WS บทที่ 223 ภาพมายา
เมอร์ลินเพิ่งเข้าไปในช่องว่างทมิฬ ทันใดนั้นเอง โครงสร้างเวทมนต์หมอกรัตติกาลกับเขตแดนแสงดำในจิตใต้สำนึกของเขาได้ทำงานและสูบพลังธาตุมืดอย่างหนักหน่วง ราวกับว่ามีธาตุมืดจำนวนนับไม่ถ้วนรุมล้อมเขา ความเร็วในการดูดซับของพวกมันเร็วกว่าการใช้หินธาตุมืดเพิ่มพลังเวทย์เสียอีก
เมอร์ลินยังคงพยายามทำความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างภายในช่องว่างทมิฬ พ่อมดลีโอวางแผนจะให้เขาทำอะไรกับพื้นที่ที่อุดมไปด้วยพลังงานธาตุมืดเช่นนี้และตัวเขานั้นจะพัฒนาไปไกลแค่ไหนหลังจากออกจากที่นี่ เรื่องพวกนี้เขาไม่รู้อะไรเลย
อย่างไรก็ตาม วงแหวนเวทย์ขนาดมหึมาในดินแดนมนต์ดำกับช่องว่างทมิฬในหอคอยอเวจี สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพลังของจอมเวทย์นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าสามัญสำนึกของเขาจะจินตนาการถึงได้
สถานที่แห่งนี้นอกจากธาตุมืดที่ล้อมรอบเมอร์ลินแล้ว เขายังรู้สึกว่าแสงสว่างรอบตัวเขาเริ่มจางลง ราวกับพื้นที่รอบๆ ตัวเขากำลังพังทลายลง เขาจมลงไปในพื้นที่แปลก ๆ นี้อย่างสมบูรณ์
“อะไรนะ…เกิดอะไรขึ้น พื้นที่ยุบหรือเปล่า เป็นไปไม่ได้หรือนี่อาจจะเป็นภาพลวงตา?”
เมอร์ลินรู้ทันทีว่าเขาอยู่ในความมืดมิด เมื่อเขาเข้าไปแล้ว เขาอยู่ภายใต้ภาพลวงตาอันทรงพลังและไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากมันได้
มันอาจจะอันตรายมากเมื่อมีคนอยู่ภายใต้ภาพลวงตา นักเวทย์หลายคนถูกจับได้โดยภาพลวงตาและไม่สามารถหลบหนีได้
เมอร์ลินไม่รีบร้อน เขาได้รับศิลาแห่งการรู้แจ้งมาจากพ่อมดลีโอแล้ว ถ้าเขาเอาหินออกมา มันจะทำลายภาพลวงตาทันที อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินยังไม่ต้องการทำลายมันแต่เขาหลับตาแน่นและพยายามทำความคุ้นเคยกับภาพลวงตาอย่างระมัดระวัง
บริเวณใกล้เคียงของพื้นที่ได้พังทลายลงอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา มีเพียงผืนดินเล็กๆ ที่เหลืออยู่ เมอร์ลินมองไปรอบ ๆ และตรวจสอบทุกสิ่งที่เขาเห็นด้วยพลังจิตแต่ไม่พบอะไรผิดปกติ มันให้ความรู้สึกเหมือนจริงอย่างที่ไม่สามารถแยกออกได้
เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะประทับใจกับภาพลวงตาที่สมจริงเช่นนี้ “ภาพมายาที่เหมือนจริงเช่นนี้ต้องมาจากการทำงานหนักของจอมเวทย์ นี่ขนาดผ่านมาหลายปีแล้วและภาพลวงตานี้ยังคงทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ มันน่าทึ่งมาก!”
เมอร์ลินค่อยๆ เอื้อมมือออกไปในพื้นที่ที่ทรุดตัวรอบตัวเขา จากนั้น เขาก็รู้สึกเจ็บที่แขนอย่างแรง ขณะที่เขาจ้องไปที่แขนที่ยื่นออกมาและสังเกตว่ามันหายไปอย่างสิ้นเชิง
ความเจ็บปวดนั้นให้ความรู้สึกเหมือนจริงมากและแม้ว่าเมอร์ลินจะรู้ว่ามันเป็นภาพลวงตา เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“ฟู่!”
เมอร์ลินไม่ลังเลอีกต่อไปและหยิบศิลาแห่งการรู้แจ้งออกมา ทันทีที่เขานำหินออกมา มันได้ปล่อยกลิ่นอายแปลกๆ ออกมาขณะที่มันทำให้จิตใจของเมอร์ลินสงบ ทันใดนั้นเอง ภาพมายารอบ ๆ ตัวเขาหายไปและเมอร์ลินก็ยืนอยู่ในถ้ำที่เย็นและแห้ง
“มันเป็นแค่ภาพลวงตา!”
เมอร์ลินมองไปที่ศิลาแห่งการรู้แจ้งในมือของเขาและไม่ต้องกังวลว่าจะตกไปอยู่ในภาพลวงตาตราบใดเท่าที่เขาครอบครองมัน
เมอร์ลินนั่งอยู่ตรงมุมถ้ำและเปิดใช้งานเดอะเมทริกซ์
“เดอะเมทริกซ์ นำวิธีฝึกฝนดวงใจแห่งความมืดออกมา!”
เมอร์ลินได้เก็บวิธีการฝึกฝนดวงใจแห่งความมืดเอาไว้ในเดอะเมทริกซ์ ดังนั้นมันจึงง่ายกว่าที่จะดึงมันออกมาเมื่อใดก็ตามที่เขาพร้อมที่จะฝึกฝน
“ดวงใจแห่งความมืด เป็นความสามารถที่เพิ่มความแข็งแกร่งของเวทมนตร์ธาตุมืดและยังเพิ่มความต้านทานต่อเวทมนตร์ธาตุมืดได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ร่วมกับคาถาระดับสี่หรือสูงกว่าเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของคาถา มันจะทำให้ตัวคาถามีพลังอันน่าเหลือเชื่อ!”
นี่เป็นเพียงการแนะนำสั้น ๆ ของดวงใจแห่งความมืดและเหมือนกับที่พ่อมดลีโอได้อธิบายไว้ ดวงใจแห่งความมืดเป็นความสามารถสนับสนุนของพลังปีศาจแพนดอร่าและความสามารถที่แท้จริงของมันจะถูกเปิดเผยอย่างช้า ๆ เมื่อเมอร์ลินเริ่มสร้างคาถาระดับสี่
เมอร์ลินอ่านเพิ่มเติมในส่วนถัดไป มันมีคำอธิบายเชิงลึกของดวงใจแห่งความมืดเขียนเอาไว้
“ดวงใจแห่งความมืด แบ่งออกได้เป็น สามรูปแบบ รูปแบบที่หนึ่งจะเพิ่มพลังเวทย์ธาตุมืดได้เล็กน้อย แต่หากรวมกับคาถาระดับสี่ขึ้นไป พลังของคาถาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
รูปแบบที่สองสามารถเพิ่มพลังของเวทมนตร์ธาตุมืดได้อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับคาถาระดับสี่แล้ว พลังของคาถาระดับสี่ขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นสามเท่า!
รูปแบบที่สาม เป็นรูปแบบสูงสุดของดวงใจแห่งความมืด นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มพลังของเวทย์ธาตุมืดได้อย่างมาก เมื่อรวมกับคาถาระดับสี่แล้ว จะสามารถเพิ่มพลังของคาถาระดับสี่ขึ้นได้มากถึงสิบเท่า!”
เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ความแตกต่างระหว่างดวงใจแห่งความมืดแต่ละรูปแบบนั้นยิ่งใหญ่มากและสามารถใช้ร่วมกับคาถาระดับสี่เพื่อเพิ่มพลังของคาถา
ดวงใจแห่งความมืดรูปแบบแรกนั้นอ่อนแอที่สุดสามารถเพิ่มพลังได้เพียงสองเท่าและต้องเป็นคาถาระดับสี่ขึ้นไป ดังนั้นมันคงไม่เพิ่มพลังของหมอกรัตติกาลกับเขตแดแสงดำ อย่างไรก็ตาม ถ้าเขารอที่จะรวมมันเข้ากับคาถาระดับสี่ เขาสามารถเพิ่มพลังของคาถาได้อย่างมาก นี่คือบทบาทหลักของดวงใจแห่งความมืด
“ช่างน่าประทับใจเสียนี่กระไร อุปกรณ์เวทมนต์ส่วนใหญ่สามารถเพิ่มพลังของคาถาได้แต่ดวงใจแห่งความมืดก็สามารถทำได้เช่นกันแถมยังดีกว่าด้วย หากฉันสามารถฝึกฝนได้ถึงรูปแบบที่สองหรือสามสำเจ มันคงจะทำให้อุปกรณ์เวทมนต์พรรค์นั้นเป็นของไร้ค่าไปเลย!”
ด้วยพลังดังกล่าว เขาจึงไม่แปลกใจเลยที่หอคอยอเวจีเคยทรงพลังมากจนกลายเป็นหนึ่งในองค์กรที่ใหญ่ที่สุด ด้วยพลังของดวงใจแห่งความมืดซึ่งเหล่านักเวทย์ของหอคอยอเวจีในตอนนั้นต่างฝึกฝนดวงใจแห่งความมืดกันทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีศิลาแห่งการรู้แจ้งในหอคอยอเวจีดังนั้นจึงไม่มีทางที่นักเวทย์จำนวนมากจะฝึกฝนดวงใจแห่งความมืดได้อย่างเต็มที่
ศิลาแห่งการรู้แจ้งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการฝึกฝนดวงใจแห่งความมืด เมื่อเมอร์ลินได้อ่านวิธีการฝึกฝน เขาก็เข้าใจได้ในทันที
เพื่อปลูกฝังดวงใจแห่งความมืด เขาจะต้องสลักสัญลักษณ์ลึกลับบนร่างกายของเขาแบบเดียวกับที่เขาเคยทำในตอนที่ฝึกฝนดัชนีเยือกแข็งกับเพลิงวินาศ
เมื่อสัญลักษณ์ลึกลับถูกสลักไว้ มันจะสร้างพลังธาตุมืดที่แปลกประหลาดซึ่งจะทำให้ตัวของนักเวทย์ประสบกับภาพลวงตาที่ไม่สิ้นสุด
ดังนั้นใครก็ตามสามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อทำลายภาพลวงตาเพื่อควบคุมสัญลักษณ์ลึกลับได้ พวกเขาก็จะสามารถฝึกฝนมันต่อได้อย่างเต็มที่
เมอร์ลินเข้าใจวิธีการฝึกฝนดวงใจแห่งความมืดได้อย่างอย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึงสลักสัญลักษณ์ลึกลับและทะลวงผ่านภาพลวงตา
ถ้าหากเขาล้มเหลว เขาจะหลงทางในภาพลวงตาที่ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดไปและนี่ก็ไม่ต่างจากความตาย
ดวงใจแห่งความมืดแต่ละรูปแบบจะสอดคล้องกับสัญลักษณ์ลึกลับสามอย่างและภาพลวงตาแต่ละอันจะแตกต่างกัน สัญลักษณ์ของรูปแบบที่สองและสามย่อมสร้างภาพลวงตาที่แข็งแกร่งกว่าครั้งแรกอย่างแน่นอน
ดังนั้นผู้ที่ไม่มีความสามารถจึงไม่เลือกรูปแบบที่สองหรือสามของดวงใจแห่งความมืด
“พึ่งพาความแข็งแกร่งของคุณเองเพื่อทำลายภาพลวงตา…ศิลาแห่งการรู้แจ้งและช่องว่างทมิฬถูกใช้เพื่อสัมผัสภาพลวงตาอย่างช้า ๆ เมื่ออยู่ในช่องว่างทมิฒ คุณไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในภาพลวงตา”
เมอร์ลินกระซิบขณะที่เขาตระหนักถึงความสำคัญของศิลาแห่งการรู้แจ้งและช่องว่างทมิฬ เนื่องจากช่องว่างทมิฬอนุญาตให้นักเวทย์สัมผัสกับภาพลวงตาต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม เมื่อพ่ายแพ้และไม่มีทางออกใด ๆ ก็ย่อมไม่สามารถบรรลุผลตามที่ต้องการได้ นี่คือช่วงเวลาที่ใช้ศิลาแห่งการรู้แจ้งเพื่อปลดปล่อยนักเวทย์จากภาพลวงตา จากนั้นเขาจะออกไปสะสมประสบการณ์และฝึกฝนต่อไปอีกครั้ง
สิ่งนี้จะช่วยให้นักเวทย์คุ้นเคยกับภาพลวงตามากขึ้นและเมื่อถึงเวลาที่จะฝึกฝนดวงใจแห่งความมืด นักเวทย์จะไม่กลัวภาพลวงตา
เมอร์ลินวิเคราะห์บทบาทของช่องว่างทมิฬและศิลาแห่งการรู้แจ้งและตัดสินใจว่าเขาไม่เร่งรีบที่จะฝึกฝนดวงใจแห่งความมืดในตอนนี้ แต่เขาต้องการสัมผัสประสบการณ์ภาพลวงตาในช่องว่างทมิฬเสียก่อน
เมอร์ลินเก็บศิลาแห่งการรู้แจ้งและบริเวณโดยรอบก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหลุมลึก เขาถูกห้อมล้อมด้วยความมืดดำสนิทและตอนนี้เมอร์ลินอยู่ริมผาซึ่งมันดูสูงชันและน่าหวาดหวั่นมาก
เมอร์ลินรู้ว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตาแต่เมื่อเขามองดูก้นบึ้งใต้เขา เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
เมอร์ลินตัดสินกระโดดลงไปในเหวและหยิบศิลาแห่งการรู้แจ้งออกมาทันทีและฟื้นคืนสติ คราวนี้เขาไม่สามารถพึ่งพากำลังของตัวเองเพื่อเอาชนะภาพลวงตาได้
“ถึงฉันจะรู้ว่าทุกอย่างเป็นของปลอมแต่ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก มันอดไม่ได้ที่จะกลัวภาพลวงตา ช่างน่าประทับใจจริง ๆ!” เมอร์ลินกระซิบแต่เขายังคงมุ่งมั่นที่จะสัมผัสภาพลวงตาต่อไป
ครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้ง… มอร์ลินไม่แน่ใจว่าเขาพยายามเผชิญหน้ากับภาพลวงตามากี่ครั้งแล้ว แต่ละครั้ง เมอร์ลินจมดิ่งลงไปในฉากอันน่าสยดสยองต่าง ๆ
เขาได้ลองใช้ความคิดต่างๆ เช่น กรีดร้อง อยู่เงียบๆ ร่ายคาถา เปลี่ยนพลังความคิดของเขาและอื่นๆ อย่างไรก็ตาม มันไม่มีประโยชน์เพราะเขายังคงไม่สามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อฝ่าฟันภาพลวงตาได้
“ฉันจะทำลายภาพลวงตาได้อย่างไร มันไม่ได้ที่จะใช้พลังเวทย์มนตร์หรือแม้แต่พลังจิต พลังกายภพก็ไม่มีผลกับภาพลวงตาด้วย”
เมอร์ลินคิดหนักถึงวิธีที่จะฝ่าฟันภาพลวงตา เขาไม่สามารถคิดหาวิธีใด ๆ ที่เป็นไปได้และด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจลองฝึกฝนดวงใจแห่งความมืดแต่ก็ล้มเหลว
นี่เป็นครั้งแรกที่เมอร์ลินตระหนักว่าการเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังนั้น แค่พึ่งพาเดอะเมทริกซ์นั้นไม่เพียงพอ สิ่งที่เขาขาดนั้นเป็นมากกว่าคาถา อันที่จริงสิ่งที่เขาต้องการคือศรัทธาอันแรงกล้าที่นักเวทย์ที่แท้จริงจะมี!
“ศรัทธา ใช่ สิ่งที่ฉันขาดคือศรัทธา ฉันยังสามารถเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเดอะเมทริกซ์ได้ ตราบใดที่ฉันมีศรัทธา…”
ดวงตาของเมอร์ลินเป็นประกายเมื่อเขาพบวิธีที่จะทำลายภาพลวงตาได้ในที่สุด