บทที่ 32 บรรพบุรุษที่เฉลียวฉลาด
บทที่ 32
บรรพบุรุษที่เฉลียวฉลาด
ด้านหน้าเป็นพื้นที่โล่งบนภูเขาขนาดใหญ่ ผนังทั้งสองด้านประดับด้วยหินสีขาวแวววาวมากมาย ทำให้ถ้ำทั้งถ้ำเหมือนตอนกลางวัน ตรงกลางของถ้ำมีทหารผีจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาโบกอาวุธที่ชำรุดในมือ โบกธงทหารที่มีคราบเลือดราวกับทหารที่กลับมาจากสงคราม พวกเขาเดินไปข้างหน้าและตะโกน
หลี่มู่ฟาน ไม่มีเวลามาตกใจเขารีบหันไปมองอีกฝั่งของภูเขา เมื่อมองไปยังทิศทางนั้นหัวใจของเขาก็เต้นแรง!
ที่แห่งนั้นคือบัลลังก์ขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยอัญมณีหลากหลายชนิด บนบัลลังก์ก็มีโครงกระดูกที่มีมงกุฎอยู่เหนือศีรษะ ด้านบนมงกุฎทรงกระบอกสีขาวนวลขนาดใหญ่อยู่ และมีดาบสั้นที่ส่องแสงเยือกเย็นวางอยู่บนหน้าอกของโครงกระดูก และด้านข้างของบัลลังก์มีโครงกระดูกสีดำกองหนึ่งกระจายอยู่
ชุ่ยฮัว หลบอยู่ด้านหลัง อาเฉียง นางมองไปที่ทหารผีโครงกระดูกนับไม่ถ้วนและกระซิบว่า “นายท่าน..นี่มัน”
สตรีก็ยังคงเป็นสตรี ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนพวกนางก็กลัวสิ่งเหล่านี้
หลี่มู่ฟาน รู้สึกชาไปทั่วทั้งศีรษะ เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ ชุ่ยฮัว กลับถอยหลังหลายก้าวเพราะกลัว และบังเอิญไปเหยียบกระดูกที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง
“กร๊อบ”
เสียงใสกังวานดังก้องไปทั่วถ้ำ ทั้ง 3 คนตะลึงงันไปพร้อมๆกันพวกเขามองไปที่เท้าของ ชุ่ยฮัว และมองไปที่ทหารผีที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา
หลี่มู่ฟาน รู้สึกขนลุกขนพอง ไอเย็นแผ่ซ่านตั้งแต่หัวจรดเท้า…
ทหารผีเหล่านั้นจ้องมองพวกเขาเขม็ง ดวงตาที่ว่างเปล่าคู่นั้นราวกับข้ามกาลเวลาข้ามความเป็นและความตาย จ้องมองมายังมนุษย์ธรรมดาทั้ง 3 ที่กำลังตื่นตระหนก
เสียงสั่นของ ชุ่ยฮัว ดังขึ้นข้างหู “นาย..นายน้อย พวกเราควรรีบหนีกันเถอะ…?”
“หนีงั้นหรอ?”
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของ หลี่มู่ฟาน และถูกปฏิเสธในทันทีแม้ว่าเขาจะหนีออกจากถ้ำแห่งนี้ได้แต่เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับหมอกที่แปลกประหลาด
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆประสานมือและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ลูกหลานของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลี่มู่ฟาน คารวะ ฝ่าบาท!และบรรพบุรุษทุกท่าน!”
เมื่อเห็นว่าทหารผีไม่ได้ขยับเขยื้อน และยังคงจ้องมาที่เขา เขาจึงเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
“พวกเราสามคนเผลอเข้ามาที่นี่รบกวนการหลับใหลของท่านบรรพชนทุกท่านโปรดอภัยด้วย”
เขาพูดและเดินไปที่บัลลังก์ หลังจากเดินผ่านร่างของทหารผีอย่างแปลกประหลาดรวมทั้งภาพจิตรกรรมฝาผนังก่อนหน้านี้ ในใจของเขาเริ่มชัดเจนขึ้น
ทหารผีกลุ่มนี้ไม่มีร่างกาย แต่เกิดจากจิตวิญญาณอันกล้าหาญ ที่เหล่าทหารเผ่ามนุษย์โบราณได้ทิ้งเอาไว้ ไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา
เมื่อมองไปยังโครงกระดูกบนบัลลังก์เขาถอนหายใจเบาๆและคุกเข่าลงอย่างช้าๆ
“บรรพชนเผ่ามนุษย์ทุกท่านพวกเรารบกวนการนอนหลับของพวกท่านโดยบังเอิญ โปรดอภัยให้พวกเราด้วย”
“ฝ่าบาททรงมีพระคุณอย่างสูง ทรงคุ้มครองผู้คนหลายร้อยล้านคนก่อนสิ้นพระชนม์ หลังจากสิ้นพระชนม์ก็ทรงอยู่เคียงข้าง ลูกหลานอย่างข้าจะไม่มีวันลืม”
หลังจากนั้น หลี่มู่ฟาน ก็เปลี่ยนหัวข้อและกล่าวว่า “วันนี้เผ่าร้อยเผ่ารุ่งเรืองขึ้น แต่เผ่าพันธุ์ของพวกเรากับเสื่อมถอย ราวกับฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่ากระหม่อมจะไร้ความสามารถ ก็ยินดีที่จะกำจัดคนเถื่อนให้สิ้นซาก รอจนกว่าจะเตรียมทหารให้พร้อม เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์กระหม่อมจะเป็นผู้นำ 3 ทัพด้วยตนเอง กวาดอาณาจักรทั้งหมดให้เป็น 1 ล้างความอัปยศอดสูให้กับเผ่าของเรา เพื่อฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ของบรรพชน!”
หลังจากพูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังบัลลังก์โดยไม่ลังเล ทันใดนั้นสายลมอบอุ่นก็พัดผ่านวิญญาณของโครงกระดูกก็เปลี่ยนเป็นแสงดาว แล้วค่อยๆสลายไป
“ปัง!”
มงกุฎและดาบสั้นตกลงบนพื้น เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็ส่ายหัวเบาๆและพูดกับทั้งสองที่อยู่ด้านหลังว่า
“มาเก็บมันไว้ก่อน มาดูกันว่าในถ้ำมีอะไรอีกไหม”