เรื่องนี้ฉันจะไม่ยุ่ง
‘ทำไมเจ้าคนสติเฟื่องนั่นถึงพาสัตว์ประหลาดแบบนี้เข้ามาได้นะ’ หญิงสาวคิด ด้วยความที่เธฮเป็นอสูรเทวะ ทำให้เธอสัมผัสถึงอันตรายได้ดีกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นหลายเท่า
และในตอนนี้สัญชาตญานของเธอกำลังกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งว่า
‘หนีไป!’
สิ่งที่ทำให้เธอยังยืนอยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหนนั้นคือศักดิ์ศรีของพยัคฆ์ทิวา และพัคแทยังที่ดูเหมือนจะเป็นสหายกับสัตว์ประหลาดตนนี้
“นี่คนสวย ทำไมต้องตัวสั่นแบบนั้นล่ะ ฉันไม่กินเธอหรอกน่า” ราฟฉีกยิ้มกว้างแสดงความเป็นมิตร
“กะ กิน!?” ไป๋เสวี่ยฉีสติหลุดไปแล้วหลังจากได้ยินที่ชายหนุ่มพูด แต่สิ่งที่ดึงสติเธอกลับมาก็คือลูกเลี้ยงของเธอ
“เจ้าคนไร้มารยาท อยู่ต่อหน้าท่านแม่ของข้าที่เป็นถึงอสูรชั้นเทวะ พยัคฆ์ทิวา บ๊ะ! ได้ยินเช่นนี้แล้วเจ้ายังไม่ก้มหัวอีก? นอกจากนายท่านแล้วมนุษย์คนอื่นไม่มีสิทธิ์แม้แต่จ้องตา! คอยดูเถอะ ท่านแม่ข้าจะจัดการภายในหนึ่งฝ่ามือ!” โมจิหรือไป๋ลู่ก้าวเท้าสั้นๆออกมาเผชิญหน้ากับราฟด้วยสีหน้ามั่นใจ
“ขะ ขออภัยในความไร้มารยาทของเจ้าเด็กนี่ด้วยค่ะ” ไป๋เสวี่ยฉีที่ได้ยินสิ่งที่โมจืพูดก็หันไปเขกหัวลูกเลี้ยงของเธอทันที
โป๊ก
“โอ๊ย ทำไมท่านถึงเขกหัวข้าล่ะท่านแม่ วันนี้หลายรอบแล้วนะ ถ้าข้าปัญญาอ่อนขึ้นมาใครจะมาแต่งงานกับข้ากัน...”
“เงียบซะ ถ้าไม่อยากตายก็ใช้สัมผัสเทวะที่ข้าสอนเร็วเข้า” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“เง่ะ ทำไมข้าต้องทำ...ก็ได้” เมื่อเห็นสายตาพิฆาตของหญิงสาว เด็กชายก็เลือกที่จะทำตาม
เมื่อเด็กชายมองไปที่ตัวของราฟด้วยสัมผัสเทวะ
“กรี๊ดดด” โมจิแหกปากดังลั่นจนราฟที่หูดีต้องรีบเอามือปิดหู
“ปะ ปีศาจจจ! อย่ากินข้าเลย ข้ากลัวแล้ว ข้าสัญญาว่าจะไม่หนีเที่ยว ไม่แกล้งใคร ดังนั้นได้โปรดอย่าจับข้ากินเลย ฮือ...” เด็กชายรีบวิ่งไปหลบที่หลังของหญิงสาวด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าเด็กนี่...ว่าใครเป็นปีศาจฟะ” ราฟกลอกตาก่อนจะหันไปมองอสูรทั้งสอง
“เป็นอสูรเทวะเหรอ แถมยังอยู่ในร่างมนุษย์ด้วย? ถ้าเอาตัวไปส่งสมาคมผู้พิทักษ์คงได้เงินเยอะสินะ” ชายหนุ่มผมเทาเอามือกุมคางก่อนจะยิ้มบางๆขณะมองหน้าหญิงสาวและเด็กชาย
“ขะ ขอร้องล่ะค่ะ ถ้าท่านจะสังหาร ได้โปรดสังหารแค่ข้า แล้วปล่อยเด็กคนนี้ไป”
“ทะ ท่านแม่”
ราฟมองท่าทางของสองแม่ลูกตรงหน้าด้วยความเหนื่อยใจ เขาแค่แกล้งนิดแกล้งหน่อยถึงกับคิดว่าเขาจะฆ่าพวกเธอเลยรึไง
“เห้อ เลิกทำแบบนั้นเถอะ จับกินบ้างล่ะ สังหารบ้างล่ะ คิดว่าฉันเป็นยักษ์เป็นมารรึไง เมื่อกี้ฉันแค่ล้อเล่นน่า” ราฟผายมือกว้างแสดงท่าทางเป็นมิตรอีกครั้ง แต่ดูเหมือนสองแม่ลูกจะยังไม่เชื่อและยังคงก้มหัวอยู่แบบนั้น
“...” ราฟที่เห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปหาพัคแทยังที่หญิงสาวอุ้มอยู่
“พัคแทยัง ตื่นๆๆ” ราฟเอามือตบหน้าเพื่อนของเขาเบาๆ
ไป๋เสวี่ยฉีที่เห็นแบบนั้นก็อยากปัดมือของชายหนุ่มออกไปจากใบหน้าองค์ชายของเธอ แต่มือเจ้ากรรมดันไม่ยอมขยับนี่สิ หญิงสาวได้แต่เพียงมองอสูรกายในร่างมนุษย์ตบหน้าองค์ชายของเธอต่อไปด้วยใจที่บอบช้ำ
“ไม่ตื่นแฮะ” ราฟขมวดคิ้ว ก่อนจะทำนิ้วเป็นรูปดัชนีจี้ไปที่หน้าผากของเพื่อนเขาแล้วใช้ออกด้วยปราณสุริยันอ่อนๆ
“อึก...นะ หน้าอก” ชายหนุ่มตาทองพึมพำออกมาก่อนจะลืมตาขึ้นมาเห็นเพื่อนของเขากำลังฉีกยิ้มกว้างมองเขาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“ราฟ? นายมาได้ยังไง” พัคแทยังถามด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ ไม่ต้องสนหรอกว่าฉันมาได้ยังไง มาคุยกันเรื่องที่นายพูดเมื่อกี้กันดีกว่า ฉันได้ยินมันว่าหน้าอกด้วยแหละ ฮี่ๆ” ราฟพูดยิ้มๆ
“...” พัคแทยังพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะรู้สึกตัวว่าตัวของเขาอยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาวอยู่
ชายหนุ่มหน้าแดงทันที ก่อนจะรีบลุกออกมายืนด้วยขาของตัวเอง
“เอ่อ ขอโทษครับพี่ไป๋” พัคแทยังพูดด้วยความเขินอาย
“มะ ไม่เป็นไร” ไป๋เสวี่ยฉีพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก ผิดกับที่ชายหนุ่มเคยรู้จัก ชายหนุ่มเป็นคนที่ความรู้สึกไวทำให้เขารู้ว่าเธอหวาดกลัวบางอย่าง เมื่อมองไปตามสายตาของเธอ เขาก็พบว่าเธอกำลังมองเพื่อนของเขาอยู่
ชายหนุ่มตาทองถอนหายใจก่อนจะพูดกับราฟว่า
“นายช่วยเก็บกลิ่นอายของนายหน่อยได้มั้ย แบบว่าพยั...พี่ไป๋เค้าเป็นพวกสัญชาตญานดีน่ะ”
“อ้อ ลืมไปเลย สัตว์เทวะสามารถสัมผัสอันตรายได้นี่เนอะ โทษทีนะพี่สาวคนสวย ก่อนหน้านี้ฉันต้องใช้มันล่ออสูรมากินน่ะ แหะๆ” ราฟพยักหน้าก่อนจะหันไปขอโทษหญิงสาว
“กะ กิน!?” อสูรเทวะทั้งสองในตอนนี้ดูเหมือนสติจะหลุดออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“นายรู้เหรอว่าพี่ไป๋เป็นอสูร”
“ก็นะ เจ้าเด็กที่กำลังตัวสั่นเป็นเจ้าเข้านั่นเป็นคนบอกเอง”
“อ้อ” พัคแทยังหันไปมองเพื่อนตัวน้อยของเขาแล้วลูบหัวเด็กชายเบาๆ
“นายท่าน สหายของนายท่านผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก ข้ากลัวเขาจะจับข้ากินอ่ะขอรับ...”
“ไม่ต้องกลัวหรอก ราฟเขาเป็นคนดีนะ”
“ขะ ข้าจะพยายามเชื่อนายท่านขอรับ”
หลังจากที่ไป๋เสวี่ยฉีได้ยินในสิ่งที่ราฟเอ่ย เธอก็รีบพูดออกมา
“มะ ไม่ต้องใส่ใจพวกข้าหรอกค่ะ...แต่ถ้าทำได้จะดีมาก เพื่อนขององค์ชายน่ากลัวชะมัด” ประโยคหลังหญิงสาวบ่นกับตัวเอง แต่คนหูผีอย่างราฟมีหรือจะไม่ได้ยิน เขายิ้มแห้งๆ จากนั้นเขาก็ใช้วิชาซ่อนปราณขั้นสูงสุด ‘ไร้ตัวตน’ ทันที
หลังจากที่ราฟใช้มัน กลิ่นอายของเขาก็หายไปเหมือนกับว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่
“ไร้ตัวตน...นายฝึกมันถึงขั้นนี้แล้วงั้นเหรอ สุดยอดไปเลย” พัคแทยังชมออกมา
“ก็นะ” ราฟยักไหล่
“นายท่านนน” เมื่อเห็นว่ามีช่องให้เข้ามาแทรก เฟยฮวาก็พุ่งเข้ามากอดแขนราฟทันที
“ราฟ ผู้หญิงคนนี้คือ?” พัคแทยังถามด้วยความสงสัย
“ฉันคือหญิงสาวผู้มีสายเลือดมังกรและเป็นภรรยาในอนาคตของนายท่านค่ะ!”
“ภะ ภรรยา?” พัคแทยังเบิกตากว้างก่อนจะถามราฟว่า
“แล้วเรเชลล่ะ”
“หา พูดเรื่องอะไรอ่ะ ยัยนั่นทำไมเหรอ” ราฟเอียงหัวถามด้วยความสงสัย
“เห้อ ช่างเถอะ เรื่องนี้ฉันจะไม่ยุ่ง” ชายหนุ่มตาทองยิ้มแห้งๆ
“...”
“ทำความรู้จักกันเสร็จแล้วใช่มั้ย ไอ้เจ้าเด็กบ้าพลังตรงนั้นน่ะ ตามฉันมาหน่อย อ้อ แค่นายเท่านั้นนะ” โลแกนที่ยืนกอดอกฟังเงียบๆด้วยใบหน้าตายด้านเอ่ยออกมา ก่อนจะเปิดใช้งานประตูมิติขึ้น เผยให้เห็นพื้นที่หิมะสีขาวโพลนด้านในนั้น
“ว้าว” ราฟที่เห็นดังนั้นก็ตาเป็นประกาย เขาหันมาพูดกับเพื่อนของเขาว่า
“เดี๋ยวฉันมา นายไปอยู่กับพี่สาวคนสวยของนายก่อนละกัน อ้อ แล้วอย่าลืมเล่าเรื่องที่ทำให้นายสลบจนละเมอว่าหน้าอกด้วยล่ะ ฮี่ๆ”
“...” พัคแทยังทำอะไรไม่ถูกนอกจากก้มหน้าที่แดงก่ำด้วยความเขินอาย
“นายท่าน...” เฟยฮวาพูดออกมาเสียงเบา
ราฟที่มองท่าทางของหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมา เขาไม่อยากให้คนที่มีความรู้สึกดีๆกับเขาเสียใจเลยเอื้อมมือไปลูบหัวของเธอเบาๆ
“เดี๋ยวฉันกลับมานะ ทำตัวดีๆล่ะ”
“คะ ค่า” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับยิ้มหวาน
ราฟยิ้มให้เธอก่อนจะก้าวเท้าตามโลแกนไป