ตอนที่แล้วWS บทที่ 225 วันที่เจ็ด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWS บทที่ 227 ทลายช่องว่างทมิฬ

WS บทที่ 226 ภาพลวงตาที่แท้จริง


เป็นครั้งแรกที่เมอร์ลินรู้สึกกังวล ทุกสิ่งรอบตัวเขารู้สึกคุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคยในเวลาเดียวกัน เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นของจริงกันแน่

“ฉันตกลงไปในภาพลวงตาตอนไหนกัน ตั้งแต่ที่ฉันเข้ามาในช่องว่างทมิฬหรือเป็นวันที่สี่ที่ภาพลวงตาแข็งแกร่งขึ้น?”

เมอร์ลินกระซิบขณะที่เขายืนนิ่ง เขาตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ นึกย้อนไปในความทรงจำ และอื่นๆ อย่างใกล้ชิด ทุกอย่างก่อนหน้านี้ดูปกติ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตกลงไปในภาพลวงตาตอนไหนแต่อย่างไรก็ตามเดอะเมทริกซ์ไม่เคยผิด

เดอะเมทริกซ์ได้บันทึกว่านี่เป็นเพียงวันที่เจ็ดที่เมอร์ลินใช้เวลาอยู่ในช่องว่างทมิฬ อย่างไรก็ตาม เขากลับรู้สึกว่าเวลาได้ผ่านไปแล้วสองวันหรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้ผ่านวันที่เจ็ดและยังไม่เคยฝึกฝนดวงใจแห่งความมืดด้วยซ้ำ ทั้งหมดมันเป็นพียงภาพลวงตา!

ตอนนี้ ปัญหาหลักในตอนนี้คือต้องคิดให้ออกว่าเขาตกลงไปในภาพลวงตาเมื่อใด

ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่สี่ เห็นได้ชัดว่าภาพลวงตานั้นแข็งแกร่งขึ้น และเมอร์ลินก็ทะลวงผ่านภาพลวงตานั้นไป สิ่งนี้ตรงกับบันทึกของเดอะเมทริกซ์

ดูเหมือนว่าเมอร์ลินจะตกอยู่ในภาพลวงตาในวันที่เจ็ด เขารู้ว่าเขาตกหลุมพรางมาตั้งแต่ต้น เขาไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างจากภาพลวงตาที่แท้จริงได้และในขณะที่อยู่ภายใต้ภาพลวงตา เขาได้ฝึกฝนรูปแบบที่สามของดวงใจแห่งความมืด

เมอร์ลินรู้สึกได้หนาวสั่นที่ได้รู้ว่า ทั้งหมดนั้นคือภาพลวงตา

“ถ้าหากว่าภาพลวงตาจะเผยความปรารถนาของฉัน ถ้าอย่างนั้นมาลองทดสอบภาพลวงตาดูและดูว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่!”

เมอร์ลินค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลงและหลับตาลง เมื่อตอนที่เขาอยู่ในช่องว่างทมิฬ เขาหวังว่าจะพบแหวนเก็บของท่ามกลางกองโครงกระดูกและเขารู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถหาแหวนได้

เมอร์ลินจึงดำดิ่งไปในจิตใต้สำนึกของเขา เขาความหวังริบหรี่ว่าเขาจะสามารถหาแหวนของโครงกระดูกและนำมันกลับมาได้

เมอร์ลินเก็บความคาดหวังที่คลุมเครือและซ่อนมันไว้ลึกในความคิดของเขา

หลังจากนั้นไม่นาน เมอร์ลินก็ลืมตาและเดินลึกเข้าไปในถ้ำ กระดูกสีขาวกระจัดกระจายไปตามทางเดินและดูเหมือนมันจะไม่ต่างจากที่เมอร์ลินเคยเห็นมาก่อน

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาเดินลึกเข้าไปในถ้ำ เขาเห็นโครงกระดูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นที่มุมถ้ำ ขณะที่เมอร์ลินปัดฝุ่นโครงกระดูกเบา ๆ เขาสังเกตเห็นแหวนบนนิ้วของโครงกระดูก

แหวนเป็นสีดำสนิทและดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญมากนัก อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินใช้พลังจิตเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมและพบว่ามีหินธาตุ ส่วนผสมปรุงยาหรือแม้แต่ม้วนคัมภีร์คาถาสองสามอัน

แหวนที่เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมหาศาล เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเคยเป็นนักเวทย์ที่ร่ำรวย อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด เขาไม่สามารถทนต่อภาพลวงตาของช่องว่างทมิฬและหลงทางในช่องว่างทมิฬ

แหวนสีดำเย็นอยู่ในมือของเมอร์ลิน หากเป็นคนอื่นก็คงไม่สงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์นี้แต่เมอร์ลินดูมืดมนและเขาเริ่มรู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวของภาพลวงตา

“มันเหมือนจริงมาก…แน่นอนว่าภาพลวงตานั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของหัวใจของฉัน ภาพมายานี้เกิดจากความปรารถนาในจิตใต้สำนึกที่อยู่ภายในสุดของฉัน ฉันจึงไม่ได้ตระหนักว่ามันเป็นภาพลวงตาเพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉันตั้งตารอ…” เมอร์ลินกระซิบ

แม้แหวนสีดำสนิทในมือของเขาดูเหมือนจริงมากแต่เขาโยนมันลงบนพื้นแล้วเขาก็เดินไปรอบ ๆ

นี่คือภาพลวงตาที่แท้จริง เมอร์ลินมีความปรารถนาเพียงเล็กน้อยที่จะหาแหวนท่ามกลางโครงกระดูกและเมื่อเขาค้นหา เขาก็พบแหวนหนึ่งวงในทันที เขาคงไม่โชคดีขนาดนี้อย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้ เขาค้นหามาเป็นเวลานานแต่ไม่พบแหวนแม้แต่วงเดียว นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนอยู่แล้ว

เมอร์ลินตระหนักว่าแท้จริงแล้วเขาอยู่ในภาพลวงตาและมันก็ขึ้นอยู่กับความต้องการภายในสุดของเขา จิตใต้สำนึกของเขาสามารถจัดการกับภาพลวงตาที่แท้จริงได้ เมอร์ลินไม่แน่ใจว่าเขาจะทำลายภาพลวงตาแบบนี้ได้อย่างไร

ศิลาแห่งการรู้แจ้งก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน มิฉะนั้น ภาพลวงตาพวกนี้คงจะสลายไปแล้ว ดูเหมือนศิลาจะไม่มีประโยชน์ในวันที่เจ็ดในช่องว่างทมิฬ

เมอร์ลินไปรอบ ๆ ถ้ำ เขารู้ว่าเขาสามารถนั่งที่เดิมได้แต่นี่เป็นภาพลวงตาที่ไม่สามารถทำลายมันได้ เขาเริ่มวิตกกังวลมากขึ้นและหัวใจก็เต้นรัว

ภาพลวงตานี้เป็นความปรารถนาของเขา เมอร์ลินไม่ได้สังเกตเห็นก่อน เขาคงตกลงไปในภาพลวงตาไปแล้ว

มันช่างเป็นภาพลวงตาที่น่าเกรงขามและเลวร้ายที่สุด เท่าที่เขาพบเจอมาก

ไม่น่าแปลกใจที่นักเวทย์ที่ทิ้งข้อความบนพื้น เขาไม่สามารถทำลายภาพลวงตาในวันที่เจ็ดได้และหลงทางในช่องว่างทมิฬ สุดท้ายกลายเป็นโครงกระดูกในที่สุด

“ทั้งหมดนี้เป็นของปลอมตั้งแต่ต้นและทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา ทุกสิ่งที่ฉันเห็น ได้ยินและสัมผัสนั้นไม่จริงแต่ความแข็งแกร่งของฉันเป็นสิ่งเดียวที่เป็นความจริง ศรัทธาของฉันเป็นที่มาของความแข็งแกร่งของฉัน!”

เมอร์ลินนั่งลงบนพื้น เขาสงบสติอารมณ์และเข้าในตรวจสอบโครงสร้างเวทมนต์ในจิตใต้สำนึกของเขา

คาถาทั้งสิบสองในจิตใต้สำนึกของเขานั้นสงบมาก คาถาดูดซับพลังธาตุจากภายนอกและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นพลังเวทย์มนตร์เพื่อเก็บไว้ในโครงสร้างเวทมนต์

นอกจากคาถาแล้ว ยังมีพลังปีศาจแพนโดร่าเพลิงวินาศ, ดัชนีเยือกแข็งและดวงใจแห่งความมืด

เมอร์ลินรู้ว่าเขายังคงอยู่ในภาพลวงตาและด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้ฝึกฝนดวงใจแห่งความมืดอย่างแท้จริง

เห็นได้ชัดว่าถ้าเมอร์ลินยังอยู่อย่างนี้ต่อไป เขาจะต้องติดอยู่ในภาพลวงตาตลอดกาลและไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้ในท้ายที่สุด มันก็ไม่ต่างกับการถูกขังอยู่ในช่องว่างทมิฬ

“เพื่อที่จะฝ่าภาพลวงตา ฉันต้องพึ่งพาศรัทธา มีเพียงศรัทธาที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยฉันจากภาพลวงตานี้ได้”

เมอร์ลินรู้ว่านี่เป็นเวลาที่ต้องพึ่งพาตนเอง แล้วศรัทธาคืออะไร? มันเป็นสิ่งที่ดูเหมือนลวงตาแต่จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องจริงมาก

มันเหมือนกับนักเวทย์ระดับเจ็ดที่ไม่เคยสร้างคาถาธาตุมืดมาก่อน อย่างไรก็ตาม พวกเขามีความมั่นใจในตนเองมาช้านานซึ่งกลายเป็นศรัทธาอันแรงกล้า ในช่วงเวลาเช่นนี้ ภาพมายาส่วนใหญ่จะไม่ทำให้พวกเขางุนงงเพราะพวกเขามีศรัทธาที่มาจากภายใน

บางคนเป็นอัจฉริยะที่เกิดมาพร้อมกับศรัทธาอันแรงกล้าซึ่งไม่มีอะไรจะเอาชนะพวกเขาได้ ยิ่งพวกเขาประสบความยากลำบากมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งสร้างศักยภาพมากขึ้นเท่านั้น

ทั้งหมดนี้ต้องการความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในฐานะรูปแบบของการสนับสนุน

เมอร์ลินมีศรัทธาอยู่แล้วแต่ก็ยังไม่เข้มแข็งพอ เขาต้องเชื่อว่าหากเขาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ เขาจะยังคงสามารถลุกขึ้นและกลายเป็นนักเวทย์ที่แข็งแกร่งได้ หากเขามีความเชื่อมั่นนี้ ภาพลวงตาก็จะพังทลายลงมาเอง

อย่างไรก็ตาม ศรัทธาเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา ในที่สุดเมอร์ลินก็นึกถึงอะไรบางอย่าง เนื่องจากภาพลวงตานี้สามารถให้อะไรก็ได้ที่เขาต้องการ เขาจึงสามารถใช้มันเพื่อฝึกฝนศรัทธาของเขาได้

มันเป็นความคิดที่บ้าบอแต่เมอร์ลินเชื่อว่ามันเป็นทางออกเดียว

ดังนั้น เมอร์ลินจึงตกสู่ภาพลวงตาอีกครั้ง สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ความปรารถนาในหัวใจของเขาปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา มันสนองความหวังของเขาทีละนิดและเมอร์ลินก็ไม่ลืมที่จะฝึกฝนความเชื่อของเขาทีละน้อย

แผนการก็คือการใช้ภาพลวงตาเพื่อฝึกฝนศรัทธาของเขาและจากนั้นใช้ศรัทธาของเขาเพื่อฝ่าฟันภาพลวงตา เมอร์ลินอาจเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ที่กล้าหาญและบ้าบิ่นที่สุด

ด้านนอกของช่องว่างทมิฬ พ่อมดฮอบส์ค่อยๆ ลุกขึ้นและพูดกับพ่อมดลีโอว่า

"พ่อมดลีโอ วันนี้วันที่เจ็ดวันแล้วและเมอร์ลินยังไม่ออกมาจากช่องว่างทมิฬ  เขาอาจจะหลงอยู่ในนั้นตลอดไป ข้าหวังว่าคุณจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเรา! "

ดวงตาที่แดงก่ำบนหน้าผากของพ่อมดลีโอเริ่มกระตุกอย่างไม่หยุดยั้ง เขายืนขึ้นและจ้องมองเข้าไปในช่องว่างทมิฬที่มืดสนิทขณะที่เขาพูดอย่างสงบ "ข้าจะทำตามสัญญาอย่างแน่นอน ต่อให้เมอร์ลินจะทำล้มเหลวแต่เขาไม่สามารถตายได้!"

เมื่อเขาพูดจบ พ่อมดลีโอก็เดินเข้าไปในช่องว่างทมิฬ

พ่อมดฮอบส์และคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน พวกเขาก้าวไปข้างหน้าพ่อมดลีโอและพูดอย่างเย็นชาว่า "พ่อมดลีโอ คุณรู้กฎของหอคอนอเวจีดี แม้ว่าพวกเราจะเป็นนักเวทย์เจ็ดก็เข้าไปไม่ได้ นับประสาคนนอก ต่อเมอร์ลินพ่ายแพ้กับช่องว่างทมิฬก็ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้!"

นี่คือกฎของหอคอยอเวจี หากมีใครเข้าไปในช่องว่างทมิฬ คน ๆ นั้นจะต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองเพียงอย่างเดียวเพื่อเอาตัวรอด ไม่มีใครเข้าไปช่วยเขาได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเหล่านักเวทย์จำนวนมากจึงเสียชีวิตในช่องว่างทมิฬ

ดังนั้น เมื่อพวกเขาตระหนักถึงความตั้งใจของพ่อมดลีโอที่จะเข้าไปในช่องว่างทมิฬ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเป็นนักเวทย์จากดินแดนมนต์ดำ พ่อมดฮอบส์และคนอื่น ๆ จึงไม่อนุญาต

พ่อมดลีโอหยุดเดินและดวงตาที่แดงก่ำบนหน้าผากของเขาเปิดออกอย่างดุเดือดขณะที่มันเรืองแสงเป็นสีแดงเลือด “พวกเจ้าหยุดข้าไม่ได้!”

พ่อมดลีโอประกาศอย่างดุเดือดและทำให้พ่อมดฮอบส์ดูโกรธจัด พวกเขารู้ว่าพ่อมดลีโอนั้นมีนิสัยอย่างไรและเขาสามารถฆ่านักเวทย์ระดับเจ็ดจากออซมูได้แต่พวกเขาเป็นนักเวทย์ระดับเจ็ดสามคน พวกเขาจะกลัวนักเวทย์ระดับหกอย่างพ่อมดลีโอได้อย่างไร?

“ฮิฮิ พ่อมดลีโอ ที่นี่คือหอคอยอเวจี ไม่ใช่ดินแดมนมนต์ดำของคุณ!”

พ่อมดฮอบส์ พ่อมดกริซโล และพ่อมดบาห์เรนได้ล้อมวิซาร์ดลีโอขณะที่พวกเขากำลังเตรียมร่ายคาถา

“อย่างที่ข้าพูด ต่อให้พวกเจ้ารวมตัวกันก็ไม่สามารถหยุดข้าได้!”

น้ำเสียงของพ่อมดลีโอสงบ ดวงตาแห่งความมืดบนหน้าผากของเขาเริ่มส่องแสงอย่างรุนแรง แสงสีแดงราวกับตาข่ายที่ห่อหุ้มฮอบส์และคนอื่นๆ

“ดวงตาแห่งความมืด จงลวงตา!”

เสียงเยือกเย็นของพ่อมดลีโอลดลง สีหน้าของพ่อมดฮอบส์และคนอื่น ๆ เปลี่ยนไปอย่างมากและร่างกายของพวกเขาเริ่มสั่นกลัว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด