สารจากเทพปรกณัม
“ช่างเรื่องแผ่นหินก่อนเถอะ ที่ฉันเรียกนายมาก็เพราะว่าฉันอยากให้นายใช้พลังของนายดูดซับพลังของหินนี่ เพราะฉันคิดว่ามันอาจทำให้บาเรียที่คลุมโลกอยู่หายไปจนสามารถปล่อยยานอวกาศออกไปสำรวจดาวเคราะห์อื่นเพื่อใช้เป็นที่อยู่แห่งใหม่ได้...”
“ผมว่าอย่าทำอย่างนั้นดีกว่า” ราฟขัดคำพูดของโลแกน
ชายร่างผอมขมวดคิ้วก่อนถามขึ้นมาว่า
“ทำไมล่ะ นายไม่อยากช่วยโลกนี้เหรอ”
“ถ้าคุณอยากช่วยโลกนี้ไว้ก็อย่าเปิดบาเรียนี้ดีกว่า”
“เหตุผลล่ะ”
“เพราะแผ่นหินนี่ได้บอกไว้น่ะสิ ว่าบาเรียนี้ได้ปกป้องโลกพวกเราไว้จากการรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างดาวอย่างพวกอสูรต่างมิติ ถ้าคุณเปิดบาเรีย จากเดิมที่พวกมันเข้ามาได้แค่จากรอยแยกมิติ จะกลายเป็นว่าพวกมันจะยกโขยงกันมาจากทุกที่เพื่อแย่งชิงและยึดครองทรัพยากรบนโลก ว่าก็ว่าเถอะนะด็อก ผมมันใจว่าผมจะปกป้องตัวเองกับคนสำคัญของผมได้ แต่ถ้าจะให้ช่วยทุกคนคงไม่ไหว สิ่งมีชีวิตดั้งเดิมบนโลกอย่างมนุษย์ อสูร หรือกระทั่งมารได้ถูกทำลายหรือไม่ก็กลายเป็นทาสของพวกมันแน่”
“นายอ่านมันออกอย่างนั้นเหรอ! ได้ยังไง? มันคือภาษาอะไร?” โลแกนพุ่งเข้ามาเขย่าไหล่ราฟด้วยความตื่นเต้น
“เอ่อ มันคือภาษาที่มีการดัดแปลงมาจากภาษาของประเทศที่ล่มสลายน่ะ”
“แล้วมันคือภาษาอะไรกันล่ะ?”
“มันคือภาษาลู...”
“ภาษาลู? มันเป็นของคนในประเทศไหนเหรอ?”
“ประเทศไทยน่ะ ได้ยินว่าล่มสลายไปนานแล้ว ลุงจะไม่รู้จักก็ไม่แปลก แถมยังเป็นภาษาที่ดัดแปลงมาด้วย สงสัยว่าเทพปกรณัมที่เป็นผู้เขียนจะเป็น LGBT นะ”
“ไม่แปลกใจเลยที่ฉันหาข้อมูลไม่เจอ อย่างว่าแหละ ภาษามีไม่รู้กี่พันกี่หมื่นภาษานี่นะ เห้อ...ว่าแต่นายรู้ภาษานี้ได้ยังไง”
“ก็…เคยอ่านเจอน่ะ” ราฟบอกพลางนึกถึงหนึ่งในเพื่อนของเขาในโลกก่อนที่เป็นเกย์แล้วเธอเคยสอนให้เขาจะได้เข้าใจสิ่งที่เธอพูดและไม่ถูกนินทาลับหลัง นึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นราฟก็ยิ้มออกมา ตอนนี้เจ้าพวกนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ
“ถ้าที่นายพูดเป็นเรื่องจริง งั้นเราควรทำยังไงกันดีล่ะ” โลแกนขมวดคิ้วถามความเห็นราฟ
“ลุงสร้างเครื่องที่สามารถควบคุมการเปิดปิดบาเรียได้มั้ย?”
“...ฉันเคยลองทำแล้ว แต่มันต้องใช้เวลาดำเนินการนานมาก ถ้ามีผู้ช่วยวิจัยที่มีความรู้เทียบเท่าฉันก็อาจทำได้เร็วขึ้น แต่คงยาก เพราะนอกจากฉันก็หาใครที่มีพลังแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว”
“งั้น...ด็อกสามารถโอนถ่ายข้อมูลมาให้ผมได้มั้ย เห็นอย่างนี้แต่สมองของผมมันก็พัฒนาขึ้นเหมือนร่างกายนะ”
“...รอเดี๋ยวนะ เหมือนฉันเคยสร้างหมวกโอนความทรงจำอยู่...เจอแล้ว!” โลแกนยื่นมือไปหยิบหมวกรูปทรงคล้ายหมวกกันน็อคที่เชื่อมกับหมวกอีกอันอยู่ เขาสวมใส่มันเข้ากับหัวของตัวเอง ก่อนจะยื่นให้ราฟสวม
“มันคือ?”
“หมวกที่สามารถคัดลอกข้อมูลโอนย้ายไปให้คนอื่นได้ผ่านคลื่นสมองน่ะ ฉันสร้างมันไว้นานแล้วขี้เกียจพัฒนาต่อเพราะต้องทำวิจัยเรื่องบาเรียนี่ล่ะ”
“อ้อ...นี่ ด็อก ผมสงสัยอย่าง ทำไมถึงสร้างบาเรียแยกดินแดนไว้ล่ะ”
“เป็นการกันไม่ให้มีเอเลี่ยนสปีชีส์อยู่ในพื้นที่อื่นจนไปทำลายระบบนิเวศอื่นน่ะ เอาล่ะ สวมหมวกได้แล้ว”
“โอเค” ราฟสวมหมวกตามที่โลแกนบอก ก่อนที่นักวัยวัยกลางคนจะเริ่มกรอกคำสั่งลงไป
“คัดลอกข้อมูลเฉพาะส่วนความรู้ทั้งหมด เริ่มการทำงาน!”
ตี๊ดดด
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็หลับไป
.
.
.
หลายวันต่อมา
เรเชลกำลังนั่งบนก้อนหินอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งที่ถูกเธอยกก้อนหินมาบังไว้ไม่ให้ใครเข้ามาอีก ขณะกำลังนั่งย่างเนื้อกวางกลายพันธุ์ที่เธอพึ่งล่ามาได้อยู่ เมื่อมันสุกได้ที่แล้วเธอก็หยิบมันขึ้นมาก่อนจะสะบัดนิ้วชี้หั่นเนื้อออกมาเป็นชิ้นพอดีคำด้วยเจตดาบของเธอแล้วหยิบเข้าปากงามๆของเธอ
งั่มๆๆ
อึก
“เจ้าพวกนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ คิกๆ คงจะลำบากยิ่งกว่าเราแน่เลย โดยเฉพาะพัตแทยังที่ทำอาหารไม่เป็น ส่วนราฟคงเอาตัวรอดได้สบายๆ ทำอาหารอร่อยแบบนั้นนี่นะ เห้อ คนอะไรจะโชตดีขนาดนี้ แค่วันเดียวก็หาถ้ำนี้เจอ แถมยังเป็นถ้ำที่มีปราณธรรมชาติที่เหมาะกับการฝึกฝนอีก ผ่านมาแค่ครึ่งเดือนปราณในร่างฉันก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าแล้ว คิกๆ” เรเชลพูดคนเดียวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นเศร้าสลดอย่างรวดเร็ว
“แง…ไอ้พวกบ้า ทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวได้ยังไง โดยเฉพาะนายเลย ไอ้เจ้าบ้าราฟ รีบๆใช้พลังของนายจัดการผู้เข้าแข่งขันทุกคนแล้วยกเลิกการแข่งบ้าๆนี้สักทีเถอะ ฉันอยากกินอาหารฝีมือนายแล้ว ฮือ…” หญิงสาวผมบลอนด์ตะโกนใส่ผนังถ้ำเสียงดัง
“หนวกหูเสียจริง! คนจะหลับจะนอน อุตส่าห์ออกมาจากตำหนักหนีเสียงวิ่งเล่นของเจ้าเด็กน้อยลู่แล้วยังมาเจอเสียงดังแสบแก้วหูอีก” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดดังขึ้น
จากนั้นผนังถ้ำก็ขยับเปิดออกคล้ายเป็นกลไกบางอย่าง และแล้วก็มีเงาร่างหนึ่งเผยออกมา
ชายใบหน้าหล่อเหลาไว้ผมยาวสีเขียวเข้มในชุดจอมยุทธโบราณ ดวงตาสีน้ำตาลแก่ฉายแววง่วงนอนปนหงุดหงิดมองหญิงสาวที่กล้ารบกวนการนอนของเขา
“เจ้าสินะที่ร้องโหยหวนดุจโดนแส้ฟาดเหมือนนางทาสโดนนายโบยจนทำให้ข้าตื่นจากการพักผ่อนน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาก่อนจะยื่นมือออกมาขี้นิ้วใส่เรเชล
‘ผู้ใช้พลังระดับสูง?’ เรเชลตั้งท่าเตรียมต่อสู้ ตัวของเธอแผ่กลิ่นอายแห่งการต่อสู้ออกมา
“เอาล่ะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็จงเอ่ยวาจานี้ซะ” ชายผมเขียวเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
“ฉัน...ไม่สิ หนูน่ะ...รักพี่จ๋าที่สุดในโลกเลย!”
เรเชลที่กำลังโคจรปราณในร่างอยู่ถึงกับชะงักจนธาตุไฟเกือบเข้าแทรก หญิงสาวมองชายตรงหน้าด้วยแววตาราวกับมองคนบ้า
“เหตุใดจึงมองข้าด้วยใบหน้าเช่นนั่น ข้าเข้าใจว่าข้าหล่อ แต่ถึงเจ้าจะมองข้าด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความรักเพียงใด แต่หัวใจของข้านั้นได้มอบให้กับน้องสาวสุดที่รัก...มากิจังของข้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะงั้นตัดใจเสียเถอะ” ชายหนุ่มหยิบพัดออกมาพัดใส่ใบหน้าของตนก่อนจะเอ่ยต่อ
“เอ้า ยังไม่รีบพูดอีก อยากเจ็บตัวรึไง พูดมา!...หนูน่ะ...รักพี่จ๋าที่สุดในโลกเลย...อ้อ อย่าลืมบีบเสียงเล็กๆให้น่ารักด้วยนะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็บีบเสียงทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
“...”