มายาแยกเงา
“ถ้าเป็นตามที่พี่แว่นบอก ทำไมมันยังไม่ระเบิดอีกอ่ะ”
“มันต้องใช้เวลาในการกระจายพลังงานเพื่อเริ่มการระเบิดน่ะครับ ตอนนี้คุณมีเวลา 10 นาทีในการหนีออกให้ห่างจากรัศมีแรงระเบิด รีบไปเถอะครับ”
“แล้วพี่แว่นไม่ไปด้วยเหรอ ไหนชาวเมืองที่ไม่รู้อะไรอีกล่ะ” ราฟขมวดคิ้วเพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าลม
“ผมจะชดใช้ความผิดของผมที่เคยทำไว้กับคนที่ถูกผมทำร้ายภายใต้คำสั่งของตาแก่นี่ด้วยความตาย ส่วนคนอื่นๆคุณเลิกคิดที่จะช่วยเถอะครับ เพราะถึงคุณจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถช่วยคนนับล้านได้ภายใน 10 นาทีหรอกครับ” ซุนหรงกล่าวเสียงจริงจัง
“อ้อ เกือบลืมไปเลย” ชายสวมแว่นหันหน้าไปมองเทียนเฉินที่สลบอยู่ก่อนจะใช้มือแตะหน้าผากของเขา ก่อนจะนำกลับมาแล้วแบมือออกมาเกิดเป็นบอลแสง 8 ดวงลอยเข้ามือถือของเขา
“ทำอะไรอ่ะ” ราฟมองชายสวมแว่นอย่างสงสัย
‘ในเวลาแบบนี้ยังจะมีอารมณ์คิดเรื่องอื่นอยู่อีก เป็นคนที่ใจเย็นจังน้า’
“นี่ครับ หลักฐานการกระทำผิดของตระกูลเทียนทั้งหมดที่ผมรวบรวมไว้ตลอด 20 ปี รวมถึงรายชื่อคนที่อยู่ในตระกูลหลักอื่นๆที่ทำธุรกิจใต้ดินกับตระกูลเทียนด้วย อ้อ ถึงคนในตระกูลนี้จะทำเรื่องแย่ๆมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน แต่คุณหนูเทียนซูเจินที่เป็นลูกสาวของตาแก่เฉินไม่ใช่คนไม่ดี เพราะงั้นอย่าทำร้ายเธอนะครับ” ซุนหรงเอ่ยขอร้องยิ้มๆ
“คุณนี่แปลกจังนะครับ ทั้งที่แค้นคนตระกูลหลินมากขนาดนั้นแท้ๆ”
“ก็คนเรามีทั้งคนดีและคนเลวนี่ครับ ตระกูลเทียนก็เหมือนกัน แล้วผมเอ็นดูเธอเหมือนหลานสาวคนนึง โชคดีที่ตอนนี้เธอออกไปตามหาคุณที่เมืองไอรีนเลยไม่ได้รับเคราะห์จากความบ้าคลั่งของเทียนเฉิน...เราจบบทสนทนากันแค่นี้เถอะครับ เดี๋ยวเวลาหมดขึ้นมาคุณจะไม่รอดเหมือนกันนะครับ” ซุนหรงเร่งชายหนุ่มให้รีบออกไปจากตำหนักแห่งนี้ แต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มท่าทางดูไม่ทุกข์ร้อนราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ทำไมคุณถึงยังยิ้มได้อยู่ล่ะครับ!? คนเป็นล้านกำลังจะตายในเวลาไม่ถึง 10 นาทีแล้วนะครับ!”
“เอาน่าๆ อย่าพึ่งหัวร้อน เคยได้ยินคำนี้มั้ย ทุกปัญหามีทางแหกเสมอ”
“ทางออก...”
“นั่นแหละๆ เอาเป็นว่าไม่ต้องเครียด ทำใจให้สบายแล้วออกไปจากตำหนักนี่ก่อนเถอะ” ราฟเอ่ยยิ้มๆทำให้ซุนหรงอดสงสัยไม่ได้
“คุณมีแผนอะไรเหรอครับ”
“ไม่รู้จะเรียกว่าแผนได้รึเปล่า เพราะผมแค่แก้สถานการณ์เฉพาะหน้าไปน่ะ เอาล่ะ รีบไปเถอะครับ ไปรอผมอยู่นอกเขตตำหนักเฉยๆก็พอ อ้อ ระวังล้มด้วยล่ะ” ราฟฉีกยิ้มให้ซุนหรงก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนฟ้าแล้วลอยค้างอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มผมเทาก้มลงมามองด้านล่างด้วยดวงตาสีทองก่อนจะยิ้มบางๆออกมา
“โชคดีที่เขตของตำหนักสามารถใช้พลังได้ อืม...ประมาณ 5000 คนงั้นเหรอ นี่ตำหนักหรือสถานที่จัดคอนเสิร์ตวะ คนเยอะชิบ” ราฟที่เห็นจำนวนคนภายในตำหนักถึงกับเกาหัว
“แล้วจะพาพวกเขาออกไปจากตำหนักยังไงดี อืม...คิดออกแล้ว ใช้วิชาที่เรียนมาจากห้องฝึกฝนละกัน!” ราฟยิ้มกว้างก่อนจะประสานมือเป็นท่ามุทราแล้วเอ่ยออกมาว่า
“มายาแยกเงา” สิ้นเสียงของชายหนุ่ม ปรากฏเงาร่างกว่าพันสายออกมาเต็มท้องฟ้าจนทำให้ซุนหรงที่เงยหน้าขึ้นมองรู้สึกทึ่งในพลังของชายหนุ่มที่ถูกปลดปล่อยออกมา
“เขาเป็นผู้ใช้ปราณมายาด้วยอย่างงั้นเหรอ?” ซุนหรงพูดได้แค่นั้นก็นึกขึ้นได้ว่าราฟบอกให้รีบออกไป เขาจึงแบกร่างเทียนเฉินที่สลบอยู่ออกไปจากตำหนัก
ทางด้านของราฟ เมื่อเขาเรียกร่างมายาที่เป็นร่างแยกของตัวเขาออกมา ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมาว่า
“เอาล่ะสุดหล่อทั้งหลาย วันนี้พวกเราจะมากู้ภัยกัน หน้าที่ของพวกนายคือการไปขนคนในนี้ออกมาคนละ 5 คนออกไปจากเขตของตำหนักแล้วค่อยสลายตัว แล้วตูจะอธิบายทำไมวะ ก็ทุกคนคือตัวเรานี่หว่า ช่างเถอะ เริ่มได้!”
“โอ้ววว!” หลังจากเสียงรับคำของเหล่าร่างมายา ร่างนับพันก็พากันทะยานร่างออกไปรับคนที่สลบอยู่ในตำหนักออกไปจนหมด ส่วนเจ็ดขุนพลที่นอนสลบอยู่ราฟก็เป็นคนพาพวกเขาออกมาเอง
“พวกนายต้องชดใช้ความผิดก่อนถึงจะตายได้” ราฟยิ้มเย็นขณะยืนมองร่างทั้งแปดของเทียนเฉินและเจ็ดขุนพลอยู่ข้างๆซุนหรง
“หลังจากพาทุกคนออกมาจากตำหนักแล้วคุณจะทำยังไงต่อเหรอครับ” ซุนหรงถามราฟหลังจากมองร่างมายาที่ค่อยๆสลายไปหลังทำหน้าที่เสร็จเรียบร้อย
“...” ราฟไม่ตอบอะไร แต่เขากลับกระโดดขึ้นไปบนฟ้าจากนั้นก็ควบปราณวายุไว้ที่ฝ่าเท้าเพื่อทำให้กลายเป็นแท่นเหยียบ ก่อนจะดันตัวพุ่งลงมาด้วยความเร็วจนเกิดเป็นซุปเปอร์โซนิคทะลุลงพื้นดินในเขตของตำหนักที่อยู่ห่างจากพื้นที่ที่พวกซุนหรงอยู่
ตูมมม!!!
ซุนหรงที่อยู่อีกฝั่งมองหลุมที่ถูกสร้างโดยราฟเมื่อครู่ด้วยความงุนงง แต่เขาก็รู้สึกแบบนั้นได้ไม่นาน เพราะพื้นที่เขายืนอยู่จู่ๆก็เกิดการสั่นสะเทือนก่อนที่ตำหนักนภาครามจะยกตัวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
“...” ซุนหรงที่เป็นคนที่ยังมีสติอยู่คนเดียวในเมืองนี้มองเหตุการณ์ตรงหน้าตาค้าง
“นั่นเขายกตำหนักทั้งตำหนักขึ้นมาได้อย่างงั้นเหรอ!? หรือคนๆนี้จะสืบเชื้อสายมาจากพวกเทพอสูรไททันกัน?”
.
.
.
“การทำให้มันลอยได้นี่กินพลังเอาเรื่องเลยแฮะ โชคดีที่ร่างกายเราดูดปราณธรรมชาติได้โดยตรงไม่งั้นคงได้ตายเพราะฝืนใช้ปราณเกินขีดจำกัดแน่” ราฟพูดขึ้นพลางเงยหน้ามองฐานของตำหนักนภาครามที่เขาหุ้มไว้ด้วยปราณของเขาเพื่อกันไม่ให้มีอะไรมากระทบกระแสพลังงานที่ทำให้เกิดการระเบิดกลางคัน
“ทำให้ตำหนักลอยขึ้นมาได้แล้ว รีบจัดการให้จบๆดีกว่าแฮะ เอ้าฮึบ” หลังจากพูดจบ ราฟก็สร้างแท่นอากาศอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาสร้างให้มันหนากว่าเดิมหลายสิบเท่าจนเทียบเท่ากับพื้นโลก ที่เขาทำแบบนี้เป็นเพราะเขาไม่อยากให้ภูมิประเทศของเมืองนี้พังทลายไปจากการกระทำของเขา
เมื่อสร้างแท่นอากาศเสร็จแล้ว ราฟก็ย่อตัวลงเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนจากนั้นก็ดีดตัวพร้อมกับดันฐานตำหนักที่เขาใช้สองมือดันอยู่จนเกิดคลื่นกระแทกทำให้แท่นอากาศที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ซูมมม!!!