135 - ไต่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์
135 - ไต่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ผู้อาวุโสของตระกูลจี้ถือหินที่มีลักษณะเฉพาะขนาดเท่ากำปั้นมีสีดำสนิท มีความหนาแน่นและมีการแกะสลักอักขระเต๋าจำนวนมากออกมาและกล่าวว่า
“นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่หลอมโดยผู้อาวุโสในตระกูลจี้ของเรา มีจารึกเต๋าที่ไม่มีที่สิ้นสุดและสามารถทำให้เกิดการก่อตัวของค่ายกลศักดิ์สิทธิ์แต่ขีดจำกัดของมันก็อยู่ที่เก้าครั้งเช่นกัน”
เย่ฟ่านสั่นสะท้านในหัวใจ การสนับสนุนจากตระกูลขุนนางโบราณนั้นลึกซึ้งเกินไป พวกเขาสามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวได้ ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเวลาสั้นๆภายในพื้นที่ต้องห้าม
ผู้อาวุโสแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แสงโชติช่วงถือใบหยกที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ มันส่องประกายด้วยแสงสีเขียวและมีจารึกเต๋าที่ลึกซึ้งมากมายจารึกไว้
“เพื่อที่จะได้ยาศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ต้องห้าม ผู้อาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิแสงโชติช่วงของเราได้สร้างสิ่งประดิษฐ์นี้เป็นการส่วนตัว มันจะอนุญาตให้ข้าลงมือได้สามครั้ง”
เจียงฮั่นจงไม่เชื่อคำพูดของเขาในขณะที่เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาบนใบหน้าของเขา
“เป็นไปไม่ได้ แดนศักดิ์สิทธิแสงโชติช่วงไม่ควรอ่อนแอกว่าตระกูลขุนนางโบราณของเรา เมื่อเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามพวกเขาจะให้เจ้าถือสมบัติที่กระจอกงอกง่อยแบบนี้ออกมาได้ยังไง”
ผู้อาวุโสของตระกูลจี้ก็มีสีหน้าเย็นชาในขณะที่เขาพูด
“พี่จี้ข้าไม่คิดว่าการซุกซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเองจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อะไรในตอนนี้
สิ่งประดิษฐ์ต้องห้ามนี้อนุญาตให้ข้าลงมือได้สามครั้งแต่พลังของมันทำให้ข้าหยิบยืมความสามารถของผู้อาวุโสใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์ของเราออกมาใช้ได้สองครั้ง”
เจียงฮั่นจงที่ได้ยินสิ่งนี้ก็สูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนาวเหน็บ ใบไม้สีเขียวนี้เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน ผู้อาวุโสทั้งสามมารวมตัวกันขณะที่พวกเขาเริ่มสนทนากันอย่างเรียบง่าย
เย่ฟ่านที่กำลังฟังอยู่ข้างๆเข้าใจว่าสิ่งประดิษฐ์ต้องห้ามเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่ได้รับกาสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการเดินทางครั้งนี้
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และตระกูลขุนนางโบราณนั้นทรงพลังอย่างยิ่งและพวกเขาได้สะสมสมบัติมากมาย วิธีของพวกเขาไม่มีที่สิ้นสุด เขาอดไม่ได้ที่จะถาม
“ทำไมพวกเจ้าไม่เตรียมสิ่งประดิษฐ์ต้องห้ามมามากกว่านี้ล่ะ”
“มนุษย์อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร!”
การแสดงออกของเจียงฮั่นจงนั้นน่าเกลียดมาก เขารู้สึกว่าหากไม่ได้ฆ่าใครสักคนเขาคงยากที่จะสงบลงได้ การกระทำที่ประมาทของเย่ฟ่านทำให้โครงกระดูกสีขาวหนาแน่นและเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
สวีเต้าหลิงกวาดสายตามองมาที่เย่ฟ่านและอธิบายว่า
“การสร้างสิ่งประดิษฐ์ต้องห้ามดังกล่าวต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลเกินกว่าจะจินตนาการได้ แม้ว่าเราจะต้องการแต่นี่มันก็เป็นขีดจำกัดของพวกเราแล้ว”
เย่ฟ่านถูกบังคับให้เดินไปข้างหน้ากลุ่มขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสามเดินตามหลังเขาอย่างใกล้ชิด ผู้ฝึกตนคนอื่นๆเดินไปพร้อมกับ หลี่เสี่ยวม่านและคนอื่นๆ
พืชพรรณบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์นั้นเขียวชอุ่มและหนาแน่น มีโขดหินแปลกตาเกลื่อนไปทั่ว สามารถอธิบายได้ว่ามีความสง่างามอย่างถึงที่สุด
อย่างไรก็ตามไม่มีใครให้ความสนใจกับรายละเอียดเหล่านี้ เนื่องจากพวกเขากำลังเผชิญกับสถานการณ์ความเป็นและความตาย หลังของพวกเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
ครึ่งทางที่ขึ้นไปบนภูเขา พวกเขายังอยู่ห่างจากยอดเขาเป็นระยะทางไกล แต่สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีของปีศาจที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่นี้แล้ว
"ผมของข้า……. ข้าเริ่มแก่แล้ว!” คนขี่ม้าอุทาน
ในชั่วพริบตา ใบหน้าของหลายคนเริ่มแก่ลงราวกับว่าพวกเขาอดทนมาเป็นเวลาสิบปี ชายวัยกลางคนหลายคนมีผมหงอกที่ขมับและใกล้จะเสียชีวิตจากการชราโดยตรง
“ถ้าเราเดินหน้าต่อไป พวกเราจะตายกันหมด!” มีคนตะโกนขณะที่หลายคนโยกเยกก่อนจะตกลงจากหลังม้า
“ตกใจอะไร!” เจียงฮั่นจงตะโกน
“ถ้าเราประสบความสำเร็จ นี่จะเป็นโอกาสที่สวรรค์ส่งมาให้เราความชราภาพของพวกเจ้าก็จะได้รับการฟื้นฟู!”
ในขณะนี้เย่ฟ่านยังคงเหมือนเดิมและผู้อาวุโสทั้งสามก็ไม่ได้แสดงความผิดปกติใดๆ วัตถุต้องห้ามที่อยู่ในมือของพวกเขาได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งปกป้องพวกเขา
นอกจากพวกเขาแล้วโจวยี่ หลิวอี้อี้ หวังจื่อเหวิน หลี่เสี่ยวม่าน และคนอื่นๆที่อยู่ด้านหลังก็ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใดๆเช่นกัน
“ทำไมพวกเขาถึงไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน” เจียงฮั่นจงตกตะลึงเล็กน้อย
เย่ฟ่านคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างในทันที ย้อนกลับไปเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็มาถึงยอดเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ไม่เคยพบกับความเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวใดๆเลยจนกระทั่งพวกเขาออกจากพื้นที่ต้องห้ามซึ่งมีคนจำนวนมากอายุมากขึ้นในทันใด
“มันเกี่ยวอะไรกับมังกรเก้าตัวที่ดึงโลงศพขนาดใหญ่หรือเปล่า?”
ที่ด้านล่างโจวยี่ หวังจื่อเหวินและคนอื่นๆกำลังคุยกันอย่างนุ่มนวล
“มีแนวโน้มว่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับซากมังกรทั้งเก้าและโลงศพทองแดงโบราณ อาจเป็นได้ว่าหลังจากสำรวจจากอีกฟากหนึ่งของดวงดาวร่างกายของเราอาจได้รับความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง”
“แม้แต่สัตว์ประหลาดที่อยู่ลึกลงไปในขุมนรกก็ไม่สามารถเก็บโลงศพทองแดงได้ ตอนนั้นเราเห็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกล่ามโซ่ไว้ด้วยความโกรธในความมืดมิด…….”
นักรบที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มไม่สามารถทนต่อการสูญเสียความเยาว์วัยได้ในขณะนี้เขาเริ่มตะโกนด้วยความตื่นตระหนก
“ผู้อาวุโส เราไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้อีก……”
“เรื่องไร้สาระ! เจ้าคนไม่มีประโยชน์!”
เจียงฮั่นจงแทงหอกยาวในมือของเขาออกไปและทำให้นักรบหนุ่มคนนั้นร่างกายแตกสลายเลือดสาดกระจายไปทุกที่ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ตื่นตระหนกแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เมื่อมองผ่านพืชพันธุ์ที่หนาแน่น ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นยอดเขาได้จางๆ ในขณะนี้โครงกระดูกสีขาวในที่สุดก็มาถึงพวกเขา
“ท่านผู้อาวุโสจงใช้สิ่งประดิษฐ์ต้องห้าม มิฉะนั้นพวกเราจะทนไม่ไหว!”
ในขณะนี้หลายคนในกลุ่มมีอายุมากขึ้นหลายปี และสัตว์ดุร้ายบางตัวก็เริ่มอ่อนแอลงแล้ว
บนยอดเขาเป็นทะเลสีขาวราวกับหิมะที่มีโครงกระดูกนับไม่ถ้วน โครงกระดูกทั้งหมดยังคงมุ่งหน้าเข้ามาทำให้หลายคนเริ่มกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
ทันใดนั้นเรื่องน่าตกใจได้เกิดขึ้นเพราะในเวลานี้เนื้อบนหลังม้าหลายตัวเริ่มเน่าเปื่อย คนจำนวนมากเริ่มแก่ชราลงอย่างรวดเร็วจนตกลงจากหลังม้าไม่สามารถประคองร่างกายได้
“ข้าจะลงมือก่อน!”
จี้หยุนเฟิงหยิบหินสีดำที่ไม่เหมือนใครซึ่งเขาถืออยู่ในฝ่ามือ ลำแสงสีดำเริ่มเปล่งออกมาทันที
“บูม!”
ความผันผวนที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวถูกปล่อยออกมาจากภายในร่างกายของจี้หยุนเฟิงราวกับผืนน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลซึ่งมันกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง
เย่ฟ่านจิตใจสั่นสะท้าน ผู้อาวุโสของตระกูลจี้คนนี้แข็งแกร่งเกินไป เย่ฟ่านรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเพียงจอกแหนเล็กๆในขณะที่อีกฝ่ายเป็นมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไม่มีทางเปรียบเทียบกันได้
“นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา?”
หากพวกเขาพบกันภายใต้สถานการณ์ปกติ เย่ฟ่านจะไม่มีโอกาสรอดแน่นอน
ทั้งสองฝ่ายถูกแยกจากกันด้วยช่องว่างขนาดใหญ่และความแตกต่างของความแข็งแกร่งนั้นรุนแรงเกินไป การโจมตีแบบสุ่มจากอีกฝ่ายหนึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นผงธุลี
“รีบไปข้างหน้า!”
จี้หยุนเฟิงตะโกนขณะที่เขาเป็นผู้นำม่านแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เขาปลดปล่อยออกมาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มันสร้างพื้นที่บริสุทธิ์ประมาณหนึ่งร้อยวาโครงกระดูกที่เข้ามาใกล้จะถูกบดขยี้ทันที
ด้วยแสงวาบม่านแสงศักดิ์สิทธิ์ก็บินกลับมาขณะที่ร่างกายของจี้หยุนเฟิงสั่นสะท้าน น้ำพุแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็แห้งอีกครั้ง และหินสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ในมือของเขามีรอยร้าวเพิ่มขึ้น
"รีบ!"
เจียงฮั่นจงและสวีเต้าหลิงตะโกนเสียงดัง พวกเขามีเวลาจำกัดและต้องคว้าโอกาสที่จะไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด
ทันใดนั้นก็มีเสียงอุทานดังขึ้นจากด้านหลังของกลุ่ม หลี่เสี่ยวม่าน โจวยี่ หวังจื่อเหวินและหลินเจี๋ยใช้โอกาสนี้ในขณะที่ไม่มีระมัดระวังหลบหนีออกจากกลุ่มทั้งหมดโดยมุ่งหน้าไปที่ด้านล่างของยอดเขา
นักรบที่ทรุดโทรมหลายคนไม่ว่องไวอีกต่อไปมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไล่ตามทัน
“เย่ฟ่าน……”
หลิวอี้อี้และหวังจื่อเหวินตะโกนขึ้นไปบนยอดเขา
“พวกเจ้านี้ไปให้ได้ อย่ามาสนใจข้า!”
เย่ฟ่านสามารถเห็นได้ว่าทั้งสองคนกำลังลังเลและคำรามในทันที จางจื้อจุนกัดฟันของเขาก่อนที่จะหันกลับมาดึงหลิวอี้อี้ให้หายจากไปโดยไม่มองย้อนกลับมาอีก
ทหารม้าที่ชราภาพสองสามคนต้องการที่จะไล่ตามไปแต่เจียงฮั่นจงก็ตะโกนเสียงดังว่า
“ไม่ต้องสนใจพวกเราไม่มีเวลาให้เสียแล้ว!” เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว แสงที่แหลมคมสองดวงก็จับจ้องไปยังเย่ฟ่าน
“ถ้าเจ้ากล้าที่จะลองวิ่ง ข้าจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะกลายเป็นฝุ่น”