เจตแห่งดาบ
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ทางเราก็มีอัจฉริยะเหมือนกันนะ อย่างพวกพัคแทยัง ซายะ เรเขลไง อ๊ะ แล้วก็ยังมีอีกคนนะ เป็นคนน่าสนใจที่ฉันพึ่งเจอเมื่อไม่นานมานี้น่ะ แต่ฉันสัญญากับเขาไว้ว่าจะไม่พูดเรื่องของเขาให้ใครรู้แลกกับ...แค่กๆ” แอนนาพูดถึงตรงนี้ก็แกล้งไอตัดบท ก่อนจะทำเป็นตะโกนใส่จอภาพ
“ทำไมการแข่งขันคราวถึงไม่ยอมถ่ายทอดสดการแข่งขันกัน! ครั้งก่อนๆไม่เห็นทำแบบนี้เลยนี่”
“ทำเนียนเปลี่ยนเรื่องเฉยเลยนะ...พี่ก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอตอนที่ประชุมผู้นำโรงเรียนผู้พิทักษ์น่ะ พวกพี่พึ่งลงความเห็นกันนี่นาว่าการแข่งขันครั้งนี้ต้องจัดแบบไม่ให้มีการถ่ายทอดสดเป็นครั้งแรก เพื่อที่นักเรียนจะได้แสดงศักยภาพและความลับที่มีอยู่อย่างเต็มที่” หญิงสาวผมชมพูยิ้มอย่างอ่อนใจให้พี่สาวคนสนิทของเธอโดยไม่ถามอะไรอีก
พวกเธอทั้งสองคนรู้จักกันเพราะตระกูลหลินและตระกูล ‘การ์เซีย’ เป็นพันธมิตรกัน ด้วยการเป็นพันธมิตรนี้เองที่ทำให้มีการเจรจาผลประโยชน์ร่วมกันอยู่บ่อยครั้ง และมันทำให้พวกเธอที่ต้องตามครอบครัวไปเกิดความสนิทสนมกันในที่สุด
“จะว่าไปถ้าพูดถึงคนที่แข็งแกร่งในไอรีนนอกจากสามคนนั้น หนูก็มีคนที่คิดว่าแข็งแกร่งอยู่เหมือนกัน” หลินอิงอิงกล่าวจบก็นึกถึงชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มยียวนที่มักจะคอยพูดจาหยอกล้อเธอทุกครั้งที่เจอกันขึ้นมา
“เห...ใครกันที่ทำให้ทายาทตระกูลหลินผู้มีร่างทรงเทพสายฟ้าอย่างเธอให้การยอมรับได้?” แอนนาถามตาเป็นประกาย
“อย่าหวังว่าหนูจะยอมบอก เพราะพี่ก็ไม่บอกหนูเหมือนกันว่าคนที่หญิงสาวผู้ได้รับสมญานามว่า ‘วัลคีรี่’ ผู้พิทักษ์ระดับ SSS ที่อายุน้อยที่สุดในโลกยอมรับเป็นใคร” หลินอิงอิงยิ้มให้หญิงสาวผู้เป็นทั้งพี่สาวและเพื่อนสาวของเธอ
“ชิ ไม่บอกก็ตามใจ! แล้วอะไรกันน่ะไอ้รอยยิ้มที่มองแล้วชวนให้รู้สึกคันมือยิบๆนั่น นี่เธอไปติดการยิ้มแบบนี้มาจากไหนน่ะ” แอนนาเอียงหัวถาม หญิงสาวผู้ถูกคำสาปให้มาอยู่ในร่างของเด็กอายุ 15 รู้สึกคุ้นเคยกับรอยยิ้มนี้แปลกๆ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก
“...ไม่มีอะไร หนูแค่ติดมาจากการบริหารหน้าตอนเช้าเลยเผลอทำตามน่ะ” หญิงสาวผมชมพูหุบยิ้มก่อนจะคาดโทษชายหนุ่มผมเทาที่ทำให้เธอติดรอยยิ้มนี้มา
“อ้อ ช่างเรื่องนี้เถอะ มาดูกันการแข่งกันต่อดีกว่า” แอนนาพยักหน้าก่อนจะกวักมือเรียกน้องสาวของเธอมาดูหน้าจอโฮโลแกรมต่อ
“ค่า~”
.
.
.
[พื้นที่ภูเขาไฟ]
ท่ามกลางป่าไม้ที่มีลมร้อนจากภูเขาไฟพัดผ่านมาเป็นระยะ หญิงสาวผมบลอนด์คนหนึ่งกำลังกินเบอรี่ป่าด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“การแข่งขันบ้านี่! ทำไมต้องใช้ระบบสุ่มเทเลพอร์ตด้วยนะ ว่าแต่สองคนนั้นถูกแหวนสุ่มให้ไปอยู่ที่ไหนล่ะเนี่ย ตั้งแต่เราหาพวกนั้นมาตั้งแต่ตอนเริ่มเกมก็กินเวลาไป 3 ชั่วโมงแล้วนะ! หรือจะถูกสุ่มไปอยู่พื้นที่อื่นจริงๆ? โอ๊ย ฉันเกลียดระบบสุ่มที่สุดเลย!” เรเชลบ่นออกมาแล้วนึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังสือสอนการเอาชีวิตรอดที่บอกว่าสิ่งแรกที่ต้องมองหาเป็นอันดับแรกคือแหล่งน้ำ จากนั้นเมื่อเจอแล้วก็สร้างที่อยู่ไว้ใกล้กับแหล่งน้ำ แต่สำหรับเธอแล้วเรื่องนี้ไม่สำคัญ ที่เธอคิดหาแหล่งน้ำนั่นก็เพราะอากาศของพื้นที่ภูเขาไฟแห่งนี้ทำให้เธอรู้สึกร้อนอบอ้าวและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก
“เอาล่ะ หาแหล่งน้ำแล้วสร้างที่อยู่ชั่วคราวก่อนดีกว่า!”
หลังจากบ่นและวางแผนเสร็จเรเชลก็ลุกขึ้นเก็บเบอรี่ป่าใส่กระเป๋ากางเกงจากนั้นก็ออกเดินทางตามหาแหล่งน้ำทันที
1 ชั่วโมงต่อมา
“เจอแล้ว!” หลังจากใช้เวลาสักพัก หญิงสาวก็เจอแม่น้ำสายหนึ่ง ด้วยความดีใจ เรเชลรีบวิ่งเข้าไปกวักน้ำขึ้นมาดื่มทันที
“อ๊าาา~ สดชื่นจริงๆ ถ้ามีไก่ทอดของคุณป้าร้านนั้นล่ะก็ หูย...เฮ้อ” หญิงสาวดีใจได้สักพักก็ทำหน้าเศร้า เพราะอีกตั้งหนึ่งเดือนกว่าเธอจะได้ออกไปกินไก่ทอดอีกครั้ง
แปร๊บบบ!
“โอ๊ย!?” จู่ๆเรเชลก็รู้สึกปวดที่หัวอย่างรุนแรง แต่ความเจ็บปวดนั้นอยู่ได้ไม่ถึงสามวิมันก็หายไป
“มีศัตรู!” เรเชลปลดปล่อยจิตสังหารแรงกล้าออกมาทันที จิตสังหารนี้ได้ทำให้เกิดคลื่นกระแทกจนน้ำรอบตัวเธอระเบิดกระจายออกไปเหมือนกับโดนอะไรฟัน แสดงถึงความแข็งแกร่งของเธอที่มีมากกว่าตอนเหตุการณ์ศูนย์วิจัยหลายเท่าตัว
เมื่อหญิงสาวปลดปล่อยจิตสังหารออกมาก็ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตปรากฏตัวให้เธอเห็น
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เรเชลก็คลายความระมัดระวังลงแล้วพูดกับตัวเองว่า
“เอ๋ ไม่มีใครอยู่เลยนี่ แปลกจังแฮะ...หรือว่าเราจะเป็นไมเกรน?” เรเชลสะบัดหัวเบาๆอย่างน่ารักขณะเอามือเกาหัวตัวเอง ก่อนจะกลับมากวักน้ำดื่มอีกครั้งหนึ่งอย่างมีความสุขโดยไม่คิดอะไรอีก
.
.
.
บนยอดไม้ต้นหนึ่งไม่ไกลจากแม่น้ำที่เรเชลอยู่มากนัก
“จะ เจตจิต!? ดาบ!? แถมยังอยู่ในขั้นที่สามารถตัดการเชื่อมจิตของเราได้อีก เป็นเจตดาบที่แข็งแกร่งจริงๆ ยัยนี่...น่าสนใจ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างของเจ้าของเสียงสั่นเล็กน้อยเพราะผลกระทบจากการที่การเชื่อมต่อโดนทำลาย ดวงตาของร่างนั้นจ้องมองไปที่เรเชลอย่างเงียบๆ
ตึกๆๆ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นห่างออกไปไม่ไกลจากที่นี่มากนักทำให้เรเชลหันไปมองตามเสียงนั้น รวมทั้งเงาร่างบนต้นไม้ที่เบนสายตาไปมองต้นกำเนิดเสียงด้วยเช่นกัน
ปรากฏเงาร่างของกลุ่มคนจำนวน 3 คนประกอบด้วยชาย 2 หญิง 1 กำลังเดินมาทางเรเชลด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเศษดินที่เกาะอยู่คล้ายกับว่าไปนอนคลุกดินมาอย่างไรอย่างนั้น
“ดูจากการที่เธอยังไม่เป็นอะไร โลกิคงจากไปแล้วสินะ” ชายในกลุ่มพูดขึ้นก่อนจะกวาดตามองสำรวจพื้นที่โดยรอบ
“โลกิ?” เรเชลพึมพำออกมาด้วยความสงสัย
“อ้อ เป็นฉายาของ 1 ใน 2 ผู้แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียนเทพสงครามร่วมกับ ‘อาชูร่า’ น่ะ” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มตอบ
“...” เรเขลที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าแต่ก็ไม่คลายความระมัดระวังลง
“เฮ้ๆ พวกฉันมาดีนะ สบายใจได้ อีกอย่าง...พวกเราเห็นแล้วว่าเธอทำอะไรได้ จิตสังหารระดับนั้นคงจัดการพวกฉันได้ในพริบตา พอรู้แบบนี้แล้วใครจะกล้าสู้กับเธอกันล่ะ ฮ่าๆ” ชายหนุ่มอีกคนพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา มือทั้งสองยกขึ้นมาทำท่าคล้ายยอมแพ้
“...แล้วพวกนายมาหาฉันทำไม?” เรเชลถามด้วยความสงสัยในเป้าหมายของทั้งสาม
“เพราะว่า...” ชายคนเดิมพูดด้วยรอยยิ้มสบายๆก่อนที่รอยยิ้มนั้นมันจะเปลี่ยนเป็นการแสยะยิ้ม จากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาว่า
“ตอนนี้ล่ะ!”
“!?”