Chapter 39 : ปราสาท? บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป?
โลกแห่งสุสานนี้ใหญ่โตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เลย
ในวันแรกๆการที่ผู้เล่นจะมาเจอกันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักไม่ต้องกล่าวถึงการเจอกันมากกว่าหนึ่งคนเลย
ซาเวียพบกับชาร์ลที่เป็นทหารพรานเก่าเป็นคนแรกจากนั้นจึงมาเจอกับชายหนุ่มนามว่าพอลทีหลัง
ชาร์ลเคยเป็นทหารมาก่อนจึงมีความสามารถในการต่อสู้ค่อนข้างโดดเด่น
ในวันแรกเพียงแค่สุสานแห่งแรกที่เขาขุดเข้าไปเขาก็พบเข้ากับสัตว์อสูรแห่งสุสานแล้ว
เขาต้องใช้ความพยายามไปมหาศาลกว่าจะสังหารมันลงได้
หลังจากนั้นเขาก็ผ่านการต่อสู้เป็นตายมาทุกวัน ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาค่อนข้างทรงพลังมากและตัวเขายังมีอาวุธรูนในครอบครองอีกด้วย
พอลกับซาเวียอาจจะอ่อนแอกว่าแต่หลังจากได้พบกับชาร์ลความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นมา
ดูเหมือนไม่ว่าพวกเขาจะพบอะไรชาร์ลผู้เจนจัดก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกครั้งไป
แต่กับปราสาทที่อยู่ตรงหน้าของพวกนี่พวกเขาควรจะทำยังไงดี?
พวกเขามองไปที่ชาร์ลโดยหวังว่าชาร์ลผู้รอบรู้จะให้คำอธิบายที่เหมาะสมแก่พวกเขาได้
ชาร์ลผู้มีท่าทีหนักแน่นส่ายหัวแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ฉันเจอกับปราสาทแบบนี้ ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยเจออะไรแบบนี้ในสุสานมาก่อนเลย”
…
“พี่ชาร์ลถ้างั้นพวกเราจะเอายังไงดี? หรือในเกมนี้จะมีNPCsอยู่ด้วย?” ซาเวียกล่าวเสียงแผ่ว
เธอกลัวว่าถ้าเสียงดังเกินไปอาจจะทำให้สิ่งมีชีวิตในปราสาทตื่นตัวขึ้นมา
ปราสาทโบราณที่จู่ๆก็โผล่มาในสุสานแบบนี้แน่นอนว่าต้องมีอะไรประหลาดๆอยู่ภายใน
“คิดว่าเป็นไปได้เหมือนกันนะ”
หนุ่มน้อยพอลพยักหน้าเห็นด้วย
ชาร์ลคิดอยู่ซักพักแล้วพูดขึ้น “อย่าเพิ่งเข้าไปใกล้มาก ลองเดินดูรอบๆปราสาทก่อน ถ้ามีอันตรายใดๆเราจะทำการขุดออกไปจากตรงนี้ทันที อ่ออย่าลืมตรวจสอบบริเวณรอบๆด้วยว่ามีหีบสมบัติอะไรอยู่รึเปล่า”
“รับทราบ”
ทั้งสองตบปากรับคำ
“ไปเถอะ”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยังกังวลอยู่ชาร์ลก็พูดขึ้นยิ้มๆ “ไม่ต้องห่วงที่นี่ไม่มีอันตรายหรอก ไม่แน่ว่าบางทีในปราสาทนั่นอาจจะมีทรัพยากรซ่อนอยู่เยอะแยะเลยก็ได้”
พวกเขาไม่ได้คิดว่าปราสาทนี้จะเป็นของผู้เล่นเลยแม้แต่น้อย
ฐานรูนของทุกๆคนมีลักษณะเหมือนกันดังนั้นแล้วบ้านหินพังๆจะกลายเป็นปราสาทโบราณได้ยังไง?
“ตามมาเถอะ”
ชาร์ลออกเดินนำ
ในบรรดาคนทั้งสามเขาคือคนที่มีอุปกรณ์สวมใส่ดีที่สุด โดยที่ในมือของเขาถือมีดรูนเอาไว้และมีเกราะเบาระดับสมบูรณ์คอยปกป้องร่างกาย
ซาเวียเองก็มีมีดรูนเหมือนกัน
แต่เนื่องจากมีรูนไม่พอพอลจึงมีแค่มีดชั้นเยี่ยมเท่านั้น
คนทั้งสามเดินมาจนถึงบริเวณด้านหน้าของปราสาทโบราณ
ประตูของปราสาทปิดล็อคเอาไว้แน่นหนา
เห็นดังนี้พวกเขาก็เริ่มวนดูรอบๆปราสาท
พวกเขาจะทิ้งระยะห่างจากปราสาทโบราณราวๆสิบเมตรอยู่ตลอดและทันใดนั้นเองซาเวียก็ชะงักเท้าเมื่อได้กลิ่นอะไรแปลกๆมาแตะจมูก
“พวกคุณได้กลิ่นเหมือนกันไหม? มันดูเหมือน...”
“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป?”
ใช่แล้วเป็นกลิ่นของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป!
พวกเขาทั้งสามสบตากันแล้วอดกลืนน้ำลายไม่ได้
พวกเขาเพิ่งจะกินเนื้อย่างกับขนมปังมาไม่นานแต่เอาตรงๆแล้วรสชาติของสิ่งที่พวกเขากินเข้าไปมันจืดชืดเป็นอย่างมาก
เครื่องปรุงก็ไม่มีนี่หว่า!
พวกเขาพยายามยับยั้งชั่งใจไม่เอาอาหารกับเครื่องดื่มไปแลกกับเครื่องปรุงเพราะเกรงว่าจะเจอทางตันเข้าซักวัน
ตอนนี้พอมาได้กลิ่นของบางสิ่งบางอย่างที่ดูคล้ายกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเช่นนี้จึงทำให้น้ำลายของพวกเขาไหลท่วมปาก
ท้องของพวกเขาร้องครวญครางออกมาอย่างอดไม่อยู่
“ไม่น่าจะเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้สิจริงไหม?”
“น่าจะเป็นกลิ่นของอย่างอื่น ไปตรวจสอบต่อเถอะ!”
คนทั้งสามเดินวนอยู่รอบๆปราสาทจนมาถึงอีกฝั่งของปราสาทในที่สุด
“ดูตรงนั้นเร็วข้างบนน่ะ!”
ดวงตาของพอลค่อนข้างฉับไว เขาสังเกตุเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งอยู่บนระเบียงชั้นสองของปราสาท
ซาเวียขยี้ตาเล็กน้อยก่อนอุทานออกมา “นั่นดูเหมือนว่าจะเป็น...ไคลน์!”
“อะไรนะ?”
ชาร์ลกับพอลเองก็ตกใจเช่นกัน “ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ได้?”
“ชั้นก็ไม่แน่ใจแต่ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังทำอาหารกลางวันอยู่ หรือที่เขาทำอยู่นั่นจะเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป?”
คนทั้งสามคาดเดาถึงความเป็นไปได้และก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
‘ห่านจิก เจ้าหมอนี่จะทำตัวชิลๆเกินไปหน่อยแล้วมั้ง วิถีชีวิตแบบนี้ใครเห็นก็คงอิจฉาแหละ!’
‘เราควรจะเข้าไปหาเขาไหม?’
‘ทำไมจะไม่ล่ะ? บางทีอาจจะดึงเขาเข้าทีมได้ก็ได้ นอกจากนี้ยังอยากถามเขาเรื่องปราสาทโบราณนี้ด้วย’
ชาร์ลที่ตัดสินใจได้แล้วจึงเดินนำคนทั้งสามเข้าไปใกล้ๆปราสาทโบราณ
บนระเบียงไคลน์กำลังฮัมเพลงไปทำบะหมี่ไปด้วยท่าทีสบายอารมณ์
แต่ทันใดนั้นเองเขาก็ก้มหน้ามองลงไปยังด้านล่างตามสัญชาตญาณ
และเมื่อเห็นเงาคนที่กำลังเข้ามาใกล้ปราสาทเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพึมพำออกมา “กลุ่มผู้เล่นอีกแล้ว? โผล่มาในเวลาแบบนี้นี่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นทีมสามคนด้วย
ถ้าพวกนั้นไม่ได้มาดีถ้างั้นมื้ออาหารกลางวันของเขาก็คงต้องเลื่อนออกไปอีกซักพัก
สตรีเพียงคนเดียวที่อยู่ด้านล่างตะโกนขึ้นมา “ขอโทษนะคะคุณใช่ไคลน์ไหม?”
ไคลน์จับราวระเบียงไว้และมองลงไปยังคนทั้งสามก่อนเอ่ยออกมาเสียงเย็น “พวกคุณสามคนต้องการอะไร? ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ากวนแล้วขอให้ฉันได้กินบะหมี่อย่างมีความสุขเถอะ”
บรรยากาศโดยรอบเงียบลงในพริบตา
หลังจากผ่านไปอีกครู่หนึ่งไคลน์จึงกล่าวออกมาเสียงดัง “คุณไคลน์ผมชื่อชาร์ลแล้วก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมามาก! สองคนนี้คือเพื่อนร่วมทีมของผมเอง ผมแค่อยากจะถามคุณว่าสนใจจะเข้าร่วมทีมกับพวกเราไหม”
“คุณน่าจะรู้ว่ายิ่งคุณขุดสุสานไปลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องเผชิญกับอันตรายมากเท่านั้น สัตว์อสูรแห่งสุสานมีแต่จะทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการที่มีเพื่อนร่วมทีมคอยดูแลกันและกันโอกาสรอดก็จะเพิ่มมากขึ้น”
สีหน้าของไคลน์ยังคงเย็นชา
คนทั้งสามด้านล่างได้แต่สบตากันเพราะทำอะไรไม่ถูก
“...คุณไคลน์อย่างน้อยผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
ท่าทีของชาร์ลยังคงสุภาพไม่เปลี่ยน
การที่เอาชีวิตรอดมาได้เพียงลำพังตั้งหลายวันเป็นตัวพิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา
ไคลน์ชะงักไปซักพักก่อนจะเอ่ย “ถามมาแล้วก็รีบไปเถอะ”
ชาร์ลกล่าวเสียงดัง “คุณไคลน์ปราสาทนี้คือสิ่งก่อสร้างพิเศษในสุสานใช่หรือเปล่า? พวกเราแค่อยากจะทราบข้อมูลตรงนี้เท่านั้น ในอนาคตถ้าไปเจออะไรแบบนี้เข้าพวกเราจะได้เตรียมตัวถูก”
“ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างพิเศษในสุสานหรอก” น้ำเสียงของไคลน์เริ่มอ่อนลงและกล่าวออกมาอย่างขี้เล่น “อยากเข้ามาดูข้างในไหมล่ะ?”