วาเนสซ่า
“...สะ สุดยอด” เสียงหนึ่งดังออกมาด้วยความตื่นเต้นจากบนต้นไม้ใกล้เคียงโดยที่ไม่มีใครได้ยิน ก่อนที่เสียงนั้นจะเงียบหายไป
.
.
.
หลังจากจดการชายหนุ่มทั้งสองจนขยับตัวไม่ได้เรียบร้อย เรเชลก็หันไปมองหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มที่ยืนมองเธอด้วยใบหน้าหวาดกลัว
“ยะ ยอมแพ้แล่วค่าาา!” เธอกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกักพร้อมกับยกมือเป็นท่ายอมแพ้ ก่อนจะสลายโซ่ที่งอกออกมาจากด้านหลังให้หายไป
เรเชลที่เห็นดังนั้นก็ยังไม่คลายความระวัง หญิงสาวผมบลอนด์ค่อยๆก้าวเท้าถอยหลังให้ห่างจากทั้งสามคนไปเรื่อยๆ เมื่อมั่นใจว่าไกลพอแล้วเรเชลจึงหันหลังพุ่งตัวจากไปทันที
.
.
.
“อูยยย” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากชายหนุ่มที่เป็นมนุษย์หมาป่าที่พึ่งกลับสู่ร่างเดิม เขาค่อยๆชันเข่าลุกขึ้นโดยที่มือทั้งสองกำลังกุมจุดสำคัญที่ตอนนี้เละไม่มีชิ้นดีอยู่
“ฮึก...ลาก่อนเจ้าช้างน้อยของฉัน” ชายหน้าตอบคร่ำครวญออกมาอย่างน่าเวทนา
“เอาน่า เดี๋ยวมันก็หาย” แวร์วูฟหนุ่มเอามือวางบนไหล่ของเพื่อนเป็นการปลอบใจ
“เป็นนายก็พูดได้สิ นายสามารถรักษาตัวเองได้ง่ายๆนี่”
“...” ชายหนุ่มเถียงไม่ออกก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มด้วยความโมโหว่า
“นี่ยัยเด็กใหม่ ทำไมถึงไม่ทำตัวมีประโยชน์เลยฮะ พวกฉันอุตส่าห์ใจกว้างรับมาเป็นพวกตั้งแต่แรก แต่กลับไม่สามารถรั้งยัยคุณหนูตระกูลราธนั่นได้เลย ฉันไล่เธอออก! ไสหัวไปซะ!” ชายหนุ่มหัวหน้ากลุ่มตะคอกเสียงดัง
“ขะ ขอโทษค่ะ”
“เออ ถ้าเข้าใจแล้วก็รีบไปซะ” เขาสะบัดมือไล่หญิงสาว
“ขอโทษ...ที่พวกแกต้องตายอยู่ที่นี่!” เสียงที่ตะกุกตะกักฟังเข้าใจยากของหญิงสาวในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่เย็นชา
“!?”
ฉึก!
“อ๊ากกก!” ชายหน้าตอบร้องโหยหวนออกมา
“นี่เธอ!” ชายหนุ่มหัวหน้ากลุ่มที่ไหวตัวทันเริ่มกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าอีกครั้งทำให้หลบจากการโจมตีของหญิงสาวได้ทันท่วงที
สิ่งที่เขามองเห็นเมื่อมองไปยังหญิงสาวคือ ใบหน้าที่ดูธรรมดาในตอนแรกมีหมอกควันปรากฏขึ้นก่อนจะสลายหายไปแล้วมีใบหน้าที่หมดจดงดงามไร้ที่ติมาแทน ภายใต้แว่นทรงกลมที่ดูเขินอายในตอนแรกกลับกลายเป็นสีหน้าที่หยิ่งยโส ริมฝีปากที่สั่นตลอดเวลาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ราวกับจะเหยียดหยันทั่วหล้า ผมยาวสีดำสนิทปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่านมาอย่างสวยงาม
“เธอ! ทำไมถึง?...คาเซกิ! แก!” เมื่อชายหนุ่มหันไปมองเพื่อนของเขาก็พบว่าชายหน้าตอบถูกโซโลหิตสูบเลือดไปจนหมด ทำให้ร่างของเขาเหี่ยวแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แววตาของเขาไร้ซึ่งแววแห่งชีวิต
เพื่อนของเขาตายแล้ว!
“ปราณโลหิต! แกไม่ใช่ผู้ใช้ปราณโลหะหรอกเหรอ?”
“คิกๆ ข้าก็แค่ใช้วิชาเปลี่ยนสีของมันแค่นั้น เป็นเจ้าเองที่อ่อนหัดมองกลนี้ไม่ออก” หญิงสาวสวมแว่นยิ้มเยาะ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“อ้า รสชาติของผู้ใช้พลังแห่งสายลมนี่อร่อยจริงๆ อ๊ะ ข้าไม่ได้หมายความว่าข้ากินเขานะ แค่พลังปราณที่ดูดซับมาจากเลือดของเขามันทำให้รู้สึกเสียววาบในตัวเฉยๆน่ะ คิกๆ” หญิงสาวเอามือปิดปากหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเหลือบดวงตาคู่งามสีแดงทับทิมมองแวร์วูฟหนุ่ม
“ทีนี้ก็ถึงตาของเจ้าแล้ว ตอนแรกข้ากะจะใช้พวกเจ้าตามหาบางอย่าง แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วล่ะนะ เช่นนั้น...จงกลืนกิน...อสูรโลหิต!” กล่าวจบโซ่ที่งอกออกมาจากหลังของหญิงสาวก็หลุดออกมาจากหลังของเธอ ก่อนที่มันจะพุ่งตัวเข้าไปรัดร่างของชายหนุ่มที่ยังคงบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของหญิงสาวผมบลอนด์ทำให้เขาใช้กรงเล็บหมาป่าต้านทานการโจมตีนี้ได้ไม่นาน ก่อนที่ทั้งร่างของเขาจะถูกสูบเลือดจนหมดตัวและสูญเสียลมหายใจไป
“โอ๊ะ เจ้าชมชอบร่างของเจ้าหมอนี่งั้นเหรอ ก็ได้ ยึดร่างมันซะ” หญิงสาวที่สัมผัสได้ถึงความต้องการของสัตว์เลี้ยงโลหิตของเธอก็อนุญาตให้มันทำสิ่งที่ต้องการทันที
จากนั้นร่างของแวร์วูฟหนุ่มที่ถูกสูบเลือดไปจนหมดก็ได้ดูดซับอสูรโลหิตเข้าไป ร่างของมันก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจนกลายเป็น 4 เท่าของร่างกายมนุษย์ ขนสีน้ำตาลแปรเปลี่ยนเป็นขนสีแดงดุจโลหิต ดวงตาแดงก่ำจ้องมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกขอบคุณ
“ขอบพระคุณนายหญิง ในที่สุดข้าก็มีร่างกายเป็นของตัวเองเสียที” มันกล่าวออกมา
“อืม ต่อจากนี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่าไลคาออนละกัน” หญิงสาวสวมแว่นยิ้มอ่อนโยนให้สัตว์เลี้ยงของเธอ
“ขอรับ” ไลคาออนรู้สึกยินดีกับชื่อใหม่ของมันยิ่งนัก
“งั้นไปกันเถอะไลกี้”
“ขอ...ละ ไลกี้?”
“ทำไม ไม่ชอบที่ฉันเรียกแบบนี้เหรอ งั้นให้ฉันส่งนายกลับไปโลกมารดีมั้ย?”
“มะ ไม่ดีขอรับนายหญิง ข้าชอบชื่อที่ท่านเรียกยิ่งกว่าไลคาออนอีกขอรับ” ไลคาออนรีบตอบหญิงสาว มันกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้เธอเห็น
“ดีมาก แสนรู้อย่างนี้สิดี” หญิงสาวพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเดินนำไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งตรงข้ามกับทิศที่เรเชลเดินทางไป
“เอ่อ แล้วทำไมถึงไม่ตามเด็กสาวคนนั้นไปล่ะขอรับ?”
“ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมนุษย์น่ารังเกียจสองคนที่สร้างความขุ่นเคียงให้แก่ข้า และพวกมันยังเป็นเหตุผลให้ข้ามาที่แห่งนี้ด้วย ดังนั้นข้าจะปล่อยนางไปก่อน รอให้นางเจอกับพวกมันทั้งสองแล้วข้าค่อยจัดการให้หมดทีเดียว”
“แล้วท่านจะหานางเจอได้อย่างไรเหรอขอรับ”
“ด้วยสายใยโลหิตที่ข้าสัมผัสนางผ่านเจ้าเมื่อตอนเป็นโซ่ยังไงล่ะ เมื่อนางพบกับพวกมันคนใดคนหนึ่งข้าจะรู้ทันที” หญิงสาวกล่าวพร้อมชูนิ้วชี้ที่มีเส้นใยสีเลือดออกมาให้ไลคาออนดู
“หลักแหลมมากขอรับ มีเพียงเผ่ามารเท่านั้นที่จะสัมผัสถึงสายใยนี้ได้ สมแล้วที่นายหญิงเป็นถึงศิษย์เอกของจักรพรรดิโลหิต”
“ของมันแน่นอนอยู่แล้ว คิกๆ”
ฟุดฟิดๆ
“หืม เป็นอะไรเหรอไลกี้”
“ข้าได้กลิ่นมนุษย์...” ไลคาออนหันหน้าไปยังทิศทางหนึ่งบนต้นไม้ใหญ่
.
.
.
“แปลกมาก...กลิ่นหายไปแล้ว”
“เจ้าพึ่งจะได้รับร่างใหม่เลยยังไม่ชินล่ะมั้ง ไปกันเถอะ ข้าอยากเดินเล่นฆ่าเวลารอที่จะจัดการพวกมันสองคนก่อน อุตส่าห์ได้มาโลกที่มนุษย์ทั้งที จะไม่หาความสนุกเลยก็ไม่ได้ล่ะนะ”
“ขอรับ ท่านวาเนสซ่า”
[วาเนสซ่าคือเผ่ามารที่ราฟกับพัคแทยังเคยต่อสู้ด้วยในเหตุการณ์ศูนย์วิจัยสัตว์อสูรนะครับ]