ลมหายใจมหานที
หลังจากที่เห็นว่าลูกเสือน้อยพอใจกับชื่อนี้แล้ว ชายหนุ่มก็กรีดเลือดทำสัญญากับมันตามที่เคยได้เรียนรู้มาทันที
‘นายท่าน’ เสียงที่ดูเหมือนเด็กผู้ชายดังขึ้นมาในหัวของพัคแทยัง ทำให้เขายิ้มออกมาด้วยความดีใจ เพราะการใช้ชีวิตต่อจากนี้คงจะไม่เหงาอีกต่อไป
“นี่คือการสื่อสารทางจิตสินะ” ชายหนุ่มตาทองอุ้มโมจิขึ้นมาในระดับสายตา
‘นายท่าน ข้าเหนื่อยมากเลย ท่านต้องแก้แค้นให้ข้านะแง๊ว! พวกคนใจร้ายเมื่อกี้มันแอบลักพาตัวข้าโดยใช่กลบางอย่างทำให้ท่านแม่ไม่สามารถรับรู้ตัวตนของพวกมันได้ ท่านช่วยพาข้ากลับไปหาท่านแม่ที่ถ้ำแรกทิวาที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ไม่ไกลนักได้หรือไม่ ข้าอยากขอให้ท่านแม่ข้าตามล่าพวกมันแง๊ว!’ โมจิคำรามออกมาด้วยอารมณ์โมโห แต่มันกลับดูน่ารักน่าชังในสายตาของชายหนุ่มตาทองแทน
“แม่ของนาย? พยัคฆ์ทิวาน่ะเหรอ? จะว่าไปมันก็แปลกมากๆเลยแฮะ ทำไมอสูรระดับ SS ถึงมาอยู่ในการแข่งขันที่มีระดับความอันตรายแค่ S ได้ล่ะ?” พัคแทยังกุมคางพลางครุ่นคิด
‘เรื่องนั้นข้าได้ยินท่านแม่บอกว่าท่านถูกมนุษย์สติเฟื่องคนหนึ่งยื่นข้อเสนอให้มาอาศัยอยู่ที่เกาะนี้โดยไม่ต้องทำอะไร แค่ใช้ชีวิตตามปกติ โดยแลกกับการที่เขาสัญญาว่าจะทำให้นางกลายเป็นอสูรระดับ SSS นางจีงตอบตกลงทันทีแง๊ว’
“อย่างนี้นี่เอง...หืม? มีคนอยู่ที่เกาะนี้นอกจากผู้เข้าแข่งขันอย่างพวกฉันด้วยงั้นเหรอ หรือว่าแผ่นดินไหวเมื่อกี้จะเป็นฝีมือของเขา?...เดี๋ยวก่อนนะ ตามตำราอสูรระดับ SS พยัคฆ์ทิวาต้องตัวสูงใหญ่อย่างน้อย 15 เมตรไม่ใช่เหรอ ขนาดตัวที่ใหญ่พอจะเป็นจุดสนใจของทุกคนในพื้นที่นี้แบบนั้นทำไมฉันถึงไม่เห็นแม้แต่เงาของแม่นายเลยล่ะ แปลกจังแฮะ ดวงตาของฉันมันดีมากนะ” พัคแทยังขมวดคิ้ว
‘เป็นเพราะท่านแม่ของข้าแปลงกายเป็นมนุษย์น่ะแง๊ว’
“จริงสิ อสูรที่เข้ามาสู่ระดับ SS งั้นนายนำทางฉันไปหาแม่ของนายเลย”
‘ได้ขอรับ จากที่ข้าสัมผัสได้ผ่านสายสัมพันธ์โลหิต ท่านแม่น่าจะอยู่ทิศตะวันออกนะขอรับ’
“โอเค งั้นเกาะดีๆนะ” พัคแทยังจับโมจิมากอดไว้ตรงอกก่อนจะโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อเตรียมใช้ท่าร่างของเขา
“ประกายแสงสุริยัน”
แว๊บ
“แง๊วววววววววววว” ทันทีที่สิ้นเสียงของชายหนุ่ม เสียงกรีดร้องโหยหวนของอสูรตัวน้อยก็ดังขึ้นก่อนจะค่อยๆจางหายไป ความหมายของเสียงร้องนั้นเมื่อแปลงเป็นเสียงของเด็กชายก็จะหมายความได้ว่า...
‘อ๊ากกก นายท่าน ระ...เร็วเกินไปแล้ว ข้ารับไม่หวายยย อะเหื้อ!’
หลังจากนั้นเป็นต้นมา อสูรสายเลือดพยัคฆ์ทิวาผู้น่าเกรงขามนามว่าโมจิก็หวาดกลัวการเดินทางด้วยความเร็วแสงของพัคแทยังจนต้องขอเข้าไปหลบอยู่ในแหวนมิติของชายหนุ่มก่อนเดินทางอยู่ร่ำไป
.
.
.
ณ สถานที่ที่เคยมีการต่อสู้ระหว่างผู้ใช้พลังสุริยันและวารีเกิดขึ้น ผลจากการต่อสู้นั้นได้ทำให้พื้นที่โดยรอบบริเวณกลายเป็นไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่ เว้นแต่เพียงร่างไหม้เกรียมร่างหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในใจกลางสถานที่แห่งนั้น
แปะ
แปะ
แปะๆๆๆ...
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทั่วพื้นที่แห่งนี้ เริ่มจากหนึ่งแล้วเพิ่มเป็นร้อย เป็นพัน จากนั้นเสียงนี้ก็ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับว่าจะไม่มีวันหยุด
เมื่อมันทะลุผ่านใบไม้ลงมาหยดบนร่างที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ บางสิ่งก็เกิดขึ้น
ซู่...
“อาาา...” จู่ๆร่างที่ดูเหมือนไร้ชีวิตก็ลืมขึ้นมา ดวงตาที่เบิกกว้างมองผ่านใบไม้นับพันไปบนท้องนภาสีเทาหม่นที่กำลังโปรยหยาดพิรุณลงมาอาบไปทั่วร่างของเขา
“ฝน...มันเกิดอะไรขึ้น?...งั้นเหรอ...นี่ข้าแพ้ไอ้หน้าหล่อนั่นงั้นสินะ?” พูดจบเจ้าตัวก็ค่อยๆดันร่างที่นอนอยู่กับพื้นของตนขึ้นมานั่งพิงกับโคนต้นไม้ ก่อนจะยกมือที่เริ่มฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติขึ้นมาดู
“นี่ข้าถูกวิชาลับ ‘ลมหายใจมหานที’ ที่แอบขโมย...เอ๊ย ยืมท่านปู่มาฝึกโดยไม่ได้รับอนุญาตช่วยชีวิตเราไว้สินะ” หลังจากชายหนุ่มผมฟ้าที่ฟื้นขึ้นมาสำรวจร่างกายเสร็จเขาก็ยิ้มออกมา
“ไม่คิดเลยว่าคำกล่าวอ้างที่ว่าหากฝึกสำเร็จจะทำให้ผู้ฝึกสามารถฟื้นฟูร่างกายได้ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสเพียงใด หากมีน้ำเพียงพอก็หายได้ภายใน 1 นาทีเนี่ย ถึงว่าทำไมวิชาบ้านี่มันฝึกยากนัก” หลิวหยางพูดพลางนึกถึงวันวานที่ได้ฝึกวิชานี้ ตัวของเขาต้องดำน้ำลึกกว่า 500 เมตรเพื่อดูดซับปราณวารีพิสุทธิ์ที่มีเพียงใต้สมุทรลึกอย่างน้อย 500 เมตรขึ้นไปเท่านั้น และต้องทำทุกวัน วันละ 12 ชั่วโมง นานถึงหกเดือนโดยที่เข้าไม่ได้บอกใครในตระกูลเลย ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ของเขา และถ้าไม่ได้หน้ากากมิติรูปแบบสายลมช่วยไว้ เขาคงตายไปแล้ว เพราะมันจะทำให้ผู้สวมใส่มีอากาศให้หายใจอย่างต่อเนื่องตามที่ได้ดูดอากาศเก็บไว้
ส่วนถ้าถามว่าทำไมไม่ลงไปลึกกว่านี้น่ะเหรอ ก็เพราะว่าปรมาจารย์ผู้คิดค้นวิชานี้ได้กล่าวไว้ว่าต่อให้ลงลึกไปมากกว่านี้ก็ไม่ได้ทำให้สามารถดูดซับปราณได้เพิ่มขึ้น แล้วเขาจะโง่ลงไปให้ลึกกว่านี้ทำไม แค่นี้ก็ต้องทนแรงดันมหาศาลเหมือนการโดนภูเขากดทับแล้ว
การที่เขาฝึกวิชานี้สำเร็จนั้น นอกจากจะทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้แล้ว ยังทำให้พลังกายของเขาเพิ่มมากกว่าผู้ใช้พลังสายเสริมร่างกายนับร้อยเท่าจนเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับอสูรเผ่ายักษาเลยทีเดียว
“เหอะ มีพลังกายระดับยักษาแล้วยังไง โดนพลังความร้อนของเจ้านั่นทีเดียวก็ไหม้เป็นเนื้อย่างแล้ว...ด้วยความเก่งกาจนี้ไอ้หน้าหล่อนั่นคงแข็งแกร่งที่สุดในการแข่งขันนี้แล้วสินะ คอยดูเถอะ ข้าจะกลับไปฝึกแล้วเอาชนะมันให้ได้!” เมื่อคิดได้ดังนั้นชายผมฟ้าก็ถอนหายใจออกมาอย่างเลื่อนลอยเพราะนี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกของเขา เขารู้จากการสบตากันว่าชายคนนั้นไม่ได้ตั้งใจสังหารเขา เขาจึงไม่คิดอาฆาตใดๆ มีเพียงความตื่นเต้นที่ได้เจอคู่ปรับตัวฉกาจแทน
หลิวหยางอยู่กับตัวเองได้ไม่นานก็เห็นร่างทั้งเจ็ดวิ่งมาหาเขา...เหล่าลูกน้องของเขาได้กลับมากันแล้ว
“นะ นายน้อย!?”