เรียกฉันว่าเซร่า
“ชิ ผู้ใช้พลังสายความเร็วงั้นเหรอ น่ารำคาญชะมัด” ราฟบ่นขณะวิ่งพุ่งเข้าไปในป่าลึกที่ห่างไกลจากเมืองไอรีนไปอีก ชายหนุ่มเร่งความเร็วขั้นสูงสุดจนทิ้งห่างชายชื่อลุคที่กำลังตามมาก่อนที่เขาจะหาที่ซ่อน
“ใช้พลังสายฟ้าเร่งความเร็วก็ไม่ได้ด้วย เพราะเราปลอมตัวอยู่ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ...พิษผลัดกระตูกเปลี่ยนเส้นเอ็น”
หลังจากใช้พลังของพิษในตัวเขากับใบหน้าของตนจนทำให้ใบหน้าของราฟเปลี่ยนจากใบหน้าที่คมเข้มเป็นใบหน้าอันอ่อนหวานของหญิงสาวผิวน้ำผึ้งที่งดงามหมดจด รูปร่างของเขาจากที่กำยำก็เปลี่ยนเป็นร่างกายที่บอบบางที่มีหน้าอกหน้าใจไม่แพ้สาวงามคนอื่น แน่นอนว่าชายหนุ่มต้องจำใจลดขนาดชายน้อยของเขาลงเพื่อความเนียน และใช้วิชาซ่อนปรานให้คนอื่นเห็นว่าปริมาณพลังปราณของเขาอยู่แค่ระดับ A
“ฮึก ลากันชั่วคราวนะราฟน้อยของพี่...แต่การทำแบบนี้ก็เปลืองพลังปราณเอาเรื่องเลยแฮะ ด้วยรูปร่างนี้คงทำให้พวกที่ตามมาคิดว่าเราเป็นแค่ผู้ใช้พลังระดับ A ทั่วไปล่ะนะ”
“ว่าแต่...เราใช้พลังนี้ไปเปิดคลีนิคแปลงเพศดีมั้ยวะ ดูท่าน่าจะดังและถูกใจบรรดาขุ่นแม่ไปทั่วโลก เอิ๊กๆ” ราฟคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนที่จะมองซ้ายมองขวาหาใบไม้ที่ใหญ่พอมาทำเป็นชุดใบไม้ไว้ปิดท่อนบนของเขา แล้วลงไปกลิ้งคลุกฝุ่นเพื่อความเนียน
ฟุบบบ
หลังจากนั้นลุคก็ตามมาถึงจุดที่ราฟอยู่
“มันหายไปไหนแล้ว!?” ชายร่างใหญ่พูดขึ้นก่อนที่เขาจะพบกับหญิงสาวที่งดงามเสียจนเขาต้องตะลึงตาค้าง
“เอ่อ คุณผู้หญิง ทำไมคุณถึงใส่ชุดใบไม้น้อยชิ้นแล้วอยู่คนเดียวกลางป่าแบบนี้ล่ะ” ลุคพูดโดยไม่กล้ามองหน้าหญิงสาวเพราะความเขิน
ไม่นานพวกอลิซก็ตามมาถึง เมื่อพวกเธอเห็นราฟในร่างหญิงสาวก็มีปฏิกริยาแตกต่างกันไป
“ผู้หญิง ทำไมคนที่สวยขนาดนี้ถึงมาเดินกลางป่าที่เป็นเขตของสัตว์อสูรคนเดียวโดยไม่มีใครมาด้วยเลยล่ะ” ชายในสวมแว่นขมวดคิ้ว
“โอ้ว สาวงามล่มเมืองล่ะ” ชเวซอนมินพูดขึ้น ดวงตาฉายแววสนใจในตัวหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างไม่ปิดบัง
“หญิงสาวคนนี้สวยเทียบเท่าท่านหญิงแคลร์ที่เป็นทายาทของเทพีไอรีนผู้ล่วงลับได้เลยนะเนี่ย” จอมสุราจินหู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา ก่อนจะยกสุรากรอกปากโดยไม่หลงไปกับเสน่ห์ของหญิงสาวตรงหน้า
“นี่เธอใช้ครีมอะไรอ่ะ ทำไมผิวสวยเรียบเนียนดีจัง” อลิซที่เห็นหญิงสาวไม่ก็สนใจเรื่องอื่น รีบเดินเข้ามาถามราฟด้วยความอยากรู้ทันที เพราะเธอเองก็เป็นหญิงสาวที่รักสวยรักงามคนหนึ่ง
“คุณอลิซ อย่าเพิ่งเข้าไปใกล้เธอครับ เรายังไม่รู้ว่าเธอเป็นใครกันแน่” ชายส่วมแว่นพูดด้วยความร้อนรน
“อย่ากังวลไปเลยน่าวินเทอร์ ฉันไม่ใช่คนที่อ่อนแอจนพลาดท่าง่ายขนาดนั้นหรอก ว่าแต่เธอจะบอกฉันได้ยัง” อลิซหันไปถามหญิงสาวตรงหน้า
“เอ่อ ฉันไม่ได้ใช้ครีม ฉันแค่คั้นน้ำมะเขือเทศกินทุกวันน่ะค่ะ” ราฟตอบในสิ่งที่เขาเคยเห็นจากโฆษณาในโลกก่อนของเขากับเธอไป
“ว้าว ไม่คิดว่าอาหารแบบนั้นจะช่วยในเรื่องนี้ด้วย ฉันต้องไปลองกินบ้างแล้ว...อ๊ะ ขอโทษที เสียมารยาทแล้ว ว่าแต่เธอชื่อว่าอะไรเหรอ”
“ฉันชื่อเซราฟิม จะเรียกว่าเซร่าก็ได้ ฉันเป็นนักล่าไร้สังกัดน่ะ พอดีฉันมาล่าอสูรที่นี่เพื่อไปขึ้นเงินรางวัล แต่ดันโชคร้ายเจออสูรระดับ A โดยบังเอิญแล้วได้ต่อสู้กัน ฉันพ่ายแพ้ให้มันแล้วถูกมันใช้พลังทำลายเสื้อผ้าของฉันจนต้องหาใบไม้มาปิดแก้ขัดเนี่ยแหละ” ราฟตอบด้นสด พร้อมกับทำหน้าให้ดูน่าสงสาร
“อื้ม เป็นอย่างนี้เอง เธอคงลำบากแย่เลย เอ้านี่”
อลิซหยิบเสื้อผ้าจากแหวนมิติของเธอให้ราฟ มันเป็นชุดเมดที่เธอมักจะเก็บติดตัวไว้เสมอ
‘แหวนมิติ! อยากได้บ้างจัง แต่ราคาตั้ง 200 ล้านต่อ 20 ตร.ม. นี่นะ แพงกว่าเงินที่เรามีอยู่ตั้ง 10 เท่าแน่ะ...ว่าแต่ชุดเมดงั้นเหรอ? เอาวะ เพื่อความสงบสุขของชีวิตในวัยเรียน ใส่ก็ใส่ เห้อ’ ราฟคิดในใจ แต่ภายนอกเขาได้ยิ้มหวานออกมาแล้วพูดขอบคุณหญิงสาว
“คุณอลิซครับ เวลาแบบนี้ก็ยังพกของแบบนั้นมาด้วยเหรอเนี่ย” ชายสวมแว่นหรือวินเทอร์พูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนๆ หลังจากเขามั่นใจว่าหญิงสาวแสนสวยตรงหน้าไม่เป็นอันตราย เขาก็คลายความกังวลลง
“นายไม่เข้าใจหรอก” อลิซตอบทีมของเธอด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
“ไม่เข้าใจที่ว่านั่น คือเรื่องที่คุณต้องเตรียมชุดเมดไว้ตลอดเวลาเผื่อตอนเห็นสาวสวยแบบคุณเซร่าจะได้ให้เธอสวมชุดเพื่อสนองความต้องการของคุณน่ะเหรอครับ ไม่กลัวว่าคุณเซร่าจะลำบากใจรึไง” วินเทอร์พูดพร้อมยักไหล่
“แก๊ อย่ามาทำเป็นรู้ดีนะ”
“คิกๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณวินเทอร์ แค่ฉันมีชุดใส่ก็ดีใจมากแล้วค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ” ราฟตอบพร้อมกับยิ้มหวานให้ชายสวมแว่นเพื่อความเนียนในการปลอมตัว
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ” วินเทอร์ตอบแล้วหันหน้าที่เรื่มแดงของเขาหลบไป
‘อึก อุก จะไม่ไหวแล้ว ไอ้การยิ้มให้ผู้ชายเนี่ย โอย เปลืองพลังงานยิ่งกว่าตอนรับมือคลื่นอสูรอีก’ ราฟคิดขณะที่ยังคงยิ้มหวานอยู่
“แล้วคุณคนสวยเห็นคนๆหนึ่งวิ่งผ่านมาทางนี้บ้างมั้ยครับ” ชเวซอนมินที่เคลื่อนที่มาอยู่ด้านหน้าของราฟถามขึ้น
“ฉันเห็นค่ะ แต่ว่าหลังจากที่ฉันเห็นเขาผ่านไปได้ไม่นาน เขาก็ปาอะไรบางอย่างลงพื้นจนเกิดเป็นรอยแยกมิติแล้วเข้าไปข้างใน จากนั้นรอยแยกก็หายไปน่ะคะ” ราฟแหลสดอีกเช่นเคย
ราฟเคยดูข่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ที่มีการปรากฏตัวของประตูมิติระดับ B ทำให้มันยังคงเต็มไปด้วยพลังงานมิติที่ตกค้างของรอยแยกมิตินั้นอย่างเต็มเปี่ยม ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้ข่าวนี้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการบอกว่าคนร้ายขโมยอุกกาบาตแล้วหลบหนีไปในรอยแยกมิตินั้น
และการที่จะตามรอยคนร้ายในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังมิติที่ตกค้างเช่นนี้นั้นเป็นไปไม่ได้เลย จนกว่าพลังงานที่ตกค้างจะหายไปจนหมดเสียก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 1 เดือน
หลังจากตอบคำถามเสร็จ เขาก็ขอตัวแล้วเดินไปหลังต้นไม้เพื่อเปลี่ยนเป็นชุดที่อลิซให้มาด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะเดินกลับมาที่เดิม
“อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง...น่าเสียดายจริงๆที่พวกเราแกะรอยมิติตามมันไปตอนนี้ไม่ได้ คุณเซร่าคงหวาดกลัวมากสินะ” ชเวซอนมินพูด ขณะเดินเข้าไปใกล้ราฟอีกครั้ง โดยที่มือข้างที่ว่างของเขาเอื้อมไปที่เอวของราฟโดยหวังจะโอบมัน ส่วนหญิงสาวที่เขากำลังโอบอยู่ก็มองราฟเหมือนกับมองคนที่กำลังมีชะตากรรมแบบเดียวกันกับเธอ
“หืม” ชเวซอนมินหยุดมือของเขาลงหลังจากเห็นว่ามีอักขระสีดำที่อ่านว่ากำแพงปรากฏขึ้นระหว่างเขาและหญิงสาวที่ชื่อเซร่า
“คิดจะทำอะไร ผุ้คุมวิญญาน” เขาถามเสียงเรียบ
“ไม่เห็นเหรอว่าคุณเซร่าเขากลัวท่าทางของคุณขนาดไหน แล้วไอ้ท่าทางเจ้าชู้ที่แสดงออกมานั่นมันอะไรกัน คิดว่าผู้หญิงทุกคนจะสนใจคุณหมดรึไง” วินเทอร์พูดด้วยรอยยิ้มเย็น
“โห้ ไหนพูดอีกทีซิ” ชเวซอนมินหรี่ตา ก่อนที่อากาศที่ฝ่ามือของเขาจะเริ่มบิดตัวเป็นรูปก้นหอย
“พลังบิดเบือนมิติของตระกูลชเวงั้นเหรอ คิดว่าพลังมิติจะแข็งแกร่งไร้ผู้ต้านรึไง” วินเทอร์พูดพร้อมกับทำท่ามุทราแล้วชี้ไปที่อากาศที่กำลังบิดตัว
“อักขระ...ย้อนกลั...แอ๊ก” ชายสวมแว่นยังพูดไม่ทันจบตัวของเขาก็ล้มลงไปวัดกับพื้น
“เลิกก่อเรื่องได้แล้ว รู้นะว่านายหลงคุณเซร่าเข้าแล้วน่ะ” อลิซที่มาอยู่ข้างหลังวินเทอร์ตอนไหนไม่รู้ใช้กำปั้นเขกหัวชายหนุ่มสวมแว่นจนเขาต้องเอามือกุมหัว
“ผะ ผมไม่ได้หลงเค้าซักหน่อย!” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่ต้องเขินไปหรอกน่า ดูเจ้าบ้าลุคนั่นสิ เขินคุณเซร่าจนต้องไปหลบหลังต้นไม้แอบมองเธออยู่ตรงนู้นแน่ะ”
“เอ่อ อาการหนักนะนั่น” วินเทอร์พูดอึ้งๆ
ส่วนทางด้านของชเวซอนมินที่กำลังโมโหอยู่ก็ถูกจินหู่ตบไหล่จนพลังที่เขาใช้ออกเพื่อบิดเบือนมิติสลายหายไป ทำให้อากาศที่บิดตัวอยู่กลับมาเป็นปกติ
‘วิชาสลายพลัง? แข็งแกร่งสมกับที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของสมาคมล่ะนะ’ ชเวซอนมินคิดในใจ แน่ก็ไม่ได้โต้กลับเพราะรู้ดีถึงความต่างของพลังระหว่างพวกเขา
“หยุดโมโหก่อน พลังของเจ้ากำลังทำให้โฉมสะคราญนางนั้นลำบากใจอยู่นะ” จินหู่ชี้ไปที่ราฟที่กำลังแกล้งกอดอกทำท่าเหมือนกับว่าเขากลัวในสิ่งที่เกิดขึ้น
ชเวซอนมินที่เห็นแบบนั้นก็ลดมือลง