491-492
Ep.491
“เฉินเมิ่งเฟย มีขุมกำลังไหนบ้างที่อยู่บนเกาะหวังซวี่? แล้วที่นั่นมีพวกซอมบี้หรือสัตว์กลายพันธุ์รึเปล่า?”
ระหว่างทาง ซูเฉินเอ่ยถามเฉินเมิ่งเฟย
การสังหารซอมบี้และดรอปชิ้นส่วน คือภารกิจหลักของเขา หากมีซอมบี้จำนวนมากบนเกาะหวังซวี่ เขาจะได้รวดฆ่าพวกมันทีเดียวเลย
“บนเกาะหวังซวี่มีซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์อยู่แค่ไม่กี่ตัว อย่างไรก็ตาม พวกมันทั้งหมดล้วนแข็งแกร่งมาก นอกจากนี้ยังมีขุมกำลังมากมายอยู่บนเกาะหวังซวี่ แต่พวกเขาบรรลุข้อตกลงร่วมกันมาเนิ่นนานแล้ว หากมีผู้ใดยุยงปลุกปั่นให้เกิดการต่อสู้ ก็จะถูกกองกำลังอื่นๆโจมตี”
ใบหน้าของเฉินเมิ่งเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เอาจริงๆประโยคเมื่อกี้เธอกระตุ้นเตือนเขา
เธอกระจ่างแก่ใจ ว่าซูเฉินให้ความสนใจที่จะสังหารซอมบี้และสตัว์กลายพันธุ์
อย่างไรก็ตาม ผู้แข็งแกร่งบนเกาะหวังซวี่ก็เหมือนกับก้อนเมฆที่กระจายอยู่ทั่วทั้งเกาะ หากดึงขนเส้นเดียว ก็จะกระเทือนไปทั้งตัว
ต่อให้ซูเฉินแข็งแกร่ง แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งมากมาย ย่อมไม่มีผลดีตามมา
พอได้ยินเรื่องนี้ ซูเฉินก็หรี่ตาลงเริ่มขบคิด
สถานการณ์บนเกาะหวังซวี่ แทบไม่ต่างจากเขตหยูหลินของเกาะเฉียนหยู ซึ่งมีขุมกำลังหลากหลายคอยถ่วงสมดุลกัน
และเมื่อมีคนนอกคิดทำลายสมดุลนี้ ก็มีแนวโน้มที่จะปลุกเร้าความขุ่นเคืองของผู้คนบนเกาะ และถูกรุมล้อมโจมตีได้
ยังไงก็ตาม ซูเฉินไม่ได้เก็บเรื่องนี้มากังวลใจ
ตอนอยู่เขตหยูหลิน ไม่ใช่ว่าเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการรุมล้อมของผู้แข็งแกร่งมากมายหรอกหรือ?
แต่สุดท้าย ก็เป็นเขานี่ที่ทำลายพวกมันจนสิ้น
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมซูเฉินจะไม่ยอมปล่อยซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์บนเกาะหวังซวี่ไป
ส่วนเรื่องขุมกำลังอื่นๆ ใครก็ตามที่กล้ายั่วโมโหเขา พวกมันจักต้องถูกทำลาย และไม่เหลือที่ว่างสำหรับการเจรจาใดๆทั้งนั้น
“มีขุมกำลังอะไรบ้างบนเกาะหวังซวี่?” ซูเฉินถามอีกครั้งอย่างใจเย็น
เนื่องจากตัดสินใจว่าจะสังหารซอมบี้กับพวกสัตว์กลายพันธุ์แน่นอนแล้ว ก่อนหน้านั้น เป็นเรื่องปกติที่จะหาข้อมูลของเกาะหวังซวี่ จะได้เตรียมพร้อมรับมือปัญหาที่จะตามมา
“ขุมกำลังใหญ่ที่สุดของเกาะหวังซวี่ สามารถแบ่งออกคร่าวๆได้เป็นเจ็ดกลุ่ม หากไม่นับเมืองเทียนหวางซึ่งเป็นขุมกำลังฝ่ายมนุษย์ ขุมกำลังอื่นๆล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าทั้งสิ้น” เฉินเมิ่งเฟยกล่าว
“พูดให้มันชัดเจนกว่านี้” หัวใจของซูเฉินเริ่มเต้นแรง ถามต่อทันที
บนเกาะหวังซวี่ที่แท้ยังมีพวกต่างเผ่าอยู่อีกเป็นจำนวนมาก เรื่องนี้เขาไม่ทันคาดคิดมาก่อน หากสังหารพวกมันทั้งหมด จะดรอปชิ้นส่วนได้กี่ชิ้นกัน?
“เหล่าซอมบี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเผ่าอมตะ , เบื้องหลังพวกสัตว์กลายพันธุ์คือเผ่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ ที่เหลือก็จะเป็นขุมกำลังของเผ่าเทพ , เผ่าระฆังศิลา , เผ่าหนามหยก , และเผ่าหินผา”
“มีเผ่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรอ?” ซูเฉินเริ่มตื่นตัวเล็กน้อย
ในบรรดาสุดยอดห้าเผ่าพันธุ์ นอกจากเผ่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ ที่เหลือเขาเคยเผชิญหน้ากับพวกมันมาแล้วทั้งสิ้น แถมยังสังหารไปไม่น้อย
หากครั้งนี้เขาต้องการโจมตีพวกสัตว์กลายพันนธุ์ คงหลีกเลี่ยงการปะทะกับพวกเผ่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้
ในกรณีนี้ นั่นหมายความวว่าเขาได้ล่วงเกินครบทั้งสุดยอดห้าเผ่าพันธุ์แล้ว
ปัจจุบันเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนเลเวล 6 เท่านั้น แต่ขณะเดียวกันกลับกล้าหาเรื่องทั้งสุดยอดห้าเผ่าพันธุ์ หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เกรงว่าคงทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องตกตะลึง
“งั้นบนเกาะหวังซวี่ก็น่าจะมีทางผ่านเขตแดนสำหรับพวกสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าถูกไหม?” ซูเฉินยังคงถามต่อ
“ไม่พวกต่างเผ่าล้วนมาจากที่อื่น แต่ทุกตนต่างมีอาณาเขตของตัวเองบนเกาะหวังซวี่” เฉินเมิ่งเฟยอธิบาย
ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย “ผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาขุมกำลังที่พูดมานี้ อยู่ในเลเวลไหน?”
“แต่ละขุมกำลังล้วนมีผู้ฝึกตนขั้น 6 คอยปกครองอยู่” เฉินเมิ่งเฟยตอบอย่างมั่นใจ
“อะไรกัน แค่เลเวล 6 เองหรอ?” ซูเฉินแสดงท่าทีเหยียดหยามเล็กน้อย
ผู้ฝึกตนเลเวล 6 ในสายตาเขาสามารถทำลายได้ด้วยมือเดียว
นั่นไม่ได้หมายความว่า เขาสามารถอาละวาดไปทั้งเกาะหวังซวี่ได้หรอกหรือ?
ซอมบี้อันใด? สิ่งมีชีวิตต่างเผ่าอันใด? ฆ่าแม่งให้หมด ใครก็ไม่สามารถหยุดเขาได้
เฉินเมิ่งเฟยขบคิดอะไรบางอย่าง แล้วกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ผู้อาวุโส มีเรื่องสำคัญมากที่จำเป็นต้องเตือนคุณ”
“ว่ามา”
ซูเฉินไม่ใส่ใจ
“หากคนนอกอย่างเราเข้าไปในเกาะหวังซวี่ ระดับฐานฝึกตนจะถูกปรับลดลงหนึ่งขั้น”
Ep.492
“หืม? มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ?”
ซูเฉินค่อนข้างประหลาดใจมาก กล่าวเสริมว่า “แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ?”
“ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีข่าวลือว่าบนเกาะหวังซวี่มีมนต์ธรรมชาติซ่อนอยู่ มันสามารถลดทอนกำลังรบขอบุคคลภายนอกได้” เฉินเมิ่งเฟยอธิบาย
ซูเฉินคือจ้าวแห่งการล่าสังหารในทุกที่ที่เขาไป เธอกังวลมากว่าซูเฉินจะอาละวาดบนเกาะหวังซวี่
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า เธอจึงต้องชี้แจงซูเฉินล่วงหน้า
“ถ้าพูดแบบนั้น สรุปก็คือผู้ฝึกตนเลเวล 6 บนหวังซวี่ เดิมล้วนอยู่ในเลเวล 7 ถูกต้องไหม?” ซูเฉินถูจมูกเขาและถาม
“ไม่ใช่แบบนั้น เพราะตราบใดที่คุณเข้าไปในเกาะหวังซวี่ แล้วใช้เวลาอาศัยอยู่ไม่มากก็น้อย ระดับฐานฝึกตนก็จะกลับคืนมาดังเดิมตามธรรมชาติ” เฉินเมิ่งเฟยตอบ
“เกาะหวังซวี่นี่ค่อนข้างแปลกซะจริง” ซูเฉินหัวเราะเบาๆ
แม้เขาจะถูกลดระดับลงหนึ่งขั้น แต่เขาก็ยังเป็นผู้ฝึกตนเลเวล 5
และด้วยความสามารถในการสังหารศัตรูข้ามขั้นของเขา สุดท้ายซูเฉินก็ยังสามารถอาละวาดไปทั่วทุกสารทิศบนเกาะได้อยู่ดี
ดังนั้นเรื่องนี้เขาไม่กังวลเกี่ยวกับมันเลย
เมื่อเห็นว่าซูเฉินไม่มีท่าทีกังวลใดๆ เฉินเมิ่งเฟยก็ส่ายหัวและหยุดพูด
“เจ้านาย พวกเรากำลังจะไปถึงเกาะหวังซวี่แล้ว”
ในจังหวะนั้นเอง จู่ๆ [รถศึกอัจฉริยะ] ก็แจ้งเตือน
ได้ยินแบบนั้น ซูเฉินหรี่ตาลง เพ่งมองไกลออกไป
ไม่ไกลนัก ปรากฏท่าเรือขนาดใหญ่ และมีเรือจำนวนมากกำลังเข้าออกในเวลานี้
ตามแนวชายฝั่งของเกาะหวังซวี่เต็มไปด้วยแนวปะการังสูงชันหนาแน่น แน่นอน การเลือกข้ามแนวปะการังบุกเข้าไปบนเกาะ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันยากลำบากมาก
แล้วอีกอย่าง การเข้าโดยผ่านทางท่าเรือ แต่ละคนต้องจ่ายแค่คนละ 10 หินพลังงานธรรมดาเท่านั้นเอง
ซึ่งผู้ที่สามารถเข้าหรือออกจากเกาะหวังซวี่ได้ ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา แล้วพวกเขาจะเสียดายหินพลังงานเล็กๆน้อยๆพวกนี้ไปทำไม?
ในฐานะเศรษฐีผู้ร่ำรวย ซูเฉินไม่เห็นหินพลังงานพวกนี้อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
เนื่องจากมีเรือเข้าออกค่อนข้างมาก จึงมีคิวยาวล้นออกมานอกท่าเรือในเวลานี้
ซูเฉินไม่คิดอวดเบ่งใดๆ ปล่อยให้ [รถศึกอัจฉริยะ] เข้าแถวตามลำดับ
แต่หลังจากรอสักพัก และเห็นว่าชักช้าไม่ถึงตาตัวเองซักที ซูเฉินจึงเดินออกจากห้องโดยสาร
“สหาย นายก็กำลังจะเข้าไปบนเกาะหวังซวี่เหมือนกันใช่ไหม?”
ในตอนนั้นเอง เรือลำใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าเขา ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีเทา และมีใบหน้าหยาบกร้านเอ่ยถามซูเฉิน
ซูเฉินรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังถามเรื่องไร้สาระ ก็ถ้าไม่เข้าเกาะ แล้วจะต่อแถวทำซากอะไร?
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ด่าอะไรออกไป เพียงพยักหน้าเล็กน้อย
เห็นแบบนั้น สีหน้าท่าทีของชายหยาบกร้านก็เปลี่ยนไป รีบถามว่า “งั้นนายพอจะขายเรือลำนี้ให้ฉันได้รึเปล่า?”
[รถศึกอัจฉริยะ] เวลานี้มีรูปลักษณ์ไม่ต่างจากเรือยอทช์ ลักษณะของมันดั่งเทพนิยาย มีสไตล์และเพรียวลม เขาไม่เคยเห็นเรือเหล็กที่งดงามเช่นนี้มาก่อน จึงเกิดความคิดที่จะซื้อมัน
“ไม่ขาย” ซูเฉินเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา
อีกฝ่ายต้องการซื้อ [รถศึกอัจฉริยะ] ขอบอกเลยว่าฝันเถอะ!
“นายช่วยลองคิดดูดีๆก่อนเถอะน่า เพราะยังไงซะ นายก็จะเข้าเกาะหวังซวี่อยู่แล้ว เรือลำนี้ไม่สามารถตามนายไปได้ตลอดหรอก พวกเรามาต่อรองราคากันดีกว่า” ชายหยาบกร้านยังไม่ยอมแพ้
“ฉันจะบอกแกอีกครั้ง ‘ไม่ขาย’ อย่ามารบกวนฉัน!” ซูเฉินแค่นเสียงเย็น
ได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของชายหยาบกร้านมืดมนลงทันที ดวงตาของเขาทอประกายเย็นเยียบ หลังจากกวาดมองสำรวจซูเฉิน ก็ไม่ได้เอ่ยคำใดอีก
ชายหนุ่มใบหน้าผอมบางที่อยู่ข้างๆเขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ขึ้นเสียงตำหนิว่า “ไอ้หนู อย่ารั้นนักเลย ความจริงแกควรจะรู้สึกยินดีด้วยซ้ำที่ถูกซื้อเรือลำนั้น รู้ไหมว่าพวกเราเป็นใคร?”
ซูเฉินเม้มปาก มุมปากเขายกโค้งเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมาย “ฉันไม่รู้ว่าพวกแกเป็นใคร แต่รู้แค่ว่าแกกำลังจะตาย!”
โผล๊ะ!
ทันทีที่เสียงของซูเฉินเบาลง หัวของชายหนุ่มก็ระเบิดแหลกเป็นชิ้นๆอย่างไม่ทันตั้งตัว