ตอนที่ 7 ความผิดพลาด
ตอนที่ 7
ความผิดพลาด
“เจ้าตัวนั้นมันอะไรกัน....”ด้วยร่างกายใหญ่โตมหึมาของอสูรหมี เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะเข้ามาใกล้หมู่บ้านได้โดยไม่มีใครพบเจอ ซึ่งผู้ที่พบมันเป็นคนแรกก็คือหนึ่งในกลุ่มนายพรานของหมู่บ้านที่มีสมาชิกกันทั้งสิ้น 3 คนนั่นเอง
“เป็นอสูรแน่ๆ....”นายพรานที่น่าจะอายุเยอะที่สุดในกลุ่มพูดออกมาด้วยท่าทีใจเย็น หมียักษ์ที่มีลวดลายเปลวเพลิงที่อก น่าจะเป็นหมีเพลิงระดับต่ำ แม้หมู่บ้านแห่งนี้จะไม่ได้อยู่ในถิ่นที่มีอสูรโผล่ออกมานักแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสที่จะมีอสูรหลุดออกมาเลย แถมเส้นทางที่เจ้าหมีนั่นมุ่งตรงไปยังเป็นหมู่บ้านของพวกเขาที่มีลูกๆหลานๆอยู่อาศัยร่วมกันอีกด้วย จะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้หรอก
“ส่งหอกมา พวกเจ้าใช้ธนูช่วยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง”นายพรานผู้อาวุโสที่สุดพูดก่อนจะยื่นมือไปรับหอกไม้จากนายพรานอีกคนหนึ่ง แม้จะยืนอยู่ต่อหน้าอสูรแต่เหล่านายพรานของหมู่บ้านกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แม้อสูรจะดุร้ายกว่าสัตว์ป่า มีทั้งกำลังมหาศาลแถมยังใช้พลังวิญญาณได้ แต่เจ้าหมีเพลิงตนนี้เป็นเพียงอสูรระดับต่ำ นอกจากแรงเยอะกว่าหมีทั่วไปแล้วก็ทำได้เพียงพ่นไฟออกมาเท่านั้น สำหรับนายพรานมากประสบการณ์นั้นไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงเลย
.
.
.
ตึง!!
ในเช้าวันเดียวกันหลังจากเหล่านายพรานกลับมาจากการล่าสัตว์ ร่างของหมีเพลิงก็ถูกลากกลับมาวางเอาไว้กลางหมู่บ้านพร้อมท่าทีภูมิอกภูมิใจกันไม่น้อย นานๆทีจะมีอสูรโผล่ออกมาถือว่าเป็นลาภใหญ่ของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ ไม่ต้องเสี่ยงเข้าไปในเขตของพวกอสูรให้โดนรุมเล่นงาน แถมยังได้ของล้ำค่าอย่างร่างของอสูรมาอีกด้วย
“หลินเยว่ มาดูนี่สิท่านลุงจงไห่จับหมีตัวใหญ่มาได้ด้วย”ท่ามกลางเหล่าชาวบ้านที่กำลังตื่นเต้นกับการได้เห็นอสูรในรอบหลายปี แม่ของสองพี่น้องหลี่ลู่ชิงและหลี่หลินเยว่ก็ไม่พลาดที่จะพาสองพี่น้องออกมาพบสิ่งแปลกตาเสียบ้าง โดยเฉพาะบุตรสาวที่มักจะตื่นเต้นกับอะไรใหม่ๆเสมอ
“ท่านแม่ๆ เจ้านั่นคืออสูรเหรอเจ้าคะ”หลี่หลินเยว่มองไปทางร่างของอสูรหมีเพลิงด้วยใบหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่ที่นางสนใจไม่ใช่เพราะมันเป็นอสูรตัวโตแสนน่ากลัวหรอกแต่เพราะเรื่องที่เจียอีเทพผู้ปกครองมิติบอกเอาไว้ต่างหาก ในโลกที่นางเลือกลงมาเกิดนั้นมีวัฒนธรรมการกินที่ยอดเยี่ยมมาก และสาเหตุที่นางเลือกมาเกิดในดินแดนแห่งนี้ก็เพราะ อสูร นั้นมีรสชาติดีกว่าสัตว์ป่าทั่วไปมากเพราะพลังวิญญาณที่พวกมันดูดซับเข้าไปนั่นเอง แม้อาหารฝีมือท่านแม่จะไม่เลว แต่หากให้ท่านแม่ใช้เนื้อของอสูรตนนั้นมาลองทำอาหารดูละก็อาหารจะต้องอร่อยขึ้นมากแน่ๆ
“ใช่แล้ว ลองไปดูใกล้ๆดีไหม แม่จะลองขอท่านลุงจงไห่ให้นะ”หลี่เอ้อหลางผู้เป็นมารดาเห็นท่าทีดีใจของบุตรสาวก็ยิ้มออกมาอย่างชื่นใจ แม้หลี่หลินเยว่กับหลี่ลู่ชิงจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน แต่นอกจากหน้าตาที่คล้ายกันแล้วอย่างอื่นแทบจะไม่คล้ายกันเลย หลินเยว่มักจะร่าเริงและตื่นเต้นกับอะไรรอบข้างเสมอ นางเป็นเด็กช่างถามตามานิสัยของเด็กร่าเริงเลยก็ว่าได้ แต่ลู่ชิงเป็นเด็กเรียบร้อยว่านอนสอนง่ายแต่ไม่พูดไม่จาเท่าไหร่ เขาไม่ค่อยแสดงท่าทีตื่นเต้นอะไรออกมานัก แม้บางครั้งจะช่วยให้แม่เบาใจเพราะไม่ต้องมัวเป็นห่วงลู่ชิงไปด้วย แต่บางครั้งก็อยากให้แสดงท่าทีดีใจเหมือนหลินเยว่บ้างเท่านั้นเอง
“ไปกันเถอะ”เห็นหลี่หลินเยว่แสดงอยากเข้าไปดูใกล้ๆอย่างออกนอกหน้า พี่ชายอย่างลู่ชิงก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทีเอ็นดูก่อนจะยื่นมือออกไปให้หลินเยว่จับแล้วพากันเดินตามมารดาเข้าไปใกล้ร่างของอสูรหมีเพลิงอย่างกล้าหาญ
“อ้าวหลินเยว่ หนูก็มาดูด้วยงั้นเหรอ”ทันทีที่บ้านตระกูลหลี่เดินเข้าไป หัวหน้านายพรานก็ยิ้มต้อนรับทันทีเพราะแต่เดิมบ้านของตระกูลหลี่ก็อยู่ติดกับบ้านของลุงจงไห่อยู่แล้ว แถมหลินเยว่ผู้ชื่นชอบอาหารก็มักจะไปถามเรื่องสัตว์ต่างๆจากลุงจงไห่อยู่เสมอ ทำให้หลินเยว่สนิทกับลุงจงไห่ไม่น้อยเลย
“ให้เด็กๆเข้าไปดูใกล้ๆหน่อยได้หรือเปล่าคะ”เอ้อหลางมารดาของทั้งสองถามพลางมองไปยังร่างของอสูรหมีเบื้องหน้า บางครั้งบนตัวของอสูรจะมีพลังธาตุไหลเวียนอยู่ต่อให้ตายไปแล้วก็อาจจะยังสามารถสร้างบาดแผลให้ผู้แตะต้องได้โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนพลังวิญญาณ เพราะแบบนั้นชาวบ้านเลยไม่กล้าเข้าไปใกล้หมีตัวนี้กันเท่าไหร่เพราะไม่ทราบว่ายังมีอะไรตกค้างอยู่หรือไม่
“ได้เลย เจ้านี่พอตายก็ไม่มีพิษภัยอะไรแล้ว”ลุงจงไห่ได้ยินก็ตอบออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ แม้หมีเพลิงจะไม่ได้อ่อนแอที่สุดในกลุ่มอสูรระดับต่ำ แต่ก็ยังเป็นเพียงอสูรระดับต่ำเท่านั้น เปลวเพลิงที่อกก็ดับไปทันทีหลังจากมันตายทำให้บนตัวมันแทบไม่เหลืออะไรให้ทำร้ายคนอื่นได้อีกนอกจากเล็บและฟันที่ไม่ควรไปแตะอยู่แล้ว
“ท่านลุงๆ เจ้านี่กินได้หรือเปล่า ตัวมันใหญ่ขนาดนี้ต้องได้เนื้อเยอะแน่ๆเลย”คำถามแรกของหลินเยว่ผู้มีรูปร่างแสนจะน่ารักน่าเอ็นดูกลับเป็นคำถามว่าอสูรตนนี้กินได้หรือไม่เสียอย่างนั้น คำถามแสนแปลกประหลาดของนางทำเอาเหล่าชาวบ้านพากันหัวเราะและมองนางด้วยท่าทีเอ็นดูกันถ้วนหน้า
ไม่ทราบทำไมหลี่หลินเยว่ผู้นี้ถึงชื่นชอบการกินเป็นอย่างมาก นางมักจะถามเรื่องอาหารที่พวกคนในหมู่บ้านทำอยู่ตลอด ทั้งมันทำอย่างไร ใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง หรือรสชาติมันเป็นอย่างไร พอพวกนายพรานจับสัตว์ป่าหรือหาของป่ามาได้ นางก็มักจะถามว่าพวกมันกินได้หรือไม่เสมอ แม้กับสัตว์ป่าหรือผักป่าทั่วๆไปจะเป็นเรื่องปกติก็ตาม แต่เล่นถามกับอสูรเช่นนี้ก็ดูน่าเอ็นดูเสียจริง
“แน่นอนกินได้สิ”ทันทีที่ได้ยินคำตอบจากลุงจงไห่ ใบหน้าของหลี่หลินเยว่ก็เปล่งประกายออกมาทันที หากกินได้ละก็...
“แต่ ในหมู่บ้านเราไม่มีใครเอาเนื้อเจ้านี่ไปทำอาหารได้หรอก”แม้จะน่าสงสาร แต่ลุงจงไห่ก็ตัดความหวังของหลี่หลินเยว่ลงอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ว่าแค่มีเนื้ออสูรก็เอามาทำอาหารได้เลยเสียหน่อย
“เอ๊ะ ทำไมล่ะเจ้าคะ พวกท่านป้าในหมู่บ้านก็ทำอาหารกันเก่งจะตาย”หลี่หลินเยว่ได้ฟังก็ถามออกไปด้วยความสงสัยทันที เหตุใดถึงเอาเนื้อมันมาทำอาหารไม่ได้เล่า ทั้งๆที่เนื้อของมันก็กองอยู่ตรงหน้านี้แล้ว
“เจ้านี่เป็นหมีธาตุไฟ ร่างกายของมันก็เลยทนไฟเป็นพิเศษ ต่อให้เอาเนื้อของมันไปย่างไฟเป็นชั่วโมงก็ไม่ทำให้สุกหรอก”ลุงจงไห่ส่ายหน้าช้าๆก่อนจะอธิบายสาเหตุให้หลี่หลินเยว่ฟัง
“ถ้าอย่างนั้นต้องทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ”หลินเยว่เอียงคอด้วยท่าทีสงสัย ในเมื่อไฟทำให้มันสุกไม่ได้ งั้นต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้เนื้อของมันสุกได้ล่ะ
“ก็ต้องใช้ไฟที่สร้างจากพลังวิญญาณนะสิ แต่คนในหมู่บ้านเราไม่มีใครสามารถใช้ธาตุไฟได้เลยสักคน เพราะงั้นเนื้อของมันก็มีแต่ต้องขายให้พ่อค้าเร่เท่านั้น”ลุงจงไห่ตอบด้วยท่าทีจำใจ หากเป็นไปได้ก็อยากจะแบ่งเนื้อหมีให้ทุกบ้านในหมู่บ้านอยู่หรอก แต่อย่างที่จงไห่เพิ่งอธิบายไป การจะปรุงเนื้อของอสูรไม่ใช่คนธรรมดาจะทำได้ อย่างน้อยการทำให้เนื้อสุกก็ต้องใช้พลังวิญญาณในการสร้างไฟที่รุนแรงพอจะทำให้เนื้อของมันสุกได้ก่อน ซึ่งจะทำได้ก็ต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์เกี่ยวกับธาตุไฟเสียก่อน แต่คนในหมู่บ้านมีผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณจนสามารถใช้งานออกมาได้เพียง 3 คนเท่านั้น นั่นก็คือเหล่านายพรานทั้ง 3 ของหมู่บ้านนั่นเอง แต่พวกเขาคนหนึ่งก็มีพรสวรรค์ธาตุดิน อีกสองคนก็เป็นธาตุลม ทำให้ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณทำให้เนื้อของเจ้าหมีตนนี้สุกได้เลย
“งั้นข้าจะทำเอง ข้าใช้พลังธาตุไฟได้นะ”หลี่หลินเยว่ได้ยินก็ยกมือขึ้นเสนอตัวเป็นคนใช้พลังธาตุไฟเอง นางได้รับพรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อมาจากสวรรค์ หนึ่งในนั้นมีผลทำให้นางสามารถควบคุมธาตุทั้งหมดได้ตามต้องการ
“เดี๋ยว เจ้าแน่ใจนะ พลังของเจ้าไม่ใช่พลังของมนุษย์นะ”ทันทีที่ได้ยินว่าหลี่หลินเยว่จะลงมือเอง หลี่ลู่ชิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็เข้ามาขวางน้องสาวของตนเอาไว้ทันที
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านพี่ลืมไปแล้วหรือว่าร่างนี้ใช้พลังได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น”หลี่หลินเยว่ตอบด้วยความมั่นใจ เพราะการลงมาเกิดในร่างมนุษย์อย่างไรก็มีขีดจำกัด ยิ่งเป็นร่างของเด็กด้วยแล้วยิ่งไม่สามารถแบกรับพลังเทพแต่เดิมของเทพต้นกำเนิดเอาไว้ได้ ทำให้ตอนนี้หลี่หลินเยว่สามารถใช้พลังได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
“เจ้าแน่ใจนะ”หลี่ลู่ชิงถามพลางจ้องมองน้องสาวของตนอย่างไม่วางใจ ถึงจะบอกว่ามีพลังแค่ส่วนเดียวก็เถอะ แต่ก็เป็นส่วนเดียวจากพลังของท่านเทพต้นกำเนิดเชียวนะ
“แค่ใช้ไฟนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่เป็นไรหรอก”หลี่หลินเยว่ว่าพลางยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อใช้พลังธาตุไฟออกมา
ตูม!!!
พริบตาที่หลี่หลินเยว่ใช้พลังวิญญาณออกมา เปลวเพลิงร้อนแรงก็ถูกยิงออกไปเบื้องหน้าเฉี่ยวร่างของท่านลุงจงไห่ไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น เพียงแต่เปลวเพลิงนี้ไม่ได้เหมือนเปลวเพลิงปกติเสียเท่าไหร่ เพราะมันไม่ได้ลุกโชนไปรอบๆ แต่กลับรวมตัวกันเป็นลำแสงเส้นหนึ่งทะลุผ่านร่างของอสูรหมีเพลิงเจาะคว้านบ้านด้านหลังไปจนถึงภูเขาที่อยู่ห่างออกไป เพียงพริบตาเดียวร่างของอสูรหมีเพลิงก็หายไปพร้อมรูขนาดใหญ่บนภูเขาด้านหลังที่ดูเหมือนพระจันทร์เสี้ยวเลย
“...............”ไม่ใช่แค่ชาวบ้านเท่านั้น แม้แต่หลี่หลินเยว่เองยังตกใจเลย ก็ไหนพวกเจียอีกับเทพสูงสุดบอกว่าพลังของนางจะเหลือเพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้นไง
“อยะ.....อย่างน้อยโลกนี้ก็ยังอยู่ดีนะเจ้าคะ”หลี่หลินเยว่ยิ้มเจื่อนๆออกมาก่อนจะหันไปมองพี่ชายด้วยท่าทีสำนึกผิด นางไม่รู้นี่นาว่าพลังเพียงแค่นี้ก็ส่งผลต่อโลกเบื้องล่างได้มากมายขนาดนี้
“บ้านข้า....”หลังจากหายตกใจ อยู่ๆนายพรานคนหนึ่งก็ทรุดเข่าลงกับพื้นมองบ้านที่หายไปไม่เหลือร่องรอยด้วยใบหน้าซีดเผือด ลำแสงเมื่อครู่กวาดบ้านบริเวณเบื้องหน้าหายไปทั้งแถบไม่เหลืออะไรเอาไว้ดูต่างหน้าเลย
ตูม!!!
ไม่ใช่เท่านั้น ท่าทางความเสียหายจะยังไม่หยุดลุกลามอีกต่างหากเพราะลำแสงที่ปล่อยออกไปได้หยุดลงแล้วยังมีเสียงระเบิดตามมาจากที่ไกลๆอีกต่างหาก ท่าทางจะเกิดเรื่องอะไรเข้าเสียแล้ว
“...............”หลี่หลินเยว่กะพริบตาปริบๆเหมือนทำอะไรไม่ถูก เหมือนนางจะทำให้ทุกคนโกรธกันแน่ๆเลย แบบนี้ไม่เอานะนางอุตส่าห์สนิทกับผู้คนในหมู่บ้านแล้วถ้าพวกเขาโกรธนางละก็....
วูบ.....
อยู่ๆภาพรอบข้างของหลี่หลินเยว่ก็หยุดชะงักราวกับเวลาหยุดนิ่ง ก่อนที่ภาพรอบๆตัวหลี่หลินเยว่จะเหมือนกำลังเดินถอยหลังไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว
“ก็ต้องใช้ไฟที่สร้างจากพลังวิญญาณนะสิ แต่คนในหมู่บ้านเราไม่มีใครสามารถใช้ธาตุไฟได้เลยสักคน เพราะงั้นเนื้อของมันก็มีแต่ต้องขายให้พ่อค้าเร่เท่านั้น”เผลอเพียงครู่เดียว ทุกอย่างก็ถูกย้อนกลับมาตอนที่ลุงจงไห่กำลังอธิบายเรื่องเนื้อของอสูรเสียอย่างนั้น ไม่มีร่องรอยของความเสียหาย และไม่มีชาวบ้านคนไหนกำลังตกใจแม้แต่น้อย
“งะ งั้นเหรอเจ้าคะ แบบนั้นน่าเสียดายจังเลยนะเจ้าคะ”หลี่หลินเยว่หลบสายตาท่านลุงจงไห่ไปทางอื่นก่อนจะตอบคำถามอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ก็ใครใช้ให้พี่ชายของนางจ้องมองนางไม่วางตาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วกันเล่า
“หลินเยว่ หลังจากนี้เจ้ามาคุยกับข้าหน่อยนะ”ใบหน้าของหลี่ลู่ชิงยามนี้ที่มองมาทางหลี่หลินเยว่ดูน่ากลัวเป็นอย่างมากทำเอาหลี่หลินเยว่รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เมื่อครู่มีเพียงหลี่ลู่ชิงเท่านั้นที่ไม่ได้โดนย้อนเวลาไปด้วย ทำให้เขายังจำได้ทั้งหมดว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
“เจ้าค่ะ....”หลี่หลินเยว่พยักหน้าช้าๆด้วยท่าทีรู้สึกผิด นางไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะแค่เผลอไปหน่อยเท่านั้นเอง