ต้นกำเนิดของบาเรีย
เมื่อราฟเดินตามโลแกนเข้าไป ประตูมิติก็ถูกปิดลง
“โว้ว”
ราฟอุทานออกมาหลังจากเห็นภาพภายในประตูมิติที่เขาก้าวผ่านเข้ามา
ท่ามกลางพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหิมะกว้างไกลสุดสายตา โลแกนล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบรีโมทขึ้นมาแล้วกดตัวเลขเป็นรหัสลับแล้วเก็บมันใส่กระเป๋าเหมือนเดิม ก่อนที่บางสิ่งจะเผยออกมาสู่สายตาทั้งสองคน
“ภาพมายา?” ราฟเลิกคิ้ว
สิ่งที่ปรากฏออกมาคือก้อนคริสตัลขนาดใหญ่สีดำสนิทที่ส่งกลิ่นอายที่แสนเย็นเยียบออกมา เมื่อราฟมองไปที่มันก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้
“มันคืออะไร?” ชายหนุ่มผมเทาหันไปถามโลแกนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่
“มันคือก้อนพลังงานที่เกิดจากการระเบิดของดวงดาวและได้หลอมรวมเข้ากับพลังงานจากอวกาศนานนับพันปีจนก่อเกิดเป็นก้อนคริสตัลแบบนี้ หรืออีกชื่อที่นายอาจจะรู้จักมันก็คือ ‘แร่ซูพริล’ ยังไงล่ะ!” โลแกนพ่นควันออกมาพลางอธิบาย
“ไอ้แร่มหาโหดที่คนบนโลกตามหากันให้วุ่นอ่ะนะ?” ราฟตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าจะมีแร่ที่ใหญ่เท่ายานบินแบบนี้อยู่ เท่าที่เขารู้มาเหมือนแร่ซูพริลที่ถูกค้นพบทั้งหมดไม่อยู่กับพวกผู้นำตระกูลหลักหรือสมาคนผู้พิทักษ์ ก็อยู่กับกลุ่มอุโรโบรอส และประเด็นคือแร่พวกนั้นมีขนาดใหญ่สุดแค่ขนาดของลูกกระสุนปืนใหญ่เท่านั้น
‘หวา ไอ้แร่ที่เราโกหกพวกตระกูลหลักอ่ะนะ พอเจอของจริงแล้วถึงได้เข้าใจว่าทำไมคนถึงอยากครอบครองมันนัก เพราะพลังของมันที่แผ่ออกมานี่เอง ขนาดผิวหนังของเราที่คิดว่าน่าจะแข็งแกร่งที่สุดแล้วยังรู้สึกว่ามันสามารถทำร้ายเราได้เลย’ ราฟคิดในใจ
“เออ เจ้านี่แหละ พูดเรื่องนี้แล้วก็หงุดหงิดชะมัด บ้าเอ๊ย แร่ที่มีพลังมหาศาลขนาดนี้แต่พวกบ้าล่าอสูรพวกนั้นกลับเอาไปทำเป็นอาวุธที่ทำได้แค่ทำลายชีวิตเท่านั้น ทั้งที่แค่เศษแร่ขนาดเพียงแค่ลูกแก้วเล็กๆก็สามารถสร้างบาเรียพลังงานขนาดที่ครอบคลุมหมู่บ้านที่ป้องกันการโจมตืได้ทุกรูปแบบแล้ว หัวร้อนโว้ย!” โลแกนเขวี้ยงบุหรี่ลงพื้นแล้วกระทืบใส่มันครู่หนึ่ง ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วร้องตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“...” ราฟมองการกระทำของโลแกนด้วยรอยยิ้มแห้งๆ จากนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เดี๋ยวนะด็อก อย่าบอกนะว่า ไอ้บาเรียบัดซบที่กั้นไม่ให้ผมไปเก็บแต้มก็เป็นเพราะพลังของแร่นี่อ่ะ?”
“ก็...ตามนั้น” โลแกนที่สงบสติอารมณ์ได้ยักไหล่ตอบราฟ ก่อนจะก้มลงหยิบบุหรี่บนพื้นขึ้นมา แล้วสะบัดมือเปิดประตูมิติที่เชื่อมกับลานทิ้งขยะที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตรขึ้นมา ก่อนจะโยนเศษบุหรี่เข้าไปในนั้นแล้วปิดมัน
“โห ด็อก ขอผมมั่งดิ แหวนที่เชื่อมกับพื้นที่อื่นๆได้อ่ะ”
“ฝันไปเถอะ กว่าฉันจะตัดแบ่งแร่นี่มาสร้างของแต่ละอย่างได้ก็ใช้เวลาตั้งหลายปี การแยกโมเลกุลของแร่ระดับดวงดาวนี่มันไม่ง่ายเหมือนกับการใช้มันทำอาวุธเหมือนที่พวกผู้พิทักษ์ทำหรอกนะ เพราะงั้นอย่าหวัง!” โลแกนปฏิเสธเสียงแข็ง
“ชิ” ราฟมุ่ยปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ชายหนุ่มเลือกที่จะหันกลับไปสนใจแร่ซูพริลต่อ
“...” โลแกนมองท่าทีของราฟด้วยใบหน้าจริงจังก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ฉันล่ะตกใจจริงๆที่คนระดับพลังอย่างนายเลือกที่จะอยู่เฉยๆแทนที่จะลงมือจัดการพวกอสูรให้หายไปจากโลกนี้เลย”
“หือ...แล้วทำไมผมต้องทำอย่างนั้นอ่ะ” ราฟเลิกคิ้วถาม
“ก็...เป็นที่เข้าใจกันในหมู่มนุษย์ไม่ใช่เหรอว่าพวกอสูรน่ะ เป็นศัตรูของมนุษยชาติมาหลายพันปีแล้ว นายไม่รู้เหรอว่าพวกอสูรได้สังหารมนุษย์ไปเท่าไหร่แล้ว?” โลแกนถามราฟด้วยแววตาที่ต้องการคำตอบ
“เหอะ แล้วด็อกไม่คิดบ้างเหรอว่ามนุษย์ก็ทำลายอสูรไปมากเหมือนกัน อาจจะมากกว่าหลายเท่าด้วยซ้ำ สำหรับผมแล้ว ไม่ว่ามนุษย์ อสูร มาร หรือเผ่าพันธุ์ต่างๆบนโลกใบนี้หรือโลกอื่นล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณเหมือนกัน ถึงภายนอกจะแตกต่างแต่พวกเขาล้วนทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ทำไมผมจะต้องเข้าไปแทรกแซงเรื่องพวกนั้นด้วยล่ะ ผมไม่ใช่นักบุญนะ”
“...ถ้าผมเจอเหตุการณ์ที่ผมช่วยได้ผมก็จะช่วยเท่าที่ผมทำได้ แต่ถ้าจะให้ช่วยทุกคนบนโลกก็คงไม่ไหว ได้เครียดตายพอดี เพราะต่อให้ช่วยที่หนึ่งได้ ก็มีเหตุการณ์ใหม่เกิดขึ้นบนโลกตลอดทุกวินาทีนี่นะ” ราฟพูด ก่อนจะเสริมว่า
“นี่ยังไม่ได้พูดถึงจิตวิญญานทางธรรมชาติอื่นๆที่ผมสัมผัสได้ผ่านร่างกายนี้อีกนะ อีกอย่าง ด็อกล่ะ ถ้าจะถามผมแบบนั้นทำไมถึงเลือกที่จะอยู่ร่วมกับอสูรล่ะ?...หรือถ้าด็อกต้องการอย่างที่พูดจริงๆให้ผมจัดการด็อกแล้วขโมยแหวนมิติไปจัดการพวกอสูรในถ้ำยกเว้นเพื่อนของผมสองคนซะเลยดีมั้ย?” ราฟถามด้วยรอยยิ้ม
“อย่านะโว้ย! ฉันแค่ถามลองใจนายเฉยๆ เพราะสิ่งที่ฉันจะบอกต่อไปนี้อาจทำให้พวกหัวโบราณไม่พอใจแล้วลงมือทำลายที่นี่ทันทีได้น่ะ”
“...แล้วอีกอย่าง ฉันรู้ว่านายแตกต่างจากพวกบ้าพวกนั้นก็ตรงที่นายไม่ใช่พลังของนายจัดการพวกไป๋เสวี่ยฉีตั้งแต่แรกเห็นนั่นล่ะ ยิ่งพอเห็นนายที่รู้ว่าตรงหน้าคือแร่ซูพริลก็ไม่คิดชิงมันไปอีกทำให้ฉันไว้ใจนายขึ้นมา”
“ก็นะ ใครจะไปทำร้ายสาวสวยได้ลงคอกัน” ราฟยักไหล่ เขาไม่ได้สนใจแร่พวกนี้เพราะเขามั่นใจว่าสักวันพลังของเขาจะแข็งแกร่งมากกว่าแร่นี่จนไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดมาหาเรื่องเขาได้อยู่แล้ว
“เอาล่ะ ที่ฉันเรียกนายมาก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะขอร้อง เกี่ยวกับเรื่องแร่ซูพริลนี่ล่ะ...”
“...คืออย่างนี้นะ แร่นี่คือแกนพลังงานหลักที่ทำให้เกิดบาเรียที่ปกคลุมโลกไม่ให้มีอะไรสามารถผ่านได้เว้นแต่การเปิดใช้ประตูมิติเท่านั้น มันถูกสร้างโดยสิ่งมีชีวิตที่มีพลังระดับจักรวาล ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร อาจจะเป็นเทพในปกรณัมของประเทศไหนสักแห่ง หลายสิบปีก่อนฉันพบแร่นี่พร้อมกับแผ่นหินซูพริลแผ่นนี้ที่เขียนภาษาโบราณของโลกนี้ไว้ แต่น่าเสียดายที่ฉันอ่านไม่ออก” กล่าวถึงตรงนี้ โลแกนก็ล้วงมือเข้าช่องว่างมิติแล้วหยิบแผ่นหินสีดำที่แกะสลักเป็นตัวอักษรขึ้นมาให้ราฟดู
‘นี่มัน...’ ราฟขมวดคิ้ว