129 - ถูกจำได้
129 - ถูกจำได้
หนึ่งเดือนเต็มต่อมา ยอดฝีมือขั้นสูงสุดสามคนของแดนศักดิ์สิทธิแสงโชติช่วง ตระกูลเจียงและตระกูลจี้ได้ทำงานร่วมกันเพื่อเข้าสู่ส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้าม
คราวนี้ยังมีผู้ฝึกตนหลายคนที่คิดจะติดตาม แต่ส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ก็เพื่อชมความสนุกสนานเท่านั้น ผู้คนมากมายยังคงรออยู่ด้านนอกและไม่คิดจะเอาตัวเองไปเสี่ยงอย่างไม่จำเป็น
“เย่ฟ่านนี่เจ้าเอง!”
ในบริเวณรอบนอกของพื้นที่ภูเขา หญิงสาวที่งดงามมีสีหน้าประหลาดใจ ร่างสูงของนางโค้งมนในทุกที่ ใบหน้าที่งดงามของนางเชิดขึ้นเล็กน้อยเป็นรัศมีที่แปลกและน่าหลงใหล
“หลินเจี๋ย!”
เย่ฟ่านตกใจเขาไม่คิดว่าจะพบหลินเจี๋ย เขารู้มานานแล้วว่าหลินเจี๋ย โจวยี่ หวังจื่อเหวินและหลี่เสี่ยวม่านอยู่ในเมืองเล็กๆข้างหน้า
คราวนี้ทั้งสามฝ่ายวางแผนที่จะทำงานร่วมกันและเรียกพวกเขามาอีกครั้ง มีแนวโน้มว่าพวกเขาจะถูกผลักดันเข้าสู่ดินแดนโบราณต้องห้ามในครั้งต่อไป
ไม่ไกลนัก ทหารม้าที่ทรงพลังหลายคนได้ยินเสียงนั้นก็รีบเข้ามาที่นี่อย่างรวดเร็ว
“เขาเป็นเพื่อนข้า อย่าเข้าใจผิด” หลินเจี๋ยรีบตะโกนขณะที่ทหารม้าเหล่านั้นหยุดทันที
"พวกเขาคือ…?"เย่ฟ่านถาม
“พวกเขาเป็นคนของแดนศักดิ์สิทธิแสงโชติช่วง เมื่อใดก็ตามที่ โจวยี่ หวังจื่อเหวิน หลี่เสี่ยวม่าน หรือตัวข้าต้องการที่จะออกมา จะมีคนคอยเฝ้าอยู่เคียงข้างเสมอ”
เมื่อพูดเช่นนี้หลินเจี๋ยก็ส่ายหัว
“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องภายในโลกแห่งผู้ฝึกฝน แม้ว่าข้าจะพูด เจ้าก็ไม่เข้าใจ โลกของผู้ฝึกฝนภายในดินแดนรกร้างตะวันออกกำลังยุ่งเหยิง”
เมื่อมองไปที่เย่ฟ่านตั้งแต่หัวจรดเท้านางถามว่า
“เจ้ามาที่นี่ทำไม? สามปีที่ผ่านมาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เย่ฟ่านยิ้ม “ข้าทำได้ดีมาก ทุกอย่างราบรื่นดี”
“หากเจ้ามีปัญหาใดๆเจ้าสามารถแบ่งปันกับข้าได้ บางทีข้าอาจสามารถช่วยเจ้าแก้ปัญหา”
“ตอนนี้ข้าไม่มีปัญหาอะไร ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าที่ฟื้นคืนความเยาว์วัยกลับมาจนงดงามดั่งดอกไม้อีกครั้ง”
“เจ้าอยากถูกตีเหรอ?” หลินเจี๋ยจ้องไปที่เขาก่อนที่จะหัวเราะ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะค่อนข้างมีความสุขในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันแตกต่างจากจินตนาการของค่ามาก” เมื่อพูดเช่นนี้แล้วนางก็ถอนหายใจ
“เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกินสามปีแล้ว ข้าคิดถึงวันเก่าๆจริงๆ”
“บางทีวันหนึ่งเราอาจจะสามารถกลับไปได้”
“ความหวังนั้นใกล้จะเป็นศูนย์แล้ว” เมื่อพูดเช่นนี้หลินเจี๋ยดูเหมือนจะจำบางสิ่งได้ในขณะที่นางพูดออกมาเบาๆว่า
“หากเจ้ามีปัญหาใดๆในอนาคต เจ้าสามารถมองหาข้าได้ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์เอี๋ยนเซี่ย ตอนนี้รีบออกจากพื้นที่นี้ก่อน”
"เกิดอะไรขึ้น?"
“ข้าไม่มีทางเลือกอื่น เราถูกบังคับให้เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณต้องห้ามอีกครั้ง ถ้าคนเหล่านั้นรู้ว่าเจ้าได้กินผลศักดิ์สิทธิ์เจ้าจะเดือดร้อน เจ้าควรรีบออกไปจากที่นี่”
เย่ฟ่านไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้และพยักหน้าทันที
“ดูแลตัวเองด้วย!”
อย่างไรก็ตาม ปัญหายังคงตามมาที่สุด ภายในเวลาไม่ถึงนาทีเย่ฟ่านก็ถูกห้อมล้อมด้วยทหารม้าแปลกๆสิบคนในพื้นที่ภูเขา
ทหารม้าเฒ่าที่เป็นผู้นำกลุ่มทำให้เย่ฟ่านรู้สึกกังวลใจ เขาไม่ได้พยายามฝ่าวงล้อมเพราะเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวมากมายจากร่างของชายชรา
“ข้าเข้าใจความตั้งใจของท่าน ตกลงข้าจะตามท่านไป” เย่ฟ่านสงบมาก
ในที่สุดเย่ฟ่านก็ถูกนำกลับมาที่เมืองเล็กๆ แต่เขาไม่ได้พบหลินเจี๋ย โจวยี่ หลี่เสี่ยวม่าน หรือหวังจื่อเหวิน
ผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิแสงโชติช่วงได้รู้ว่าเขาได้กินผลศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นจึงคิดจะเก็บเขาไว้เพียงคนเดียวและตบตาทุกคนด้วยการเปลี่ยนให้เขากลายเป็นทหารม้า
“จากร่างกายของเจ้า เจ้าจะสามารถต้านทานความแข็งแกร่งของคำสาปได้อย่างแน่นอน หากเจ้าสามารถได้รับยาศักดิ์สิทธิ์ มาครอบครอง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเราจะตบรางวัลให้อย่างงาม”
ทหารม้าเฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
"ข้าเข้าใจ"
เย่ฟ่านพยักหน้าแต่ก็หัวเราะอย่างเย็นชาในใจ เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาเข้าไปในดินแดนรกร้างโบราณต้องห้าม เขาต้องการดูว่าใครกันแน่ที่เป็นคนคุมเกม
ห้าวันต่อมาพื้นที่แดนศักดิ์สิทธิแสงโชติช่วง ตระกูลเจียงและตระกูลจี้ออกเดินทางสู่ส่วนลึกของพื้นที่ภูเขาอีกครั้ง
เย่ฟ่านสามารถเห็นหลินเจี๋ย หลี่เสี่ยวม่าน โจวยี่ หวังจื่อเหวิน จางจื้อจุนและหลิวอี้อี้จากระยะไกล พวกเขาทั้งหมดถูกพามาที่นี่จริงๆ
เย่ฟ่านกำลังขี่อยู่บนหลังสัตว์ดุร้ายและสวมชุดเกราะโลหะศักดิ์สิทธิ์ไม่มีใครจำเขาได้
คราวนี้ไม่มีสัตว์ร้ายที่น่ากลัวมาขวางทางและผู้คนจากทั้งสามฝ่ายก็มาถึงเขตหินของดินแดนรกร้างโบราณต้องห้าม
รถศึกสองสามคันที่ส่องแสงระยิบระยับลอยอยู่ในอากาศ ไม่เคลื่อนไปข้างหน้าอีกต่อไป ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอโอกาสที่เหมาะสม
เมื่อกำลังจะเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณต้องห้ามอีกครั้งเย่ฟ่านเริ่มรู้สึกตื่นเต้น โชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาอาจอยู่ตรงหน้า
เขายังนึกถึงโลงศพทองแดงขนาดใหญ่ ไม่รู้ว่าเหตุใดมันจึงออกจากส่วนลึกของขุมนรกและปรากฏขึ้นเหนือภูเขาศักดิ์สิทธิ์
“พวกเราต้องได้รับผลไม้ศักดิ์สิทธิ์”
ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าสองสามคนคำรามออกมาขณะที่รถศึกยังคงเปล่งรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์อันเจิดจ้า
………...
ภายในดินแดนรกร้างโบราณต้องห้าม ต้นไม้โบราณที่ยืนต้นตระหง่านดูแข็งแกร่งและทรงพลัง กิ่งไม้ที่แผ่ออกไปในระยะไกลคดเคี้ยวราวกับงูยักษ์หลายร้อยตัวที่เลื้อยพันกัน
ต้นไม้เก่าแก่เหล่านี้เปรียบเสมือนภูเขาเล็กๆที่สูงตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า
เถาวัลย์โบราณที่หนาราวกับเหยือกน้ำพันอยู่รอบภูเขาเหมือนงูใหญ่ รากแต่ละต้นสามารถห้อมล้อมเทือกเขาได้ทั้งหมดพวกมันเต็มไปด้วยพลังชีวิตอันสมบูรณ์
หากใครไม่มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ เมื่อมองดูต้นไม้เขียวขจีที่เต็มไปด้วยชีวิตและความแข็งแกร่งพวกเขาจะต้องคิดว่านี่คือดินแดนอันบริสุทธิ์อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามหากใครตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน พวกเขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว
เพราะว่าผืนดินขนาดใหญ่เช่นนี้ แต่ไม่มีเสียงนกร้องหรือเสียงคำรามของสัตว์ป่า ไม่มีร่องรอยของมดหรือแมลงใดๆเลย มีเพียงความเงียบที่ดูอันตราย!
สามนิกายใหญ่ทำงานร่วมกันและได้คัดเลือกจากชนชั้นสูงเพียงไม่กี่คน มีผู้ฝึกตนไม่มากนักประมาณแปดสิบคนเท่านั้นที่เดินทางเข้าสู่ด้านในของดินแดนรกร้างโบราณ
“ในส่วนลึกสุดของพื้นที่ต้องห้ามนี้มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าแห่ง สามนิกายใหญ่ของเราจะแยกกันออก แต่ละกลุ่มจะสำรวจภูเขาศักดิ์สิทธิ์เพียงแห่งเดียวเพื่อป้องกันความขัดแย้งเกี่ยวกับการแบ่งยาศักดิ์สิทธิ์”
ทหารม้าเฒ่าแห่งแดนศักดิ์สิทธิแสงโชติช่วงแนะนำ
มีคนแปลกๆสามสิบคนที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิแสงโชติช่วง แต่ละคนแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม พวกเขานั่งบนสัตว์อสูรตัวใหญ่และมีความดุร้ายมากมาย
หลังจากเข้าสู่พื้นที่ต้องห้ามนี้ น้ำพุแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์จะถูกปิดผนึกทำให้ยากต่อการใช้ลมปราณ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดพวกเขาจึงคัดเลือกสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่มีพละกำลังมาเป็นพาหนะแทน
ตระกูลเจียงนำยอดฝีมือมามากกว่ายี่สิบคน ผู้นำคนหนึ่งคือผู้อาวุโสเจียงฮั่นจง เขาขี่บนช้างปีศาจที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำที่ดูเหมือนจะกะพริบในขณะที่เขาหัวเราะอยู่ตลอดเวลา
“ความคิดของพี่สวียังไม่รอบคอบพอ บริเวณนี้เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่รู้จัก คงจะดีถ้าเราไปด้วยกันข้าคิดว่าการสำรวจภูเขาศักดิ์สิทธิ์เพียงลูกเดียวก็เหลือเฟือแล้ว
มันจะช่วยให้เราได้รับยาศักดิ์สิทธิ์เพียงพอสำหรับให้สามนิกายใหญ่ของเราแบ่งปันอย่างเท่าเทียม
พวกท่านน่าจะรู้ดีว่าไม่เคยมีใครประสบผลสำเร็จในการสำรวจภูเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้น ในความเป็นจริงพวกเราก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่านิกายโบราณอื่นๆที่เคยถูกทำลายภายในดินแดนแห่งนี้”
เมื่อกล่าวเช่นนี้เจียงฮั่นจงบังเอิญเห็นเย่ฟ่านโดยไม่ได้ตั้งใจความสงสัยดูเหมือนจะแวบผ่านดวงตาของเขา
หัวใจของเย่ฟ่านสั่นไหวในทันที เขาอ่อนไหวต่อผู้คนในตระกูล เจียงอยู่แล้ว เมื่อสองปีก่อนทหารม้าของตระกูลเจียงไล่ตามเขาอย่างไม่รู้จบ
ทหารม้าอาวุโสสวีเต้าหลิงแห่งแดนศักดิ์สิทธิแสงโชติช่วงส่ายหัว
“ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับพื้นที่ต้องห้ามคือพลังแห่งคำสาป แม้ว่าเราจะรวมตัวกันทั้งหมด มันก็ไร้จุดหมายเป็นการดีกว่าที่เราจะแยกกันและค้นหาโชคชะตาของเราเอง”
เจียงฮั่นจงมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาในขณะที่จ้องมองไปที่ เย่ฟ่านก่อนที่เขาจะพูด
“ตระกูลเจียงของเราพาคนแปลกๆมากับเราเพียงยี่สิบคนเท่านั้นเราไม่มีกำลังคนเพียงพอและต้องการยืมคนจากพี่สวี”
ร่างกายทั้งหมดของเย่ฟ่านถูกปกคลุมไปด้วยเกราะโลหะศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ศีรษะของเขาก็ยังถูกปกคลุมอย่างเต็มที่และมองเห็นเพียงดวงตาของเขาเท่านั้น
แต่ในขณะนี้เขาตระหนักว่าผู้คนในตระกูลเจียง ต้องจำเขาได้ ต้องมีทหารม้าที่ไล่ล่าเขาในกลุ่มนี้มาก่อนอย่างแน่นอน