บทที่ 42 สงครามกำลังจะเริ่มขึ้น
บทที่ 42
สงครามกำลังจะเริ่มขึ้น
เมืองสุริยันจันทรา ในพระราชวัง
ภายในสวนหลังพระราชวัง หลี่ฮ่าวเทียน กำลังนั่งอยู่ในศาลาเล็กๆใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง หลังจากนั้นไม่นาน หวังฝูเฉิน สองพ่อลูกก็เดินมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็รีบเดินเข้าไปหาทันที
“น้องหวัง ไม่ได้เจอกันหลายวัน ข้าคิดถึงเจ้ามาก”
หวังเมิ่งอวี่ โค้งคำนับ
“ถวายบังคมฝ่าบาท เมื่อไม่กี่วันก่อนข้านั้นไม่สบาย รบกวนฝ่าบาททรงเป็นห่วงแล้วเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของนางซีดเผือดเล็กน้อย เสียงของนางนุ่มแต่ดูเหมือนขาดพลัง ดูเหมือนว่านางจะป่วยจริงๆ
“เร็วเข้า น้องหวัง นั่งลงก่อน!”
ใบหน้าของ หลี่ฮ่าวเทียน เต็มไปด้วยความปวดใจ เขาพยุง หวังเมิ่งอวี่ ให้นั่งลงบนศาลา
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
หลังจากนั่งลง หลี่ฮ่าวเทียน ก็ถามขึ้นว่า “น้องหวัง หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง? เจ้าจำเป็นต้องใช้สมุนไพรอะไรก็บอกมาได้เลย”
หวังเมิ่งอวี่ ยิ้มและส่ายหัว “ข้าแค่เป็นไข้ลมหนาวเท่านั้น”
“เมื่อครู่ ข้าได้ยินข่าวบอกว่าเผ่ากระทิงเถื่อนจะรวมกับเผ่าใหญ่ทุกเผ่าในทุ่งหญ้า ซึ่งเป็นกองทัพนับล้านและกำลังจะลงใต้ ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะรับมืออย่างไร”
หลี่ฮ่าวเทียน ถอนหายใจ และกล่าวว่า “ทุ่งหญ้าและเมืองหลวงอยู่ห่างไกลกันมาก เมื่อพวกเราได้รับข่าวก็เกรงว่าพวกเขาออกเดินทางกันมาแล้ว อาณาจักรซีเฮอ เป็นอันดับแรก ด้วยกำลังของอาณาจักรในปัจจุบันของพวกเขา พวกเขาไม่อาจต้านทานได้ ความเห็นของข้า คำสั่งช่วยเหลือจากจักรวรรดิกำลังจะมาถึงในไม่ช้า”
หวังเมิ่งอวี่ ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ทางตะวันตกเฉียงเหนือของราชอาณาจักรมีพรมแดนที่ติดกับทุ่งหญ้าเช่นกัน ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่ถูกโจมตี ฝ่าบาทต้องป้องกันไว้ด้วย”
“ข้าสั่งให้แม่ทัพมู่หรงรวมทหาร 100,000 นายประจำการอยู่ที่ชายแดน ขณะเดียวกันก็ให้แม่ทัพจ้าวอันแห่งเมืองตงซานนำทหาร 50,000 นายไปสนับสนุน คาดว่าคงไม่เป็นไร”
หวังเมิ่งอวี่ พยักหน้าและกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงคิดรอบคอบ ยิ่งนักแล้วยังมีทหารอีก 150,000 นาย เผ่ากระทิงเถื่อนคงไม่กล้าบุกเข้ามา”
ในเวลานี้อัครเสนาบดีหวังที่ถูกเมินตลอดก็กล่าวขึ้นว่า “การลงใต้ของเผ่าพันธุ์ต่างแดนในครั้งนี้ หากพึ่งพาอาณาจักรของเราเพียงสามารถต้านทานได้สักพักแต่ท้ายที่สุดพลังก็ห่างกันมากและจะมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น”
“กระหม่อมคิดว่า ควรส่งทูตไปยังเมืองหลวงทันที ให้ฝ่าบาทส่งทหารไปทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ต่างแดนในทุ่งหญ้า”
หวังเมิ่งอวี่ เห็นด้วย “ท่านพ่อพูดถูก จักรวรรดิผ่านการเปลี่ยนแปลงมานับร้อยปี อาณาจักรมีความแข็งแกร่งและลึกซึ้งเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ หากจักรวรรดิสามารถยกทัพได้จะต้องสามารถทำลายเผ่าพันธุ์ต่างแดนได้อย่างแน่นอน”
“ดี เมื่อฟังท่านทั้งสองพูดข้าจัดส่งทูตไปยังเมืองหลวงเพื่อสืบหาการกระทำของจักรวรรดิ”
หลังจากคุณคิดอยู่สักครู่ หวังเมิ่งอวี่ ก็กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท ตามความเห็นของข้า หากจักรวรรดิส่งทหารไปรบชนะ ก็สามารถใช้กำลังทหารออกจากทุ่งหญ้าได้ หากจักรวรรดิพ่ายแพ้ อาณาจักรซีเฮอคงอยู่ยาก เผ่าพันธุ์ต่างถิ่นรู้เพียงแต่การปล้นสะดม รอจนพวกเขาถอยกลับ ฝ่าบาทค่อยออกทัพไล่ฆ่าและถือโอกาส..”
“ถือโอกาสยึดเมืองที่พวกเขาไม่ต้องการ!”
หลี่ฮ่าวเทียน หัวเราะเสียงดัง
“น้องหวังฉลาดมาก!”
หวังเมิ่งอวี่ ยิ้มบางๆ
ทั้งสามคนได้ปรึกษาหารือกันอีกครั้งทันใดนั้น หวังเมิ่งอวี่ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“ฝ่าบาท คนที่ท่านส่งไปเนินโกลาหลก่อนหน้านี้ได้กลับมารายงานหรือยังเจ้าคะ”
“เรื่องนี้ท่านอัครเสนาบดีเป็นคนรับผิดชอบแล้ว”
หลี่ฮ่าวเทียน หันกลับไปถาม “ไม่ทราบว่าท่านอัครเสนาบดีได้รับข่าวอะไรหรือไม่?”
หวังฝูเฉิน ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเจื่อนพลางส่ายหน้า
“กระหม่อมได้ส่งสายลับชั้นยอดหลายสิบคนออกไปทั้งหมดแต่ไม่มีใครพบร่องรอยโจรกบฏกลุ่มนั้น”
หลี่ฮ่าวเทียน ตกตะลึงและกล่าวว่า “การต่อต้านของโจรกบฏนั้นเด่นชัดมาก และการลงแพไปมันชัดเจนว่าพวกเขาจะไปที่เนินโกลาหลไม่ใช่งั้นหรือ?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หวังเมิ่งอวี่ ก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “เขาเลี้ยงทหารส่วนตัวและซ่อนอาวุธไว้ แน่นอนว่าเขาย่อมมีความใฝ่ฝันที่จะสร้างชื่อเสียง เนินโกลาหลจึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุด”
“คนคนนี้เจ้าเล่ห์มาก คาดเดาว่าพวกเขาอาจจะหลบซ่อนตัวอยู่เพื่อให้ผ่านพ้นฤดูหนาว แล้วพร้อมที่จะเคลื่อนไหวอีกครั้ง”
“ใช่!”
หลี่ฮ่าวเทียน ตะโกนว่า “ท่านอัครเสนาบดี!ส่งคนไปสำรวจเนินโกลาหลต่อไป พวกเราต้องหาโจรกบฏให้เจอให้ได้!”