บทที่ 405 ลูกพี่ลูกน้อง(ตอนฟรี)
บทที่ 405 ลูกพี่ลูกน้อง
ในเวลานี้ทุกคนเหมือนเพิ่งจะหายจากอาการมึนงง ที่แท้ชายหนุ่มคนนี้ก็มีที่มาที่ไปใหญ่โตขนาดนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้มีท่าทีสบายๆและไม่เห็นผู้ชายสองคนนั้นอยู่ในสายตาเลย ทันใดนั้นหนุ่มๆหลายคนในบรรดาฝูงชนที่มุงดูอยู่ต่างก็รู้สึกกระตือรือร้น เลือดในร่างกายเดือดพล่านและวาดฝันว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาจะได้มาถึงจุดนี้บ้าง จุดที่ไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรก็เพียงแค่อ้าปากพูด จากนั้นก็มีคนจัดการให้ทันที มันช่าง... เท่สุดยอดไปเลย!
“พ่อหนุ่ม! ประเดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม!” หญิงชราที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จู่ๆก็มีสติ เธอรีบมาขวางหน้าจี้เฟิงไว้และทำท่าจะคุกเข่าลง
จี้เฟิงดึงหญิงชราไว้และพูดขึ้นว่า “คุณยาย อย่าทำแบบนี้เลย ถ้าแข้งขาเป็นอะไรไป ฉันคงต้องชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจริงๆแล้วล่ะทีนี้!”
หญิงชราได้ยินเพียงประโยคเดียวเธอก็รู้สึกละอายขึ้นมาทันที แต่ตอนนี้เธอต้องละทิ้งความละอายไปก่อนและพูดอย่างขอร้องอ้อนวอนว่า “พ่อหนุ่ม ฉันผิดเอง ฉันเลี้ยงลูกมาไม่ดี ฉันไม่ควรตามใจและปล่อยให้พวกเขาทำเรื่องแบบนี้ ต่อจากนี้ไปฉันจะสั่งสอนพวกเขาให้ดี ได้โปรดปล่อยลูกชายทั้งสองของฉันไปเถอะ!”
แม้ว่าหญิงชราอยากจะคุกเข่ามากแค่ไหน แต่เพราะถูกจี้เฟิงจับตัวไว้ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรเธอก็ไม่สามารถคุกเข่าลงได้
จี้เฟิงไม่ปล่อยให้หญิงชราต้องเจ็บตัวเพราะต้องมาคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนแน่นอน การที่ปล่อยให้หญิงชราอายุขนาดนี้ต้องคุกเข่าลงด้วยตัวเอง มันอาจจะเกิดความรุนแรงจนทำให้เธอเสียชีวิตเลยก็ได้ จี้เฟิงไม่สามารถปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้
“ลูกชายของคุณยายมีค่าควรแก่การให้คุณยายต้องมาขอร้องขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?” จี้เฟิงขมวดคิ้วและถาม
“แล้วคนเป็นแม่อย่างฉันจะทำอะไรได้อีกล่ะ...” หญิงชราถามอย่างหมดหนทาง
จี้เฟิงพูดไม่ออก ก็จริงของเธอ ในฐานะแม่คนหนึ่ง เธอจะทำอะไรได้อีกเมื่อลูกชายเป็นแบบนี้ไปแล้ว?
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็หันไปพูดกับเปียวเกอว่า “เปียวเกอ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ เรื่องในวันนี้ก็ให้จบแค่นี้ก็แล้วกัน!”
แม้ว่าเปียวเกอจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นว่าเขาไม่ไว้หน้าจี้เฟิง เขาจึงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนักและพูดว่า “ในเมื่อพี่เฟิงพูดมาแบบนี้ ฉันจะปล่อยพวกเขาไป!”
ทันทีที่เปียวเกอโบกมือ รปภ.และลูกน้องคนอื่นๆก็ปล่อยตัวผู้ชายสองคนนั้นไป เจ้าโง่สองคนนั้นตกใจจนตัวสั่น รีบวิ่งหนีไปอย่างทุลักทุเลจนเกือบจะล้ม
“พาแม่เฒ่าของพวกนายไปด้วย!” คำพูดที่เรียบเฉยของจี้เฟิงแต่กลับดังก้องเข้าไปในหู ทำให้สองคนนั้นหยุดชะงักทันที “ถ้าต่อจากนี้ ฉันรู้ว่าพวกนายปฏิบัติกับแม่ของพวกนายแบบนี้อีก ก็คอยดูแล้วกันว่าฉันจะจัดการพวกนายยังไง!”
“ไม่แล้ว พวกเราไม่กล้าแล้ว!” ทั้งสองคนตกใจรีบพยักหน้าและตกปากรับคำอย่างลนลาน
“ไสหัวไป!” จี้เฟิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา
พวกเขาสองคนรีบวิ่งมาพยุงแม่ของพวกเขาและจากไปหลังจากที่กล่าวขอบคุณจี้เฟิง
“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” จี้เฟิงยิ้มให้เซียวหยูซวนและถงเล่ย
“อื้ม!” สองสาวพยักหน้าพร้อมกัน
ผู้คนที่มุงดูอยู่ต่างกระซิบกระซาบกันเบาๆ พวกเขาต่างชื่นชมจี้เฟิงว่าเป็นชายหนุ่มที่มีเหตุมีผล และน่าจะเป็นลูกหลานของคนที่ใหญ่โตมากทีเดียว ไม่รู้ว่าหญิงสาวตระกูลไหนที่จะมีวาสนาได้ชายหนุ่มเช่นนี้ไปเป็นคู่ครอง
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาเห็นเซียวหยูซวนและถงเล่ยที่อยู่ข้างๆจี้เฟิง พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่า มีเพียงผู้หญิงที่งดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์แบบนี้เท่านั้นที่จะสามารถเป็นแฟนกับชายหนุ่มเช่นนี้ได้!
เปียวเกอได้แต่อ้าปากค้าง สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขารู้สถานะของเขาดี แม้ว่าเขาต้องการจะสร้างความสัมพันธ์เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับจี้เฟิง แต่ถ้าเขาแสดงความกระตือรือร้นมากเกินไป มันอาจจะทำให้จี้เฟิงไม่พอใจ จนทำให้เกิดความสูญเสียมากกว่าที่จะได้ประโยชน์
เมื่อทุกอย่างคลี่คลายแล้ว เซียวหยูซวนและถงเล่ยตัดสินใจที่จะกลับไปที่มหาวิทยาลัย เนื่องจากเซียวหยูซวนมีสอนในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเธอจึงต้องกลับไปเตรียมตัวสำหรับการสอนในชั้นเรียน แม้ปกติเธอจะดูเป็นคนที่รักความสนุก แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภาระหน้าที่ เธอจะไม่ปล่อยให้เรื่องอื่นมากระทบกับงานของเธอโดยเด็ดขาด
ส่วนถงเล่ยก็อยากจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด จี้เฟิงเองก็มีนัดกับหลี่ลู่หนานในตอนค่ำ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะไปที่มหาวิทยาลัยกับสองสาวก่อน ใช้เวลาอยู่ที่ห้องสมุดสักพักแล้วค่อยไปตามนัดหมาย ในขณะเดียวกันเขาก็วางแผนที่จะพูดคุยกับจางเล่ยเกี่ยวกับเรื่องของฉินหยูเจี๋ยด้วย
ที่จริงแล้วการกระทำของฉินหยูเจี๋ยก็ไม่ได้ถึงขั้นเลวร้ายนักในสายตาของจี้เฟิง เขาก็แค่รับผลประโยชน์แลกกับการเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับนักศึกษาที่จ่ายสินบนให้ ก็เถียงไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด แต่ก็ถือว่าเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น แต่คนที่ทำให้จี้เฟิงจำฝังใจจริงๆเลยก็คือคำพูดของฟ่านเหลียงกุ้ย!
สามีภรรยาคู่นี้ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเหมือนผีเน่ากับโลงผุจริงๆ ตอนแรกฟ่านเหลียงกุ้ยขอร้องให้ฉินซูเจี๋ยมาช่วยพูดให้ แต่เรื่องยังไม่ทันจบ เธอก็คิดจะข้ามแม่น้ำไปรื้อสะพานซะแล้ว (คำอุปมา – ใช้ประโยชน์เสร็จก็ถีบหัวส่ง , คนเนรคุณ ใช้สะพานเสร็จแล้วก็รื้อทิ้งไปเลยจ้า) แม้แต่ทรัพย์สินของน้องสาวแท้ๆพวกเขาก็ยังวางแผนที่จะยึดเอามาเป็นของตัวเอง จี้เฟิงนึกไม่ออกจริงๆว่าคนแบบนี้ยังมีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้อีก!
สำหรับคนแบบนี้จี้เฟิงไม่มีวันอ่อนข้อให้อย่างแน่นอน!
เซียวหยูซวนและถงเล่ยนั่งรถวอลโว่สีแดงของเซียวหยูซวน ส่วนจี้เฟิงขับรถสำรองที่ร้าน S4 ให้มาและพวกเขาก็ขับตรงไปที่มหาวิทยาลัย
เมื่อจี้เฟิงได้พบกับจางเล่ย เขาจึงรู้ว่าสองวันมานี้ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สงบเงียบอย่างที่คิด
เจ้าหน้าที่สองคนของสำนักงานทั่วไปรวมถึงหัวหน้าแผนกก็ถูกทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัสแถมยังเป็นในขณะที่ดื่มเหล้ากับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยอีก เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อมหาวิทยาลัยมาก
ที่สำคัญกว่านั้น นักศึกษาที่ร่วมดื่มกับเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยยังทำเรื่องร้ายแรงในข้อหาก่ออาชญากรรม และเป็นความผิดทางอาญา
สิ่งนี้กำลังบ่งบอกถึงอะไร?
หัวหน้าแผนกและเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยดื่มเหล้ากับนักศึกษาที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง พวกเขามีความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยหรือไม่? ยังมีเรื่องร้ายแรงอื่นๆที่อาจจะยังไม่ได้ถูกเปิดเผยอีกหรือเปล่า?
เนื่องจากคนอื่นๆไม่รู้ข้อมูลภายในที่เฉพาะเจาะจง ผลก็คือต่อมเสือกและสกิลการนินทาชาวบ้านของเหล่านักศึกษาที่ไม่ได้ใช้มานานจนเกือบจะขึ้นสนิมก็เริ่มลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง และพวกเขาก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างดุเดือดเมามันส์ในเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย พวกเขาสันนิษฐานความเป็นไปได้มากมาย หลายคนตั้งพุ่งเป้าไปที่หัวหน้าฉินและเว่ยเฉียงนักศึกษาที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง
ทันทีที่ข่าวนี้ถูกปล่อยออกมา กระทู้ในเว็บบอร์ดก็แทบจะล่ม นักเรียนนักศึกษารวมถึงเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยต่างเข้าไปแสดงความคิดเห็นกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าพวกเขานั้นมีความสุขที่ได้เห็นความโชคร้ายของคนพวกนั้น พวกเขาพูดถึงหัวหน้าฉินว่า เป็นถึงหัวหน้าแผนกทั่วไปแต่ไม่เคยทำงานทำการอะไรเลยนอกจากงานที่ได้เงินพิเศษหรือสินบนจากนักศึกษา
หัวหน้าแผนกสำนักงานทั่วไป ไปดื่มเหล้ากับนักศึกษาที่ก่ออาชญากรรม เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงอะไรได้บ้าง?
ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่ก็พอจะเดาได้ว่านักศึกษาคนนั้นต้องติดสินบนหัวหน้าแผนกสำนักงานทั่วไปและขอให้เขาช่วยปกปิดความผิดของเขา
เหล่านักศึกษาที่ไม่พอใจกับการบริหารงานของอธิบดีผู้นำสูงสุดของมหาวิทยาลัย ต่างคอมเมนต์ไปในทางเยาะเย้ยถากถางทำให้บอร์ดในมหาวิทยาลัยร้อนระอุจนเดือดปุดๆอยู่สองสามวัน
สหพันธ์มหาวิทยาลัยของรัฐออกมาประกาศว่าทางสหพันธ์ยังคงให้ความสำคัญกับการศึกษาที่มีคุณภาพของนักศึกษามาเป็นอันดับแรกและนักศึกษายังคงมีสิทธิเสรีภาพในการพูดหรือแสดงความคิดเห็นได้ ตราบใดที่ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องยากในการตัดสินใจที่จะปิดฟอรั่มหรือกระทู้ต่างๆที่กำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้อธิบดีของมหาวิทยาลัยเจียงโจวโกรธมาก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จี้เฟิงก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “ดูเหมือนว่าสายตาของนักศึกษาที่นี่จะเฉียบแหลมไม่เบา!”
จางเล่ยหัวเราะคิกคัก “ตอนนี้อธิบดีคงหัวร้อนน่าดู!” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “เจ้าบ้า ไปเจอกับภรรยาของฉินหยูเจี๋ยมาเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ไม่ค่อยดี!” จี้เฟิงเบ้ปากและเล่าเรื่องที่ร้านกาแฟเมื่อตอนเที่ยงให้จางเล่ยฟัง
“บ้าไปแล้ว!” จางเล่ยเบิกตากว้างทันที เขาหัวเราะอย่างดูถูก “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ฉันได้เห็นคนอวดดีแล้วโง่ได้ขนาดนี้! ตั้งใจจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน แต่ยังไม่ทันจะได้ข้ามก็จะรื้อซะพานซะแล้ว ไม่กลัวจะตกน้ำตายหรือยังไง? โง่ชะมัด!”
“พวกเขาได้จมน้ำตายเร็วๆนี้แหละ!” จี้เฟิงยิ้มและพูดต่อว่า “เล่ยซือ เกี่ยวกับเรื่องนี้เราไม่ต้องไปคิดอะไรให้มาก ปล่อยให้ทางการจัดการไปตามขั้นตอนปกติ ทำบาปอะไรไว้ก็ให้พวกเขาได้รับผลกรรมไปตามนั้น พวกเราคงไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่านี้!”
“เข้าใจแล้ว!” จางเล่ยพยักหน้าเล็กน้อย
ในความเป็นจริงสิ่งเดียวที่เขาและจี้เฟิงสามารถทำได้คือการตัดสินใจว่าจะสืบสาวราวเรื่องกับฉินหยูเจี๋ยหรือเปล่า ถ้าพวกเขายินยอมให้ดำเนินการต่อ ตำรวจจะเริ่มดำเนินการสอบสวนและเมื่อถึงตอนนั้นทางมหาวิทยาลัยก็จะต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดด้วย และแน่นอนว่าปัญหาที่แท้จริงก็จะปรากฏออกมา
แต่ถ้าหากพวกเขาไม่คิดที่จะเอาเรื่อง บางทีฉินหยูเจี๋ยอาจจะใช้กลอุบายเพื่อดำเนินการบางอย่างและเรื่องนี้ก็จะถูกปิดและเงียบหายไปเอง ส่วนวิธีที่ตำรวจหรือทางมหาวิทยาลัยจะทำอย่างไรกับฉินหยูเจี๋ยต่อไปไม่ใช่เรื่องที่เขาและจี้เฟิงจะต้องตัดสินใจ
แม้ว่าสถานะของพวกเขาจะช่วยให้พวกเขามีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ของเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่พวกเขาทั้งคู่ไม่ต้องการใช้อิทธิพลทางครอบครัวของพวกเขาทำสิ่งนี้
“แล้วเว่ยเฉินหลิงล่ะ?” จางเล่ยถามต่อ “เห็นว่าถูกปล่อยตัวออกมาแล้วนะ โจวหลี่จากหน่วยรักษาความปลอดภัยเห็นเขามาที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้า นายวางแผนไว้ว่าจะจัดการยังไงกับมัน?”
“เร็วขนาดนี้เลย?!” จี้เฟิงตกใจ
“จะไม่ให้เร็วได้ยังไง!” จางเล่ยแค่นเสียง “ตัวมันเองไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายเลย อย่างมากก็แค่ช่วยตรวจสอบและบอกข้อมูลเล็กๆน้อยๆของนักศึกษาคนอื่นๆแค่นั้น แถมยังช่วยบอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับทางตำรวจอีก หลังจากสอบสวนเสร็จ ทางตำรวจก็ต้องปล่อยตัวกลับมา! ไอ้หมอนี่มันหัวหมอมาก ทำเรื่องเลวๆแต่มือตัวเองกลับสะอาด เราเลยทำอะไรมันไม่ได้เลย...” จางเล่ยอดพ่นลมออกจมูกไม่ได้
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “แน่ใจเหรอ? อย่างเช่นครั้งนี้ นายกล้าพูดเหรอว่าเราไม่ได้ทำอะไรมันเลย? แต่อย่างไรก็ตาม ไอ้หมอนี่มันก็ฉลาดจริงๆนั่นแหละนะ ไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเลย จริงๆต่อให้มันถูกจับกุม ก็ใช่ว่าเราจะทำอะไรมันได้ง่ายๆ!”
“ฮึ่ม!” จางเล่ยแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ “นั่นเป็นเพราะพวกเราเป็นคนดีเกินไปไง ไม่อยากจะใช้อิทธิพลของครอบครัวในเรื่องแบบนี้ กฎหมายก็มีขั้นตอนในการดำเนินการของมัน ลองถ้าไอ้หมอนี่มันตกอยู่ในมือของคุณชายคนอื่นๆสิ พวกเขาไม่สนหรอกว่าจะทำอะไรที่ผิดกฎหมายรึเปล่า ถึงตอนนั้นไอ้เว่ยเฉินหลิงไม่ตายก็ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้ม!”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย แต่ในใจกลับเห็นด้วยกับคำพูดของจางเล่ย เขากับจางเล่ยไม่เคยใช้ฐานะของตัวเองทำอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่เมื่อเทียบกับคุณชายคนอื่นๆแล้วแตกต่างกันมาก
แม้แต่จี้ช่าวเหลย พี่ชายคนรองของจี้เฟิงก็ถือว่าค่อนข้างเก็บตัว แต่สมัยที่เขาอยู่หยานจิงเขาก็เป็นหัวโจกในกลุ่มคุณชายตัวร้ายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
“รอดูก่อนแล้วกันว่าทางมหาวิทยาลัยมีวิธีจัดการยังไง ยังไงเราก็ยังมีวิดีโอที่จ้าวไคถ่ายเก็บเอาไว้อยู่ แต่เรายังไม่ต้องรีบส่งไป เพราะตอนนี้ทางตำรวจน่าจะแจ้งเรื่องมายังมหาวิทยาลัยแล้ว อย่างไรก็ตามด้วยการกระทำของเว่ยเฉินหลิงเขาไม่น่าจะรักษาตำแหน่งรองประธานนักศึกษาเอาไว้ได้...” จี้เฟิงพึมพำ “แต่ถ้าทางมหาวิทยาลัยจัดการได้ไม่เหมาะสม เมื่อถึงเวลานั้นเราค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะเอายังไง!”
จางเล่ยพยักหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
“เอ้อจริงสิ! เจ้าบ้า ฉันมีเรื่องจะถาม...” สีหน้าของจางเล่ยเปลี่ยนไป
“เรื่องอะไรเหรอ?” จี้เฟิงชะงักไปเล็กน้อย “ทำไมถึงต้องอ้ำๆอึ้งๆแบบนั้น มีอะไรก็พูดมาสิ!”
“นายจำวันที่มีนักร้องมาทำการแสดงที่มหาลัยเราได้มั้ย?” ใบหน้าของจางเล่ยดูแปลกมาก เขาถามต่อว่า “นายจำได้มั้ยว่าวันนั้น ตอนที่นายกำลังขับรถมาที่มหาลัย นายเคยทำร้ายคนที่ชื่อถงอี้หยาง” (*ตอนที่ 312 )
“ถงอี้หยาง?” จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า “มีคนแบบนั้นจริงๆด้วย เขาทำไมเหรอ?”
จี้เฟิงจำได้แล้วว่าถงอี้หยางที่จางเล่ยพูดถึงคือตอนที่เขากับหลี่ลู่หนานเจอจี้เสี่ยวหยูและเว่ยซินบนถนน ผู้ชายผมแดงที่พูดจาหยาบคายกับหลี่ลู่หนาน สุดท้ายเขาก็ถูกจี้เฟิงเหยียบแขนจนหัก
“เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน!” จางเล่ยพูดด้วยสีหน้าแปลกๆ
…จบบทที่ 405~❤️
*ตอนที่ 312 ผู้ชายที่ชื่อ ‘ถงอี้หยาง’ สำหรับผู้อ่านเรียลไทม์อาจจะไม่คุ้น เพราะตอนนั้นชายผู้นี้ใช้ชื่อว่า ‘หวงเหมา’ แต่ไม่รู้เขาไปอำเภอแล้วแอบเปลี่ยนชื่อตอนไหน! ดังนั้นตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เขาจึงมีชื่อว่า ‘ถงอี้หยาง’ นะคะ อิอิ~!
และเพราะเหตุนี้เอง ทางอำเภอที่รับเปลี่ยนชื่อได้แจ้งมาว่าให้เปิดตอนนี้เป็นตอนฟรีไปเล้ย!
แฮะๆ (¯ ▽ ¯ *)! ゞ
ด้วยรักและห่วงใย
เนตรนารีสีชมพู