Chapter 38 : มีผู้เล่นอื่นล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของไคลน์!
อึก…
ไคลน์จัดการดื่มเลือดอุ่นๆของไนท์วิสเลอร์แก้วสุดท้ายเข้าไป
หลังจากต้มมันจนเดือดรสชาติของมันก็ไม่เลวเลย อย่างน้อยก็ไม่ได้น่าสะอิดสะเอียนเหมือนกับเลือดของกิ้งก่าที่เขาคิดครั้งล่าสุดแล้วกัน
“ไม่มีการเปลี่ยนแปลง?”
ไคลน์นั่งนิ่งๆรอดูผลอยู่ซักพักแต่ก็พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในร่างกาย
“ควรจะรอจนกว่าจะกลางคืนดีไหม?”
“หรือยังไงมันก็ไม่มีผลอะไรพิเศษอยู่แล้ว?”
จากที่เขารู้เขาคงทำได้เพียงรอจนกว่าจะถึงกลางคืนถึงจะยืนยันได้
ไคลน์ยกหม้อหินออกไปและหยิบขวดเลือดขวดใหญ่ออกมาแทน
นี่คือเลือดของจระเข้เกราะหินปริมาณมากกว่า1.2ลิตร
และมันสามารถใช้เพื่อยกระดับอาวุธได้
นอกจากนี้ยังมีโอกาสเล็กน้อยที่คุณภาพของอาวุธจะเพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นกัน
จากนั้นไคลน์ก็หยิบเอาใบดาบรูนความเร็งสูงออกมา
วิธีการยกระดับอาวุธโดยใช้เลือดของจระเข้เกราะหินก็ง่ายดายมาก เขาไม่จำเป็นต้องนำเลือดไปต้มให้ร้อนแต่อย่างใดสิ่งเดียวที่เขาจำเป็นต้องทำก็แค่ฉาบเลือดลงไปบนอาวุธเท่านั้น
ไคลน์นำเอาเลือดของจระเข้เกราะหินมาทาลงบนใบดาบรูนความเร็วสูงทีละนิดๆ
หลังจากทาไปได้ซักพักเลือดของจระเข้เกราะหินก็เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวแล้ว
ในทุกๆครั้งที่เขาทาลงไปเลือดพวกนั้นก็จะจางหายไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกใบดาบดูดกลืนเข้าไป
ตัวของใบดาบรูนความเร็วสูงกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
“ล้มเหลวหรอ?”
ไคลน์เกาหัว
“ลองกับอาวุธชิ้นอื่นดูซิ”
จากนั้นเขาก็หยิบมีดมาเชเต้ออกมาแล้วเริ่มละเลงเลือดลงไปบนมีดมาเชเต้เช่นเดียวกับที่เขาทำกับดาบรูน
[แจ้งเตือนจากระบบ : ยกระดับมีดมาเชเต้ชั้นยอดสำเร็จ]
[แจ้งเตือนจากระบบ : มีดมาเชเต้ชั้นยอดยกระดับเป็นมีดมาเชเต้ระดับสมบูรณ์]
“ปัญหาอยู่ที่โอกาสสำเร็จไม่เท่ากันงั้นหรอ? หรือว่าอาวุธรูนมันอัพเกรดยากกว่ากันแน่?”
ไคลน์คิดอยู่ซักพักและตัดสินใจใช้เลือดของจระเข้เกราะหินที่เหลือทาลงบนใบดาบรูนความเร็วสูงจนหมด
แต่ใบดาบรูนความเร็วสูงกลับไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด
น่าจะเป็นเพราะว่าอาวุธรูนถือเป็นอาวุธระดับสูงล่ะมั้ง
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการไคลน์ก็จัดการเก็บข้าวเก็บของแล้วเตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังสุสานแห่งถัดไป
...
...
ตู้ม!
ร่างของสัตว์อสูรแห่งสุสานที่มีขนาดลำตัวราวๆสองเมตรครึ่งล้มลงตรงหน้าไคลน์
ลักษณะของมันดูคล้ายกับเสือดาวแต่กลับมีรอยแผลเป็นสีแดงปรากฏอยู่ตรงกลางศรีษะ
พร้อมกับเสียง ‘คว้าก’ หัวของมันก็ถูกแยกเป็นสองส่วน
ไคลน์ในตอนนี้ไม่ได้ลอยตัวกลางอากาศหรือใช้หน้าไม้รูนแต่อย่างใด
แต่เขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมันตรงๆแทน
ในช่วงเวลาอันตรายนี้แม้แต่จิ้งจอกน้อยก็ยังอยากจะเข้ามาช่วยโจมตีด้วย
“เสือดาวทรายระดับความอันตรายคือ26แต่ก็แค่นั้น”
ไคลน์เก็บดาบรูนไปอย่างช้าๆ
หลังมือของเขามีรอยแผลสองรอยปรากฏอยู่
ชัดเจนว่านี่คือรอยข่วนที่เสือดาวทรายมันฝากเอาไว้ก่อนตาย
ณ ตอนนี้เขาอยู่ในสุสานแห่งที่ยี่สิบเก้าแล้ว
วันนี้เขาทำการขุดมาเจ็ดรอบแล้ว
เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้วที่ไคลน์ออกมาจากสุสานแห่งที่ยี่สิบสาม
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาขุดมาตามคำใบ้เรื่อยๆ
แต่เพื่อฝึกทักษะการใช้มีดและการต่อสู้เขาจึงเลือกที่จะลงมือต่อสู้คนเดียวมาตลอด
เขาไม่ได้พึ่งพาจิ้งจอกน้อยหรือใช้หน้าไม้รูนแต่อย่างใด
จนถึงตอนนี้ความแข็งแกร่งที่ไคลน์แสดงออกมาจัดได้ว่าน่ารับชมจริงๆ เลือดของกิ้งก่าทำให้ปฏิกริยาตอบสนองของเขาฉับไวขึ้นมา
เมื่อบวกกับดาบรูนที่สามารถตัดผ่านแผ่นเหล็กได้ด้วยแล้วการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรแห่งสุสานที่มีระดับความอันตรายไม่ถึง25จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
เสือดาวทรายตัวนี้มีระดับความอันตรายอยู่ที่26และมันก็รวดเร็วพอจะฝากรอยแผลเอาไว้ให้ไคลน์ถึงสองรอยแต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด บาดแผลสองรอยนี้ก็แค่บาดแผลตื้นๆและมีเลือดออกเล็กน้อยเท่านั้น
ไคลน์หยิบเอาชามใส่ยารักษาออกมาและเริ่มทามันลงบนหลังมือซ้าย
หลังจากทายารักษาไปได้ราวๆครึ่งชามความเจ็บปวดก็จางหายไป
“เกือบจะบ่ายแล้ว หลังจากจัดการทรัพยากรเสร็จก็พักผ่อนที่สุสานแห่งนี้ก่อนแล้วกัน”
ไคลน์ลูบท้องที่ส่งเสียงร้องโครกครากออกมาเบาๆ
การต่อสู้ในวันนี้เขาทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจดังนั้นจึงเสียพลังงานไปค่อนข้างมหาศาล
หลังจากวนไปวนมารอบสุสานเพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรจนหมดก็ทำให้เขาได้ทรัพยากรมาอีกกองหนึ่ง
นับตั้งแต่สุสานแห่งที่ยี่สิบสี่จนถึงสุสานแห่งที่ยี่สิบเก้าหลักๆเลยที่เขาได้มาก็คือพิมพ์เขียวสำหรับสร้างไอเทมสองเล่มและรูนอีกหกก้อน
เป็นรูนลมสอง , รูนไฟหนึ่ง , รูนน้ำสองและรูนดินอีกหนึ่ง
พิมพ์เขียวที่ได้มาหนึ่งในนั้นก็คือพิมพ์เขียวของมาเชเต้ชั้นเยี่ยมซึ่งเขาเคยเรียนรู้มาแล้วดังนั้นไคลน์จึงตัดสินใจว่าจะเอาพิมพ์เขียวเล่มนี้ไปวางขายเอาไว้บนตลาดเพื่อแลกกับพิมพ์เขียวอย่างอื่น
ส่วนพิมพ์เขียวอีกเล่มคือพิมพ์เขียวระดับสมบูรณ์สำหรับสร้างเกราะเบาซึ่งวัตถุดิบเองก็ไม่ได้ยุ่งยากนัก เกราะเบานี้สร้างขึ้นมาจากทองแดงและเหล็กบวกกับรูนลมและรูนดินเท่านั้น
และไคลน์ในตอนนี้ก็กำลังสวมใส่เกาะบางๆที่เหมือนกับเศษเสื้อผ้าอยู่นั่นเอง
แต่อย่างได้ดูถูกมันเชียวเพราะเกราะนี้สามารถป้องกันบริเวณ หน้าอก ท้อง หลังและจุดตายอื่นๆได้
ยิ่งไปกว่านั้นพลังป้องกันของเกราะรูนยังน่าทึ่งมากอีกด้วย ดาบธรรมดาทั่วๆไปไม่อาจทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้บนตัวเกราะได้ด้วยซ้ำและแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเจาะทะลุชั้นเกราะ
พอจัดการเรื่องทรัพยากรเสร็จไคลน์ก็เรียกฐานรูนออกมาแล้วเดินเข้าไปภายใน
จิ้งจอกน้อยเองก็ตามมาติดๆ
“วันนี้ทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินแล้วกันแต่เพิ่มเนื้อเข้าไปดีกว่า ฮ่าๆๆ!”
ไคลน์ได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาจากสุสานแห่งที่แล้วถึงสองแพ็ค
ถ้าจิ้งจอกน้อยกินด้วยเขาก็จะใส่เนื้อเข้าไปเพิ่มอีกหน่อยไม่งั้นเจ้าหล่อนก็คงจะไม่อิ่มเป็นแน่
“โฮ่ง! โฮ่ง!”
เมื่อจิ้งจอกน้อยได้ยินว่าถึงเวลากินข้าวแล้วดวงตาของเจ้าหล่อนก็เปล่งประกายระยิบระยับออกมา
ส่วนว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคืออะไรน่ะหรอ?
เจ้าหล่อนเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
สิ่งเดียวที่เธอรู้ก็คืออาหารของนายท่านของเธอไม่เคยมีอะไรไม่อร่อย ทุกอย่างนั้นอร่อยเลิศทั้งนั้น!
ไคลน์ขึ้นมาจัดแจงเตาบาบิคิวเอาไว้บนระเบียงจากนั้นก็เติมถ่านเติมไม้และเริ่มจุดไฟและเทน้ำลงไปในหม้อหินที่วางอยู่ด้านบนของเตาบาบิคิวเพื่อทำการต้มน้ำให้เดือด
ในเวลาเดียวกันเขาก็เริ่มทำการหั่นเนื้อหลายๆชนิดเป็นชิ้นๆ
ตอนนี้ไคลน์มีเนื้ออยู่ในมือเป็นจำนวนมาก เนื้อและเลือดของสัตว์อสูรแห่งสุสานที่ไม่ค่อยอร่อยนักและไม่มีความสามารถพิเศษใดๆเขาก็จะเอามันไปวางขายไว้บนตลาดแลกเปลี่ยน
พิมพ์เขียวสำหรับสร้างอุปกรณ์รูนหรืออุปกรณ์รูนแบบผลิตสำเร็จรูปเขาก็เอาทั้งนั้นแหละ...
แน่นอนว่าผู้เล่นส่วนใหญ่ยินดีจะแลกเปลี่ยนกับรูนทั่วไปมากกว่า ส่วนพิมพ์เขียวสำหรับสร้างอุปกรณ์รูนคงไม่มีใครคิดจะนำมาแลกในช่วงเวลานี้ แม้ว่าราคาที่เขาเสนอจะค่อนข้างน่าดึงดูดไม่น้อยก็ตาม
ดังนั้นแล้วก็คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงอุปกรณ์รูนที่ผลิตสำเร็จรูปแล้ว ผู้เล่นส่วนใหญ่คงจะเก็บพวกมันเอาไว้ใช้เองเสียมากกว่ายกเว้นแต่ว่าพวกเขาจะมีวัตถุดิบพอสร้างพวกมันได้อีกเครื่อง
ในขณะที่ไคลน์กำลังตั้งใจทำอาหารอยู่นั้นกำแพงดินทางด้านซ้ายของสุสานก็พังทลายลงมา
สองบุรุษหนึ่งสตรีก้าวเข้ามาสู่สุสานแห่งเดียวกันกับไคลน์!
และพวกเขาทั้งสามยังมีอาวุธครบมืออีกด้วย
เมื่อเข้ามาพวกเขาก็ยังไม่ได้ขยับไปไหนแต่เลือกที่จะตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวังเสียก่อน
“ดูนั่น”
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือปราสาทที่อยู่ไม่ห่างไกลออกไปมากนักซึ่งมันก็ดึงดูดสายตาของคนทั้งสามไม่น้อย