พวกนายว่าดีมั้ย?
“บอลทมิฬ”
“กรี๊ดดด”
เมฟิสโตสะบัดมือปล่อยบอลสีดำขนาดเท่าฝ่ามือออกไปโจมตีมิร่าจนระเบิดออก ทำให้เธอกระเด็นออกไปอีกทาง
“น้องสาวติดพี่” พัคแทยังที่เห็นแบบนั้นก็กระโดดเข้าไปรับตัวของหญิงสาวผมม่วงด้วยความเร็วแสง
“แค่กๆ เจ้าบ้า เรียกข้าแบบนี้อยากตายรึไง ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ ปล่อยข้า...”
“มิร่าเจ้าเป็นอะไรมะ...ลงมาจากพัคน้อยเดี๋ยวนี้นะ!” ไป๋เสวี่ยฉีพูดเสียงแข็ง
“เอ๋ กรี้ดดด นี่พี่หญิงหึงข้าใช้มั้ย คิกๆ เป็นครั้งแรกที่พี่หึงข้าเลยนะ ข้าอยากสัมผัสเวลานี้ไปนานๆเลย เพราะงั้นเจ้าชาย ท่านช่วยอุ้มข้าอย่างนี้ไปนานๆนะ...อะ โอ๊ยๆๆ อย่าดึงแก้มข้าซี่ มันช้ำขึ้นมาเดี๋ยวข้าก็เอาไปถูหน้าอกของท่านไม่ได้หรอก โอ๊ย! ก็ได้ๆ ไม่พูดแล้วววว” มิร่าพูดเสียงหลงขณะกุมแก้ม มองมิร่าที่หันไปตรวจดูร่างกายของพัคแทยังด้วยความอิจฉา
“หนอยยย กล้าดียังไงมาแย่งความรักของพี่หญิงไปจากข้า...เจ้ามันศัตรูหัวใจ!”
“...” เมฟิสโตมองอึ้งๆ พวกนี้มันปัญญาอ่อนหรือเปล่า สู้กันอยู่แท้ๆดันพูดเล่นกันอีก
“พวกเจ้าจะเล่นตลกก็กลับไปเลย” แบคคัสกรอกตาอย่างเอือมระอา
“ฮี่ๆ พวกเจ้านี้ตลกดีนะ แต่ข้าเบื่อที่จะเล่นด้วยแล้ว ดังนั้นหายไปซะให้หมด!” เมฟิสโตมองพวกพัคแทยังราวกับมองคนที่ตายไปแล้ว
“ตรึงโลหิต” ชายเผ่ามารกางมือข้างซ้ายไปข้างหน้า
“อึก”
“อั่ก”
“โอ๊ย”
“...”
“ทำไมขยับไม่ได้” มิร่าขมวดคิ้ว
“วิชาระดับสูงของเผ่ามารโลหิตที่ทำให้พวกมันกลายเป็นหนึ่งในเผ่ามารระดับสูง มันสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูที่มีระดับพลังน้อยกว่าตนได้นานเท่าที่ปราณของมันยังมีอยู่ วิชานี้เป็นวิชาลับของจักรพรรดิโลหิต แต่ไม่คิดว่าเขาถ่ายทอดให้กับเจ้านี่ด้วย สงครามครั้งก่อนมันยังทำได้แค่เปลี่ยนรูปร่างเป็นโลหิตเฉยๆเอง” ไป๋เสวี่ยฉีกัดฟัน
“กรอดดด” แบคคัสเร่งปราณแห่งชีวิตเต็มที่จนสามารถหลุดออกมาจากการควบคุมของเมฟิสโตได้
“ชิ อย่างที่คิด อาชาโลหิตสามารถต้านทานผลของวิชานี้ได้ แต่แล้วยังไง หากเจ้าไม่สามารถโจมตีข้าได้มันก็ไร้ประโยชน์ รอข้าตัดหัวเจ้าก่อนแล้วค่อยจัดการคนที่เหลืออย่างช้าๆ...”
“อ้า เพียงแค่นึกถึงเสียงร้องโหยหวนของพวกเจ้ายามทรมานก็ทำให้ข้ารู้สึกรัญจวนใจแล้ว ฮี่ๆ” เมฟิสโตยิ้มอย่างมีความสุขขณะลอยสูงขึ้นไปบนฟ้าจนแบคคัสไม่สามารถโจมตีได้
“ไอ้โรคจิตเอ๊ย...เสาพฤกษา!.” แบคคัสคำราม เขากางมือทั้งสองข้างออกก่อนจะชู้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้ต้นสนรอบด้านยืดออกแล้วรวมตัวกันเป็นแท่นไม้ยืดยาวขึ้นไปบนฟ้าจนสามารถยืดมือออกไปโจมตีใส่เมฟิสโตได้อีกครั้ง
“น่ารำคาญจริงๆ แต่ยังไงพลังที่เจ้าใช้ออกมายังไม่ถึงเสี้ยวของจักรพรรดิอาชาพฤกษาเมื่อครั้งสงครามเทพอสูรเลย แค่กระตุ้นปราณแห่งชีวิตเพื่อดูดกลืนปราณโลหิตที่เข้าไปในร่างเจ้ายังไม่รู้เลย คงไม่มีใครสอน...อ้อ ลืมไป คนทำเป็นตายหมดแล้วนี่นะ ก๊ากๆๆ...” เมฟิสโตแสยะยิ้ม
“หมดเวลาสนุกแล้ว อาชาพฤกษา จงสยบ! วิชาบงการโลหิต...ปั่นป่วนภายใน!”
สิ้นเสียงของเมฟิสโต แบคคัสก็ร้องออกมาเสียงดัง เข้ารู้สึกว่าเลือดในกายของเขาไหลเวียนผิดเพี้ยนไปหมด เขารู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะหมดสติ นี่เขาจะต้องมาตายอย่างนี้งั้นเหรอ เขายังไม่ได้เล่นเกมที่ฝากสาวนักดาบซื้อเลยนะ แบคคัสไม่เคยรู้สึกกลัวความตาย แต่เขากลัวที่จะต้องจากมากิจังไปมากกว่า
“ฮี่ๆ อาชาพฤกษา เผ่าพันธุ์ที่พวกข้าเคยหวาดกลัว จงสิ้นไปซะ!” เมฟิสโตหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาขยับมือเตรียมเร่งความเร็วปั่นป่วนการไหลเวียนในร่างของชายผมเขียวจนมันระเบิดออกมา
“เน่ๆ ฉันขอให้พวกนายไปเอาเนื้อช้างมาไม่ใช่เหรอ ทำไมฉันยังเห็นมันนอนแห้งตายอยู่ตรงนั้นล่ะ ให้ตายสิ แค่ฉันหันไปจัดการแยกร่างของยัยมารนี่กับสาวผมแดงแล้วก็งีบไปแปปเดียว พวกนายก็อยู่ในสภาพนี้แล้วเหรอ เห้อ กะว่าถ้าตื่นขึ้นจะได้กินรสชาติคล้ายผัดเผ็ดหมูป่าแท้ๆ” เสียงเฉิ่อยชาของชายหนุ่มดังขึ้นห่างจากเมฟิสโตไม่ไกล
เมื่อชายเผ่ามารหันไปก็พบกับชายหนุ่มผมเทาหน้าตาดูง่วงนอนคนหนึ่งกำลังยืนหาวและมองพวกพัคแทยังอยู่
“เจ้าเป็นใคร” เมฟิสโตเอ่ยเสียงเครียด เขาไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ของชายตรงหน้าเลย ต่อให้เป็นอสูรระดับจักรพรรดิหรือผู้ใช้พลังระดับ SSS มาเองเขายังสามารถสัมผัสได้ด้วยซ้ำถ้าพวกเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญวิชาซ่อนตัวระดับสูงสุด
แต่กับคนๆนี้ เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนกับกำลังจ้องมองความว่างเปล่าอยู่ คล้ายกับเขาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอย่างไรอย่างนั้น
“อ๊ะ นี่นายโอตาคุ ทำไมนายถึงตาเหลือกแบบนั้นล่ะ อ้อ เป็นเพราะเจ้านี่งั้นเหรอ?” ราฟมองสายสีแดงที่ถูกเชื่อมไปที่คนทั้งสี่ แต่แบคคัสกลับมีเส้นสีแดงหลายเส้น เมื่อเขาแตะไปที่เส้นสีแดงที่ออกมาจากมือของเมฟิสโต การควบคุมของชายเผ่ามารที่มีต่อพวกพัคแทยังก็หายไป ทั้งสี่คนล้มลงไปนอนกับพื้นทันที
“อั่ก” เมฟิสโตที่ถูกทำลายการควบคุมกระอั่กเลือดออกมาอย่างเจ็บปวด ผลของการที่วิชาถูกทำลายคือความเสียหายที่อีกฝ่ายได้รับจะย้อนกลับมาสู่ตน
เมฟิสโตมองราฟอย่างโกรธแค้น
“เจ้าคนสารเลว เจ้าทำอะไร? ทำไมวิชาของข้าถึงถูกทำลาย”
“อื๋อ วิชา? อ้อ...” ราฟเข้าใจแล้วว่าทำไมอยู่ๆเจ้าหมอนี่ถึงกระอั่กเลือดออกมา ส่งสัยเส้นสีแดงนี่จะเป็นปราณที่ออกมาจากเจ้าตัวสินะ ตั้งแต่ที่เขาดูดซับพลังจากแร่ซูพริลมาเขาก็เห็นปราณธรรมชาติรูปแบบต่างๆชัดมากขึ้น จากที่ลางๆก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
‘แต่ถึงจะรู้สาเหตุว่าเราทำแบบนี้ได้ยังไงเราก็ไม่คิดจะเผยไต๋ให้มันรู้หรอกนะ หุๆ’ ราฟคิดในใจยิ้มๆ
‘แต่ก่อนหน้านั้น’ ราฟหันไปมองสภาพของพวกพัคแทยัง ก่อนจะกวาดตามองศพของผู้เข้าแข่งขันที่ถูกตัดหัวหลายสิบชีวิต รวมทั้งชายหน้าสวยและชายหน้ายิ้มที่กำลังแอบดูพวกเขาอยู่อย่างเงียบๆ
“คนที่ตายไป...ฝีมือแกทั้งหมดเลยสินะ” ราฟเปลี่ยนจากใบหน้าขี้เล่นเป็นใบหน้าที่แสนเย็นชา
“ถ้าใช่แล้วจะทำไ...”
เป๊าะ!
ตูมมม!
ฉูดดด!
เสียงดีดนิ้วของราฟดังขึ้นพร้อมกับร่างของเมฟิสโตที่ระเบิดออกไปจนแตกกระจายเป็นฝนเลือด
“เป็นวิชาที่สะดวกดีแฮะ...ปั่นป่วนโลหิตงั้นเหรอ ชื่อเชยจัง ขอตั้งให้ใหม่เป็นพิรุณโลหิตละกันเนอะ เพราะเวลาใช้ผลของมันคล้ายกับฝนเลย นายว่าดีมั้ย? พัคแทยัง ทั้งสามคนด้วย พวกเธอว่าไง?” ราฟหันไปถามเพื่อนสนิทของเขาและอสูรทั้งสาม
“พะ เพราะมากๆเลยค่ะ”ไป๋เสวี่ยฉีตอบเสียงสั่น
“คะ ความหมายดีมากค่า” มิร่าพูดเสียงดังทั้งๆที่ตัวสั่นสุดๆ
“ยะ ยกนิ้วให้เลย ให้รู้กันไปว่ามันเยี่ยมยอด เวรี่กู้ดดด” แบคคัสยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้ราฟ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากยกนิ้วเท้าให้อยู่ แต่ขาเจ้ากรรมดันสั่นไม่ยอมหยุดเลยเนี่ยสิ
“เอ่อ ก็เพราะดี ฮะๆ” พัคแทยังยิ้มแห้งๆ เมื่อเขามองไปยังสามคนที่เหลือกับพบว่าพวกเขาขยับมากอดคอกันแน่นมองราฟด้วยความอกสั่นขวัญหาย
“อะชึบๆ” ราฟพูดพลางเดินไปยกร่างของคชสารโลหิตขึ้นมา
“ได้ยินว่าพวกนายฟื้นตัวเร็วนี้ งั้นพวกนายรักษาตัวเสร็จแล้วก็ตามมากินข้าวด้วยกันล่ะฉันไปก่อนนะ” ราฟพูดยิ้มๆก่อนจะหายไปทั้งคนทั้งช้าง
“เทเลพอร์ตล่ะ”
“ไม่ใช้แหวนด้วย”
“สัตว์ประหลาด”
“...” พัคแทยัง