โอสถแปลงอสูร
วันต่อมา
“เอาล่ะ ฉันชื่อโพชาน เป็นครูที่จะมาสอนวิชาการปรุงยา ขอให้พวกเธอเปิดไฟล์ไปที่หน้า 4 เริ่มจาก...”
ราฟที่มาเรียนเพียงเพื่อแค่สัมผัสกับบรรยากาศของการเรียนนั้นได้ยินเสียงอันแสนจะเฉื่อยชาของครูคนหนึ่งดังขึ้น
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปดู เขาก็พบกับชายวัยกลางคนสวมชุดกาวน์ไว้เคราใบหน้าง่วงนอนตลอดเวลากำลังอธิบายเรื่องการปรุงยาโดยไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีใครฟังหรือไม่
ราฟที่เห็นแบบนั้นก็ยักไหล่ ก่อนจะฟุบลงกลับไปนอนต่อ
.
.
.
1 ชั่วโมงต่อมา
“ราฟ...ตื่น” คาร์ลสะกิดราฟจนเขาตื่นขึ้น
“อื๋อ หมดคาบแล้วเหรอ” ราฟถามด้วยความงัวเงียพลางบิดขี้เกียจ
“ใช่ที่ไหนล่ะ ครูโพชานเขาให้นักเรียนในห้องของพวกเราปรุงยาระดับ C มา 1 อย่าง ภายใน 1 ชั่วโมง ถ้าทำไมได้คือสอบตก บัดซบ! ฉันไม่คิดเลยว่าครูแกจะโหดขนาดนี้ แค่ยาฟื้นฟูร่างกายระดับ F ฉันยังไม่รู้เลย ตั้งแต่ต้นคาบแกก็พูดแต่เรื่องของประวัติศาสตร์การปรุงยาเท่านั้น นี่มันแกล้งกันชัดๆ!” คาร์ลบ่นออกมาด้วยความหัวเสีย
“หือ ยาเหรอ” ราฟทวนคำของคาร์ล ก่อนจะคิดในใจว่า
‘พิษของเราถ้าสลับคุณสมบัติมันก็เป็นยาแล้วนี่ จะใช้ได้มั้ยนะ เห้อ ไม่อยากแสดงพลังเลยแฮะ แต่ถ้าไม่ทำอะไรก็สอบตกยกห้อง ซวยอีก...เอาก็เอาวะ’
“นี่ ยาระดับ C ที่ดังๆมีตัวไหนบ้างอ่ะ” ราฟถามคาร์ล
“หะ ก็ยาเปลี่ยนร่างไง...” คาร์ลตอบ
ราฟที่ได้ยินคำตอบของคาร์ลก็หลับตาลงก่อนจะกลั่นปราณพิษในร่างออกมาแบบไม่ให้มีใครจับได้ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าวัตถุดิบที่ถูกวางไว้ให้ทดลองมาขยำๆไปมา แล้วใช้ปราณสายฟ้าเผาพวกมันออกหมดจนเหลือแค่เม็ดยาที่ถูกกลั่นจากปราณของเขาเท่านั้น
“แต่ยาระดับ C ทำได้แค่เปลี่ยนชิ้นส่วนอย่างแขนขา มากสุดก็ครึ่งตัว...” คาร์ลที่พึ่งพูดจบก็เห็นว่าราฟยื่นเม็ดยาสีม่วงเข้มมาให้เขา
“ลองเอาไปส่งครูเขาดูสิ” ราฟพูดยิ้มๆ
“อะ เอ่อ โอเค ฉันจะลองส่งให้ครูเช็คดู...ถึงจะใช้ไม่ได้ยังไงแต่ถ้าอยู่ในเวลา 1 ชั้วโมงก็ส่งให้ครูเขาได้เรื่อยๆล่ะนะ” คาร์ลรับมันไว้ก่อนจะเดินไปส่งยาให้โพชาน
“หาววว เย็นนี้ทำอะไรกินดีนะ” ราฟพึมพำออกมาคนเดียวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงงัวเงียอยู่
“นะ นี่มัน!”
ทันใดนั้นเสียงตกใจของโพชสนก็ดังขึ้น ก่อนที่เขาจะตะโกนออกมาว่า
“ใครทำยานี่!”
“เอ่อ ราฟเป็นคนทำครับ” คาร์ลตอบเสียงค่อยเพราะความตกใจ
“ราฟ? เจ้าเด็กหัวเทาที่ซัดเจ้าหนูมาคัสนั่นน่ะเหรอ ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าจะปิดบังศักยภาพไว้อีกแบบนี้ ดี ดี ดี พวกเธอสอบผ่านกันหมดทุกคนแล้ว แถมไม่ต้องมาเรียนกับฉันในคาบต่อไปแล้ว ถ้ามีอะไรสงสัยก็มาถามได้ตลอด ไปขอบคุณเขาด้วยล่ะ” โพชานพูดออกมาด้วยรอยยิ้มตอนนี้แววตาของเขาไม่ได้เหม่อลอยอีกต่อไป แต่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“เอ่อ ครูครับ แล้วยาที่ราฟทำคือยาอะไรเหรอครับ” เพื่อนในห้องคนหนึ่งถามโพชาน
“มันเป็นยาที่ฉันเคยเห็นจากตำราศาสตร์แห่งการปรุงยาโบราณที่มีชื่อว่า ‘โอสถแปลงอสูร’ น่ะ”
“ฮะ!? ยาที่สามารถทำให้ผู้ที่กินมันเข้าไปสามารถกลายร่างเป็นอสูรระดับ S ที่เคยเห็นได้ 3 นาทีน่ะเหรอครับ/คะ!?” นักเรียนในห้องตะโกนออกมาเสียงดัง
“ใช่ นั่นล่ะ สูตรยานี้หายสาปสูญไปนานหลายพันแล้วเพราะพวกจักรพรรดิอสูรหวาดกลัวพลังของมันเลยไล่ทำลายสูตรยาจนหมด คนที่ครอบครองตัวยาตอนนี้อยู่ก็มีแค่พวกคนระดับสูงของตระกูหลักเท่านั้น ถึงส่วนใหญ่จะมีไว้เพื่ออวดบารมีเฉยๆก็เถอะ แต่ไม่ว่ายังไงคุณสมบัติของยานี่น่ะ อยู่ในระดับ S เลยล่ะ อีกอย่างมันใช้ในการรับมือกับคลื่นอสูรได้เป็นอย่างดีด้วย คิดดูสิ แค่คนธรรมดาไม่มีพลังกินไปก็สามารถใช้พลังของอสูรระดับ S ได้ คราวนี้คลื่นอสูรก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป” โพชานหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“งั้นตอนนี้ราฟก็ได้ช่วยโลกไว้แล้วน่ะสิครับ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเหมือนจะมีแค่เขาที่รู้สูตร มันอาจจะผลิตได้ไม่เยอะก็ได้ เพราะไม่อย่างนั้นมนุษย์ก็คงไม่ต้องลำบากในการรับมือกับคลื่นอสูรมาตลอดหลายพันปีแบบนี้...ว่าแต่เขาหายไปไหนแล้วอ่ะ ฉันอยากขอร้องให้เขาขายสูตรของมันให้กับสมาคม...” โพชานหันไปมองหาชายผมเทาแต่ก็ไม่เห็น
“เอ่อ...เขากลับไปตั้งแต่ได้ยินที่ครูบอกว่าไม่ต้องมาเรียนแล้วล่ะครับ” นักเรียนคนหนึ่งที่นั่งใกล้ๆราฟตอบด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“...”
.
.
.
“เห้อ หิวชะมัดเลยแฮะ แต่เราใช้พลังในการกลั่นเม็ดยาไปแล้ว แบบว่าเสียดายพลังจังวุ้ย งั้นซื้อกลับไปกินดีกว่า หุๆ กินไรดีน้าาา” ราฟที่กำลังเดินพร้อมกับประสานมือที่ท้ายทอยพูดกับตัวเองคนเดียวด้วยรอยยิ้ม
“ราฟ!”
“ไผเอิ้นฟะ” ราฟที่หันหัวไปตามเสียงถึงกับเกือบสะดุดขาตัวเอง
“ป๊าดดด” จากนั้นคำอุทานก็ดังออกมาจากปากของชายหนุ่มผมเทา
“เห้ย พัคแทยัง เรเชล นี่พวกนายไปทำอะไรมากันเนี่ย ทำไมสาวๆพวกนั้นถึงถืออาวุธครบมือเหมือนจะไล่ฟันใครยังไงอย่างงั้นเลยอ่ะ” ราฟตะโกนถามหนุ่มตาทองกับสาวผมบลอนด์ด้วยรอยยิ้มซุกซนเหมือนเห็นเรื่องสนุก
“ราฟ! ช่วยพวกเราที” พัคแทยังที่กำลังวิ่งหน้าตื่นมาทางเขาพูดขึ้น
“เห้ย ช่วยอะไร ทำไมถึงคิดว่าฉันจะช่วยนายได้ฟะ อย่าลากฉันไปเกี่ยวข้อกับพวกนายด้วยสิเฟ้ย” ราฟที่เห็นอย่างนั้นก็สับตีนหมาวิ่งหนีอีกคน
“เรื่องของพวกฉันบ้าอะไรกันล่ะไอ้คนบ้าพลัง นี่มันคือเรื่องของเจ้าหน้าหล่อนี่ชัดๆ ฉันแค่จะมาขอให้เขาฝึกการต่อสู้ด้วยก็เท่านั้น แต่พอผู้หญิงพวกนั้นเห็นฉันอยู่กับเขา ก็พาลคิดว่าฉันจะมาจีบเขาโดยไม่เข้า ’สมาคมว่าที่สะใภ้ของพัคแทยัง’ ก่อนแล้วก็ไม่ฟังอะไรจากฉันเลยด้วย คิดแต่จะตามเอาเรื่องฉันให้ได้เนี่ย” เรเชลแหวออกมาขณะวิ่ง
“อุ๊บ ฮ่าๆๆ นี่พัคแทยัง นายมีสมาคมกับเขาด้วยเหรอ สุดยอด ฉันว่าถ้าเป็นงี้ต่อไปเรื่อยๆล่ะก็สมาคมของนายอาจใหญ่กว่าสมาคมผู้พิทักษ์ก็ได้นะ ก๊ากๆๆ” ราฟหัวเราะเสียงดังลั่นจนทั้งสองคนรู้สึกอยากหาอะไรมายัดปากเจ้าบ้านี่เหลือเกิน
“ไม่ใช่เรื่องตลกนะ ฉันจะใช้ชีวิตอย่างสงบได้ยังไงถ้ายังต้องเป็นแบบนี้อีกต่อไปเรื่อยๆ” พัคแทยังเอ่ยเสียงเศร้า
“อืม...” ราฟครุ่นคิดสักครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้างออกมา
“ฉันมีวิธี แต่นายจะตกลงกับข้อเสนอของฉันรึเปล่านั่นก็อีกเรื่องนะ”
“ว่ามาเลย” พัคแทยังถามด้วยแววตาจริงจัง
“คืองี้...”