ตราประทับตะวันฉาย
“เรียกใครแม่ยะ! ข้าแค่รับเจ้ามาเลี้ยงต่อจากท่านจักรพรรดิที่สวรรคตไปในสงครามเทพอสูรเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าโตมาจะกลายเป็นเด็กดื้อเช่นนี้ ไม่เหมือนบิดาของเจ้าที่ทั้งน่าเกรงขามและมีความเป็นผู้นำเลย” กล่าวจบหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“ข้าไม่สน! ข้าจะเรียกท่าว่าท่านแม่...อ๊ะ จริงสิ ท่านแม่ ข้าถูกพวกมนุษย์ใจร้ายโจมตีข้าด้วย ถ้าไม่ได้นายท่านคนนี้ช่วยไว้ข้าคงกลายเป็นทาสของพวกมันไปแล้ว ท่านต้องช่วยข้าล้างแค้นนะขอรับ! แง๊ว!”
เด็กชายถูกหญิงสาวเขกหัวอีกรอบ ก่อนที่ไป๋เสวี่ยฉีจะพูดออกมาว่า
“เลิกพูดจาโกหกได้แล้ว คิดว่าข้าไม่รู้เหรอว่าเป็นเจ้าที่เริ่มก่อน เจ้านึกสนุกและอยากแกล้งมนุษย์พวกนั้นจึงควบรวมแสงให้เผาเสื้อผ้าของพวกเขา หวังให้พวกเขาแข่งขันแบบไร้อาภรณ์ แต่ทำไม่สำเร็จเพราะมีคนที่มีพลังวารีดับไฟได้ เจ้าเลยถูกพวกเขาตามล่าแบบนั้น! เหยี่ยววายุที่ข้าส่งไปแอบตามเจ้าไปอย่างลับๆรายงานข้าหมดแล้ว ดังนั้นอย่าหวังว่าข้าจะช่วยเจ้าเลยเจ้าเด็กดื้อ!”
“ง่า...ท่านรู้หมดเลยนี่ จะ เจ้าเหยี่ยว! คอยดูเถอะ สักวันข้าจะจับเจ้าทำเหยี่ยวอบฟาง!” เด็กชายหันไปโวยวายใส่เหยี่ยววายุที่กำลังเกาะกิ่งไม้มองพวกเขาอยู่เงียบๆจนตัวสั่น
“ไป๋ลู่! อย่าไปพาลใส่เขาสิ เจ้าเด็กนี่ เห้อ เอาเป็นว่านับแต่นี้ไปเจ้าจะวันได้ออกไปก่อเรื่องที่ไหนอีก นี่คือคำสั่ง!” ไป๋เสวี่ยฉียื่นคำขาด
“ไม่นะ!” เด็กชายทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความเศร้าใจ ก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างได้แล้วเงยหน้าไปมองพัคแทยังก่อนจะหันมามองแม่เลี้ยงของเขาว่า
“ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้! เพราะข้าทำสัญญาอสูรกับนายท่านแล้ว ดังนั้นข้าต้องติดตามเขาต่อ”
“...” เมื่อหญิงสาวได้ยินดังนั้นเธอก็หันมามองหน้าแขกผู้ไม่ได้รับเชิญเป็นครั้งแรก
“เจ้า!” เมื่อมองได้ครู่หนึ่ง หญิงสาวก็เผยรอยยิ้มอันแสนงดงามออกมา
“วะ เหวอ ท่านแม่ยิ้ม!? สยองโครต! เอ๋ง!”
“ต้องให้ข้าเขกเจ้าอีกกี่รอบถึงจะยอมอยู่เงียบๆหา!? อีกอย่างเสียงร้องนั่นมันอะไรกัน? ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าจะไปเล่นกับพวกเด็กเผ่าหมาป่าก็อย่าติดการร้องแบบนั้นมา เสียชาติพยัคฆ์หมด เห้อ...ช่างเถอะ” ไป๋เสวี่ยฉีหลับตาสงบสติอารมณ์ก่อนจะหันมามองพัคแทยังอีกครั้งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนว่า
“ไม่ได้พบกันนาน องค์ชายพัค แห่งแดนเทวะที่ล่มสลาย”
“!?” พัคแทยังขมวดคิ้วก่อนจะสะบัดมือเรียกหอกเทพสงครามออกมาจากความว่างเปล่าแล้วตั้งท่าพร้อมรบด้วยใบหน้าเคร่งเครียด คนที่รู้จักตัวตนของเขามีเพียงเหล่าเทพอสูรระดับจักรพรรดิและผู้พิทักษ์ระดับ SSS ที่เข้าร่วมสงครามครั้งก่อนเท่านั้น แล้วทำไมอสูรสาวตนนี้ถึงรู้จักเขากัน?
“ใจเย็นน่าองค์ชาย ข้าไม่คิดที่จะชิงแก่นเทวะจากท่านหรอก ถ้าไม่เชื่อก็ดูนี่” ไป๋เสวี่ยฉีหันหลังให้พัคแทยังก่อนจะดึงผ้าส่วนบนของเธอลงมาเผยให้เห็นไหล่ขาวเนียนจนชายหนุ่มรีบหันหน้าที่แดงก่ำของเขาออกไปทางอื่น
“คิกๆ อ่อนหัดจริงๆนะท่านเนี่ย แค่เห็นสตรีปลดเปลื้องอาภรณ์นิดหน่อยก็ไปไม่เป็นแล้ว” หญิงสาวหัวเราะเบาๆก่อนจะกล่าวต่อ
“ดูสัญลักษณ์นี่สิ” สัญลักษณ์ที่หญิงสาวพูดถึงคือ สัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์สีทองอร่ามแสนสวยงามบนไหล่ซ้ายด้านหลังของหญิงสาว
พัคแทยังสงบสติอารมณ์ก่อนจะค่อยๆหันมามองหญิงสาว
“นี่มัน!” ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสาวแล้วเอื้อมมือขวาที่ไม่ได้ถือหอกเทพสงครามอยู่ไปจับสัญลักษณ์นั้น
“ตราประทับตะวันฉาย”
‘บุตรแห่งข้าเอย จงจำไว้ให้ดี ยามใดที่เจ้าพบสัญลักษณ์รูปดวงตะวันนี้ พึงรู้ไว้ว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรแห่งภาคีสุริยัน นั่นคือเจ้าได้พบกับสหายที่จะไม่มีวันทรยศเจ้า พลังของตรานี้มีอำนาจยิ่งกว่าคำสาปแห่งผู้ทรยศเสียอีก และเมื่อใดที่เจ้าสัมผัสตรานั้น หากมันเป็นของจริงตรานั่นจะทำปฏิกิริยากับปราณในตัวเจ้าแล้วเปล่งแสงสุริยันออกมา’
คำพูดที่บิดาของเขาได้กล่าวไว้เมื่อกาลก่อนหวนให้เขานึกถึงอีกครั้ง
“ผู้ใดมีตรา...” ชายหนุ่มตาทองเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาประโยคหนึ่ง
“ผู้นั้นคือสมาชิกแห่งภาคี” ไป๋เสวี่ยฉีกล่าวประโยคต่อมาด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
เมื่อพัคแทยังสัมผัสกับตรานั้น เขาก็รู้สึกเหมือนปราณในร่างถูกดูดกลืน ก่อนที่ตราประทับตะวันฉายจะเปล่งแสงออกมาอย่างสวยงาม
เมื่อแสงสว่างดับลง หญิงสาวเดินเข้าไปหาชายหนุ่มก่อนจะดึงเขาเข้ามาสวมกอด
“อื้อ?” พัคแทยังที่อยู่ๆก็ถูกจับหัวกดใส่หน้าอกของหญิงสาวที่ยังไม่ได้สวมชุดกลับเป็นเหมือนเดิมเริ่มหายใจไม่ออก
“โตขึ้นเยอะเลยนะ เจ้าเด็กน้อยหน้ามึน พี่สาวคิดถึงเธอมากนะรู้มั้ย! แอร๊ย!” ไป๋เสวี่ยฉีกอดรัดฟัดเหวี่ยงพัคแทยังอย่างมีความสุข
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนจมอยู่ในบางสิ่งที่เนียนนุ่มที่สุดเท่าที่เขาเคยสัมผัส เขาพยายามผลักหญิงสาวออกไปแต่กลับไม่สามารถต้านแรงของหญิงสาวได้เลย
“ระ เราเคยรู้จักกันงั้นเหรอ?”
‘พลังกายระดับนี้ไม่ใช่อสูรระดับ SS ธรรมดาแล้ว พี่สาวคนนี้...ครึ่งก้าวสู่จักรพรรดิ!?’
“อื้ม ข้าเคยเล่นกับเจ้าเมื่อตอนที่ติดตามท่านจักรพรรดิพยัคฆ์เดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับบิดาของเจ้าจักรพรรดิเทวะที่วังนภาสวรรค์อยู่บ่อยครั้ง ถึงจะเรียกว่าติดตามแต่ข้าก็แค่ไปเที่ยวเล่นเท่านั้นล่ะนะ เจ้ายังจำข้าไม่ได้อีกมั้ย? เจ้าเด็กหน้ามึน” ไป๋เสวี่ยฉีคลายอ้อมกอดจากพัคแทยังเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เขาออกไปจากวงแขนของเธอ
“...” ชายหนุ่มพยายามนึกถึงเรื่องราวในอดีต ก่อนที่ภาพของเด็กชายผมขาวที่อายุมากกว่าเขา 5 ปีจะปรากฏขึ้นในหัวของเขา
“อ๊ะ พี่ชายเสวี่ย!”
กึก!
ไป๋เสวี่ยฉีถึงกับไปต่อไม่ถูก เธอขมวดคิ้วก่อนจะใช้สองมือดึงแก้มของพัคแทยังจนใบหน้าของเทพหนุ่มบิดไปมา
“ข้าเป็นสตรีย่ะ นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นผู้ชายมาตลอดเลยงั้นเหรอ!?”
“เอ่อ...ใช่” พัคแทยังตอบหน้าตาย ก่อนที่เขาจะพึ่งรู้ตัวว่าใบหน้าของเขากำลังซุกอยู่กับอะไร ชายหนุ่มก็ใจเต้นอย่างรุนแรงจนสลบคาอกของหญิงสาว
“เห...ใสซื่อกว่าที่คิดแฮะ คิกๆ” หญิงสาวใช้มือซ้ายลูบหัวของชายหนุ่มที่เธอเฝ้าคอยคิดถึงมาอย่างยาวนานด้วยความอ่อนโยน
“ท่านแม่ ทำไมท่านไม่เอ็นดูข้าอย่างนายท่านบ้างอ่ะ” โมจิ หรือชื่อเดิมคือไป๋ลู่บ่นอย่างน้อยใจ
“เพราะเจ้ามันดื้อและซนเกินไปยังไงล่ะ ดังนั้นจงทำตัวเป็นเด็กดีซะ” ไป๋เสวี่ยฉีเขกหัวของเด็กชายอีกคราก่อนจะโยนหอกเทพสงครามของพัคแทยังไปให้โมจิถือ จากนั้นหญิงสาวก็อุ้มร่างของชายหนุ่มที่สลบเพราะ ‘บางสิ่งที่เนียนนุ่ม’ ในท่าอุ้มเจ้าหญิงเข้าสู่ตำหนักของพวกเธอ
“...” โมจิได้แต่มองแม่เลี้ยงของเขาพานายท่านเข้าสู่ตำหนัก ก่อนจะเบะปากคล้ายจะร้องไห้จากนั้นก็เดินแบกหอกเทพสงครามตามทั้งสองไป