่อปิดกั้นการโจมตีที่กำลังจะมาถึง
"ปัง!"
ร่างกายของฮั่นยี่สุ่ยถูกบดขยี้ออกจากกันเป็นชิ้นๆเลือดของเขาสาดกระจายไปทุกทิศทุกทางพร้อมกับจบชีวิตที่แก่ชราลงเช่นนี้
เย่ฟ่านลงมาที่พื้นในขณะที่รูปลักษณ์อันสง่างามของเขาค่อยๆ หายไป ร่างกายของเขาที่แพรวพราวก็กลับกลายเป็นปกติ เขาท่องไปในหุบเขาอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่พบสิ่งมีค่าใดๆ
ไม่นานหลังจากนั้น เขาเดินออกจากหุบเขาด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา ใบหน้าของเขามีรอยยิ้ม ในขณะที่เขาเดินออกจากประตูนิกายอย่างใจเย็น
ไม่นานหลังจากออกจากหลิงซู่ตงเทียน เย่ฟ่านสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานที่น่ากลัวจากด้านหลังเขา นี่คือผู้ฝึกฝนที่ผ่านขอบเขตสะพานวิญญาณไปแล้วอย่างแน่นอน
เขาไม่ประมาทพอที่จะต่อสู้กับผู้ฝึกฝนในอาณาจักรอีกฝั่งหนึ่งอย่างแน่นอน ความแตกต่างระหว่างอาณาจักรนั้นยิ่งใหญ่เกินไปและยากที่จะเอาชนะได้
เย่ฟ่านไม่ได้มองย้อนกลับไปและทำเป็นใจเย็นเดินลงเขาด้วยรอยยิ้ม
เย่ฟ่านมีทะเลสีทองแห่งความทุกข์ที่พิเศษไม่เหมือนใคร ในเวลานี้ทะเลสีทองส่งเสียงร้องโหยหวนภายในร่างกายของเขาราวกับจะปลดปล่อยสายฟ้าออกมา
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หายตัวไปจากดินแดนแห่งนี้ราวกับสายฟ้าแลบ
ครึ่งเดือนต่อมาเย่ฟ่านปรากฏตัวขึ้นภายในอาณาจักรเว่ย พื้นที่นี้ถูกแยกออกจากอาณาจักรเอี๋ยนโดยห้าอาณาจักร
ในตอนนี้เขาอยู่ห่างจากหลิงซู่ตงเทียนเป็นระยะทางกว่าสองแสนเจ็ดหมื่นลี้และไม่มีใครสามารถติดตามเขามาได้อย่างแน่นอน
เมื่อถามทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทะเลสาบหยกและได้คำตอบเย่ฟ่านรู้สึกตกตะลึง ระยะทางนั้นไกลเกินกว่าจินตนาการของเขาและไม่มีทางที่เขาจะไปถึงที่นั่นได้ภายในเวลายี่สิบปีอย่างแน่นอน
เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่นวดขมับและพึมพำว่า
“โลกนี้ช่างเหลือเชื่อจริงๆ จะมีอาณาเขตกว้างใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร มันใหญ่กว่าโลกที่ข้าเคยอยู่กี่เท่ากันแน่”
หากใครขี่บนสายรุ้งลึกลับเพื่อเดินทางแม้จะทุ่นระยะเวลาได้หลายปีแต่มันจะทำให้เขาพลาดโอกาสในการฝึกฝนไปด้วย ซึ่งเย่ฟ่านไม่ยินยอมที่จะทำเช่นนั้น
เขายังคงตั้งคำถามต่อไปและในที่สุดก็เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการอื่นที่จะไปที่นั่น ยกตัวอย่างเช่นการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ลึกซึ้งที่สุดเพื่อรวบรวมพลังงานจากสวรรค์ นิกายขนาดใหญ่หลายแห่งสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้
อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะข้ามผ่านมากกว่าครึ่งหนึ่งของแดนรกร้างตะวันออกมีเพียงสองตระกูลเท่านั้นในภูมิภาคนี้ที่มีความสามารถดังกล่าว
หนึ่งคือตระกูลจี้ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกหรือไม่ก็ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ภูมิหลังของพวกเขามีความลึกและสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
การเปิดประตูเพื่อข้ามผ่านเวลาและพื้นที่ ยิ่งระยะทางไกลเท่าไรก็ยิ่งต้องใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งสองตระกูลจะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ฝึกฝนสะพานวิญญาณเช่นเขา
สิ่งเดียวที่โชคดีคือเขายังมีเวลาและไม่รีบเร่งสำหรับวิธีการบ่มเพาะ 'ตำหนักเต๋า' เย่ฟ่านวางแผนที่จะอยู่ภายในอาณาจักรเว่ยเป็นระยะเวลาหนึ่งและคิดหาวิธีอื่นที่จะเคลื่อนย้ายไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทะเลสาบหยก
เมืองเซี่ยวคึกคัก เต็มไปด้วยเกวียน ม้า และผู้คนที่เคลื่อนไหวอย่างไม่รู้จบ เย่ฟ่านอาศัยอยู่ในเมืองนี้และอาศัยอยู่ท่ามกลางความพลุกพล่าน
ในแต่ละวันเขาจะยังคงฝึกฝนต่อไปและมุ่งหน้าออกจากเมืองเป็นครั้งคราวเพื่อออกกำลังกายในภูเขาลึก ในขณะที่ฝึกฝนในแต่ละวันเย่ฟ่านก็กำลังไตร่ตรองว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ได้อย่างไร
กระดูกของเขาบริสุทธิ์ราวกับหยก แข็งแรงราวกับโลหะศักดิ์สิทธิ์ อวัยวะทั้งห้าของเขาไม่มีสิ่งเจือปนเหมือนสิ่งประดิษฐ์จากสวรรค์
เย่ฟ่านกำลังไตร่ตรองว่าจะเพิ่มความได้เปรียบนี้ได้อย่างไร ในตอนที่เขาเข้าสู่หลิงซู่ตงเทียนครั้งล่าสุด เขาได้ต่อสู้อยู่หลายครั้งและทุกครั้ล้วนใช้พลังดิบจากร่างกายอย่างป่าเถื่อน
เขารู้ว่าโลกแห่งการฝึกฝนนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่าศิลปะการต่อสู้ที่สามารถทำให้เราใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในร่างกายให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือใช้ในแนวทางเฉพาะเจาะจงได้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีวิธีการนี้
“ข้าได้กินยาศักดิ์สิทธิ์ ผลัดเปลี่ยนกระดูกและเซลล์ผิวมาสองครั้งแล้ว ร่างกายของข้าแข็งแกร่งมากกว่าคนทั่วไปดังนั้นข้าควรจะฝึกฝนร่างกายของตัวเองให้แข็งแกร่งมากขึ้นจะดีหรือไม่…….”
เย่ฟ่านนึกย้อนกลับไปถึงหมัดไทเก๊กที่คนเฒ่าคนแก่ในบริเวณบ้านของเขาฝึกฝนในช่วงเช้า แม้ว่าเขาจะสามารถฝึกฝนมันได้ทุกกระบวนท่าแต่เขาก็คิดว่าเมื่ออยู่ในโลกนี้มันไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
ความเร่งรีบและคึกคักของเมืองเซียวเมื่อเปรียบเทียบกับความสงบภายในภูเขาลึกสร้างความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
หนึ่งเดือนผ่านไปแม้ว่าเขาจะไม่สามารถคิดหาวิธีที่จะเดินทางข้ามไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทะเลสาบหยกได้ อย่างไรก็ตามเย่ฟ่านยังคงได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับโลกแห่งการฝึกฝนนี้ ในที่สุดเขาก็นึกถึงไท่จี๋
“ไท่จี๋เป็นความเคลื่อนไหวและสร้างหยางสุดขั้วในขณะที่ความสงบของมันกลับสร้างหยินที่ยอดเยี่ยมที่สุดขึ้นมา
ความสงบสุดขั้วกลับคืนสู่การเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวและความสงบหมุนรอบกันและกันโดยแยกหยินและหยางออกเป็นสองฝ่าย เมื่อพลังงานทั้งสองหลอมรวมกันมันจะก่อให้เกิดพลังชีวิตอันมากมายมหาศาล…”
“ใช่แล้ว ข้าสามารถฝึกฝนไท่จี๋ได้!”
ในความจริงเย่ฟ่านไม่ได้วางแผนที่จะฝึกฝนไท่จี๋ แต่เขาต้องการความรู้แจ้งของคนโบราณที่มีต่อไท่จี๋ซึ่งบันทึกไว้ในตำราโบราณโดยต้องการใช้มันขัดเกลาร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
“ไท่จี๋คือการสำแดงของเต๋า ถ้าข้าจะฝึกฝนศิลปะนี้ข้าจะไม่เพียงแค่ฝึกฝนรูปแบบหนึ่งของเวิชาการต่อสู้ธรรมดาเท่านั้น ข้าเชื่อว่าแม้แต่ในโลกนี้นี่ก็ต้องเป็นวิชาที่น่าทึ่งอย่างแน่นอน
ถ้าข้าทำสำเร็จ มันคงไม่ได้ด้อยไปกว่าจารึกโบราณอันลึกลับใดๆเลย ท้ายที่สุดแล้วนี่คือมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศจีนโบราณ”
เย่ฟ่านไม่ต้องการที่จะละทิ้งวิธีการฝึกฝนของโลกนี้ ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนศิลปะทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกัน
การเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายจะช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ให้กับคนๆหนึ่งได้อย่างแน่นอน ในช่วงระยะเวลาที่เขาขาดแคลนวิชาที่จะใช้ต่อสู้ การฝึกฝนเช่นนี้ก็ถือเป็นการฆ่าเวลาที่ดีไม่น้อย