ตอนที่แล้ว149 - ข้าจะส่งเจ้าไปพบกับพวกเขาเอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป151 - การเคลื่อนไหวที่น่าหลงใหล

150 - ออกจากแคว้นเอี๋ยน


150 - ออกจากแคว้นเอี๋ยน

สีหน้าของฮั่นยี่สุ่ยซีดขาว นี่เป็นการทำร้ายจิตใจมากเกินไปสำหรับเขา เขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าร่างกายของบุคคลนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร นี่มันเกินสามัญสำนึกของเขาไปแล้ว

“เจ้าสารเลว เจ้าทำได้เกินความคาดหมายทั้งหมดของข้าแล้ว……”

ในขณะนั้นน้ำเต้าสีเงินวาววับก็ปรากฏขึ้นในมือของฮั่นยี่สุ่ย ประกายแวววาวของมันยิ่งสดใสมากขึ้นเมื่อจุกฝาถูกดึงออกมา

“ถึงเวลายุติเรื่องนี้แล้ว!”

น้ำเต้าสีเงินบินไปข้างหน้าและขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้ามันก็เปลี่ยนเป็นภูเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง ปากของมันพ่นหมอกหมุนวนพร้อมที่จะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป

เย่ฟ่านรู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลที่ดึงมาที่เขาทำให้เท้าของเขายกขึ้นจากพื้นและบินเข้าไปทางน้ำเต้าสีเงิน มันเหมือนกับอ่างน้ำวนที่ดูดพลังปราณจิตวิญญาณทั้งหมดเข้าไปข้างใน

“นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ข้าใช้เวลาถึงครึ่งชีวิตในการหลอม ข้าไม่เชื่อว่าร่างกายของเจ้าจะสามารถป้องกันสิ่งนี้ได้ มันจะจับเจ้าและเปลี่ยนเจ้าเป็นกองเลือด นี่เป็นการแก้แค้นสำหรับลูกศิษย์ของข้า!”

"เจ้าสามารถลองได้!"

ทันใดนั้นเย่ฟ่านก็กลายเป็นสายรุ้งลึกลับ เมื่อเขาพุ่งไปที่ปากของน้ำเต้าสีเงินหมัดของเขาก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรุนแรงพร้อมกับบดขยี้ปากน้ำเต้าให้ระเบิดเป็นจุล

“บูม!”

ร่างกายของเย่ฟ่านเปล่งประกายราวกับหล่อหลอมจากโลหะศักดิ์สิทธิ์ หมัดทองคำของเขาบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีอะไรสามารถขวางกั้น

"เจ้า! เป็นไปไม่ได้!" ใบหน้าของฮั่นยี่สุ่ยซีดไร้สีสันใดๆ

“ข้าไม่มีเวลาที่จะล่าช้ากับเจ้า ฮั่นยี่สุ่ยให้ข้าส่งเจ้าเดินทางเถอะ!”

“ข้าเป็นผู้อาวุโสของหลิงซู่ตงเทียน ถ้าเจ้าฆ่าข้าเจ้าจะถูกไล่ล่าจนสุดขอบโลก!”

เย่ฟ่านมีรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“ข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่เจ้ายังส่งศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่สิบคนมาจัดการกับข้า แม้ว่าข้าจะถูกคนอื่นตามล่าจริงๆเจ้าก็ไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว”

"เจ้า!"

ท่าทางของฮั่นยี่สุ่ยเปลี่ยนไป เขารู้ว่าสถานการณ์ของเขาเข้าสู่ช่วงวิกฤตแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้น่ากลัวมากเกินไปเขากล้าที่จะลงมือสังหารทุกคนที่เป็นศัตรูอย่างแน่นอน

“เจ้าต้องการจะฆ่าข้า ข้าจะทิ้งภัยคุกคามไว้เบื้องหลังได้อย่างไร ในชาติหน้าจงรู้จักทำตัวเป็นคนดีเถอะ”

เย่ฟ่านกระโจนไปข้างหน้า ฮั่นยี่สุ่ยก็ไม่รอช้าเช่นกัน เขาปลดปล่อยสิ่งประดิษฐ์ที่เขาควบคุมทั้งหมดออกมาเพื่อปิดกั้นการโจมตีที่กำลังจะมาถึง

"ปัง!"

ร่างกายของฮั่นยี่สุ่ยถูกบดขยี้ออกจากกันเป็นชิ้นๆเลือดของเขาสาดกระจายไปทุกทิศทุกทางพร้อมกับจบชีวิตที่แก่ชราลงเช่นนี้

เย่ฟ่านลงมาที่พื้นในขณะที่รูปลักษณ์อันสง่างามของเขาค่อยๆ หายไป ร่างกายของเขาที่แพรวพราวก็กลับกลายเป็นปกติ เขาท่องไปในหุบเขาอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่พบสิ่งมีค่าใดๆ

ไม่นานหลังจากนั้น เขาเดินออกจากหุบเขาด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา ใบหน้าของเขามีรอยยิ้ม ในขณะที่เขาเดินออกจากประตูนิกายอย่างใจเย็น

ไม่นานหลังจากออกจากหลิงซู่ตงเทียน เย่ฟ่านสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานที่น่ากลัวจากด้านหลังเขา นี่คือผู้ฝึกฝนที่ผ่านขอบเขตสะพานวิญญาณไปแล้วอย่างแน่นอน

เขาไม่ประมาทพอที่จะต่อสู้กับผู้ฝึกฝนในอาณาจักรอีกฝั่งหนึ่งอย่างแน่นอน ความแตกต่างระหว่างอาณาจักรนั้นยิ่งใหญ่เกินไปและยากที่จะเอาชนะได้

เย่ฟ่านไม่ได้มองย้อนกลับไปและทำเป็นใจเย็นเดินลงเขาด้วยรอยยิ้ม

เย่ฟ่านมีทะเลสีทองแห่งความทุกข์ที่พิเศษไม่เหมือนใคร ในเวลานี้ทะเลสีทองส่งเสียงร้องโหยหวนภายในร่างกายของเขาราวกับจะปลดปล่อยสายฟ้าออกมา

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หายตัวไปจากดินแดนแห่งนี้ราวกับสายฟ้าแลบ

ครึ่งเดือนต่อมาเย่ฟ่านปรากฏตัวขึ้นภายในอาณาจักรเว่ย พื้นที่นี้ถูกแยกออกจากอาณาจักรเอี๋ยนโดยห้าอาณาจักร

ในตอนนี้เขาอยู่ห่างจากหลิงซู่ตงเทียนเป็นระยะทางกว่าสองแสนเจ็ดหมื่นลี้และไม่มีใครสามารถติดตามเขามาได้อย่างแน่นอน

เมื่อถามทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทะเลสาบหยกและได้คำตอบเย่ฟ่านรู้สึกตกตะลึง ระยะทางนั้นไกลเกินกว่าจินตนาการของเขาและไม่มีทางที่เขาจะไปถึงที่นั่นได้ภายในเวลายี่สิบปีอย่างแน่นอน

เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่นวดขมับและพึมพำว่า

“โลกนี้ช่างเหลือเชื่อจริงๆ จะมีอาณาเขตกว้างใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร มันใหญ่กว่าโลกที่ข้าเคยอยู่กี่เท่ากันแน่”

หากใครขี่บนสายรุ้งลึกลับเพื่อเดินทางแม้จะทุ่นระยะเวลาได้หลายปีแต่มันจะทำให้เขาพลาดโอกาสในการฝึกฝนไปด้วย ซึ่งเย่ฟ่านไม่ยินยอมที่จะทำเช่นนั้น

เขายังคงตั้งคำถามต่อไปและในที่สุดก็เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการอื่นที่จะไปที่นั่น ยกตัวอย่างเช่นการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ลึกซึ้งที่สุดเพื่อรวบรวมพลังงานจากสวรรค์ นิกายขนาดใหญ่หลายแห่งสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้

อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะข้ามผ่านมากกว่าครึ่งหนึ่งของแดนรกร้างตะวันออกมีเพียงสองตระกูลเท่านั้นในภูมิภาคนี้ที่มีความสามารถดังกล่าว

หนึ่งคือตระกูลจี้ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกหรือไม่ก็ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ภูมิหลังของพวกเขามีความลึกและสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

การเปิดประตูเพื่อข้ามผ่านเวลาและพื้นที่ ยิ่งระยะทางไกลเท่าไรก็ยิ่งต้องใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งสองตระกูลจะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ฝึกฝนสะพานวิญญาณเช่นเขา

สิ่งเดียวที่โชคดีคือเขายังมีเวลาและไม่รีบเร่งสำหรับวิธีการบ่มเพาะ 'ตำหนักเต๋า' เย่ฟ่านวางแผนที่จะอยู่ภายในอาณาจักรเว่ยเป็นระยะเวลาหนึ่งและคิดหาวิธีอื่นที่จะเคลื่อนย้ายไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทะเลสาบหยก

เมืองเซี่ยวคึกคัก เต็มไปด้วยเกวียน ม้า และผู้คนที่เคลื่อนไหวอย่างไม่รู้จบ เย่ฟ่านอาศัยอยู่ในเมืองนี้และอาศัยอยู่ท่ามกลางความพลุกพล่าน

ในแต่ละวันเขาจะยังคงฝึกฝนต่อไปและมุ่งหน้าออกจากเมืองเป็นครั้งคราวเพื่อออกกำลังกายในภูเขาลึก ในขณะที่ฝึกฝนในแต่ละวันเย่ฟ่านก็กำลังไตร่ตรองว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ได้อย่างไร

กระดูกของเขาบริสุทธิ์ราวกับหยก แข็งแรงราวกับโลหะศักดิ์สิทธิ์ อวัยวะทั้งห้าของเขาไม่มีสิ่งเจือปนเหมือนสิ่งประดิษฐ์จากสวรรค์

เย่ฟ่านกำลังไตร่ตรองว่าจะเพิ่มความได้เปรียบนี้ได้อย่างไร ในตอนที่เขาเข้าสู่หลิงซู่ตงเทียนครั้งล่าสุด เขาได้ต่อสู้อยู่หลายครั้งและทุกครั้ล้วนใช้พลังดิบจากร่างกายอย่างป่าเถื่อน

เขารู้ว่าโลกแห่งการฝึกฝนนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่าศิลปะการต่อสู้ที่สามารถทำให้เราใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในร่างกายให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือใช้ในแนวทางเฉพาะเจาะจงได้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีวิธีการนี้

“ข้าได้กินยาศักดิ์สิทธิ์ ผลัดเปลี่ยนกระดูกและเซลล์ผิวมาสองครั้งแล้ว ร่างกายของข้าแข็งแกร่งมากกว่าคนทั่วไปดังนั้นข้าควรจะฝึกฝนร่างกายของตัวเองให้แข็งแกร่งมากขึ้นจะดีหรือไม่…….”

เย่ฟ่านนึกย้อนกลับไปถึงหมัดไทเก๊กที่คนเฒ่าคนแก่ในบริเวณบ้านของเขาฝึกฝนในช่วงเช้า แม้ว่าเขาจะสามารถฝึกฝนมันได้ทุกกระบวนท่าแต่เขาก็คิดว่าเมื่ออยู่ในโลกนี้มันไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้

ความเร่งรีบและคึกคักของเมืองเซียวเมื่อเปรียบเทียบกับความสงบภายในภูเขาลึกสร้างความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

หนึ่งเดือนผ่านไปแม้ว่าเขาจะไม่สามารถคิดหาวิธีที่จะเดินทางข้ามไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทะเลสาบหยกได้ อย่างไรก็ตามเย่ฟ่านยังคงได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับโลกแห่งการฝึกฝนนี้ ในที่สุดเขาก็นึกถึงไท่จี๋

“ไท่จี๋เป็นความเคลื่อนไหวและสร้างหยางสุดขั้วในขณะที่ความสงบของมันกลับสร้างหยินที่ยอดเยี่ยมที่สุดขึ้นมา

ความสงบสุดขั้วกลับคืนสู่การเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวและความสงบหมุนรอบกันและกันโดยแยกหยินและหยางออกเป็นสองฝ่าย เมื่อพลังงานทั้งสองหลอมรวมกันมันจะก่อให้เกิดพลังชีวิตอันมากมายมหาศาล…”

“ใช่แล้ว ข้าสามารถฝึกฝนไท่จี๋ได้!”

ในความจริงเย่ฟ่านไม่ได้วางแผนที่จะฝึกฝนไท่จี๋ แต่เขาต้องการความรู้แจ้งของคนโบราณที่มีต่อไท่จี๋ซึ่งบันทึกไว้ในตำราโบราณโดยต้องการใช้มันขัดเกลาร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

“ไท่จี๋คือการสำแดงของเต๋า ถ้าข้าจะฝึกฝนศิลปะนี้ข้าจะไม่เพียงแค่ฝึกฝนรูปแบบหนึ่งของเวิชาการต่อสู้ธรรมดาเท่านั้น ข้าเชื่อว่าแม้แต่ในโลกนี้นี่ก็ต้องเป็นวิชาที่น่าทึ่งอย่างแน่นอน

ถ้าข้าทำสำเร็จ มันคงไม่ได้ด้อยไปกว่าจารึกโบราณอันลึกลับใดๆเลย ท้ายที่สุดแล้วนี่คือมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศจีนโบราณ”

เย่ฟ่านไม่ต้องการที่จะละทิ้งวิธีการฝึกฝนของโลกนี้ ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนศิลปะทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกัน

การเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายจะช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ให้กับคนๆหนึ่งได้อย่างแน่นอน ในช่วงระยะเวลาที่เขาขาดแคลนวิชาที่จะใช้ต่อสู้ การฝึกฝนเช่นนี้ก็ถือเป็นการฆ่าเวลาที่ดีไม่น้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด