บทที่ 22 เฉินชาง
บทที่ 22
เฉินชาง
หลี่มู่ฟาน หัวเราะ
“แม่ทัพฟาน คนเรานั้นอันตรายมาก ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนไม่สมบูรณ์แบบมีพวกเห็นแก่ตัวอยู่เสมอ เผ่าเอลฟ์ที่เห็นแก่เงินก็มีไม่น้อยเช่นกัน หากถูกพวกเขาจับตามองคงจัดการได้ยาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเขาต่างเข้าใจในทันทีในเวลาเดียวกันก็กล่าวขึ้นว่า “นายน้อยเฉลียวฉลาดยิ่งนัก!”
หลี่มู่ฟาน รู้สึกอารมณ์ดีอย่างมากหลังจากถูกประจบสอพลอ
“หลิวหลง อย่าช้า รีบจัดการเถอะ”
“ขอรับนายน้อย!”
ฟานชิงเยว่ ถามด้วยความสงสัย “นายน้อยหากพวกเราไม่ไปยังเนินโกลาหลแล้วพวกเราจะไปที่ไหนกัน?”
หลี่มู่ฟาน ไม่ตอบเขาเพียงมองทิวทัศน์ของสองฝั่งและยิ้มบางๆ
เมื่อ ฟานชิงเยว่ เห็นดังนั้นใบหน้าของนางแดงระเรื่อเล็กน้อยก้มหัวลงโดยไม่รู้ตัวและแอบมอง อาเฉียง และ ชุ่ยฮัว ที่อยู่ข้างๆเมื่อเห็นว่าพวกเขายังคงสงบนางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
10วันหลังจากนั้นข่าวสงครามในเมืองตงซานได้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินทุกเผ่าพันธุ์ พวกเขาแทบจะไม่สามารถนั่งเฉยๆได้สำหรับอาวุธทำลายล้างที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นในอาณาจักรหยุนฉิน พวกเขาจึงส่งคนสืบเสาะมาที่เมืองตงซาน
พระราชวังสุริยันจันทรา สวนหลวง
ในตอนนี้ชายชราอายุเกือบ 60 ปีกำลังนั่งอยู่ในส่วนของพระราชวังและจิบชาอย่างสบายๆ
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฮ่าวเทียน ที่สวมชุดคลุมของกษัตริย์ก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบร้อน และนั่งลงทันทีไม่รอให้ชายชราลุกขึ้นทำความเคารพ เขาถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ท่านอัครเสนาบดี หวังเมิ่งอวี่ เป็นอย่างไรบ้าง นางขังตัวเองไว้ในห้องอย่างนั้นหรือ?
ชายชรายิ้มเจื่อน “รบกวนฝ่าบาทแล้วที่ทำให้เป็นห่วง ลูกสาวของข้าน้อยก็เอาแต่ใจตัวเองหลังจากกลับมาในวันนั้นก็ขังตัวเองอยู่ในห้องตลอดมา นอกจากสาวใช้ที่ส่งอาหารแล้วก็ไม่มีใครได้พบนาง แม้แต่ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้”
หลี่ฮ่าวเทียน ถอนหายใจ
“ต้องโทษที่ตัวข้านั้นลากนางไปพบกับโจรกบฏคนนั้น ไม่เช่นนั้น น้องหวังคงไม่เป็นเช่นนี้”
ชายชราผู้นี้มีนามว่า หวังฝูเฉิน อัครเสนาบดีของราชอาณาจักร เขาย่อมรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อ 10 วันก่อน
“นึกไม่ถึงว่าชายคนนั้นจะห้าวหาญถึงเพียงนี้ ทหารชั้นยอดหมื่นคนก็ไม่อาจสกัดเขาเอาไว้ได้ กระหม่อมได้ยินว่าชายคนนั้นลงแม่น้ำไปไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงทราบข่าวแน่นอนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฮ่าวเทียน ส่ายหัว แล้วกล่าวว่า “คนผู้นั้นเจ้าเล่ห์ สายลับที่ข้าส่งไปหลายครั้งถูกเขาจัดการจนหมด ท่านอัครเสนาบดีมีความเห็นเช่นไรบ้าง?”
หวังฝูเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ฝ่าบาทแม่น้ำ หยุนชางมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาพลัดพรากทางเหนือสุด วิ่งสู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้จนเข้าสู่ทะเล ทอดยาวไปเกือบครึ่งแคว้นหยุนโจว ในความคิดเห็นของกระหม่อม หากชายผู้นี้หนีทางน้ำ สถานที่ที่เขาจะไปมากที่สุดคงจะเป็นเนินโกลาหล!”
“เนินโกลาหลงั้นหรอ?”
“ทำไมท่านคิดเช่นนั้น?”
หวังฝูเฉิน ใช้นิ้วแตะน้ำชาเบาๆและวาดภาพบนโต๊ะ
“ฝ่าบาท โปรดดูสิ่งนี้ แม่น้ำหยุนชางไหลผ่านช่องเขาชั้นแรก กระแสน้ำจะเบาบางลงอย่างมาก ตลอดทางจะผ่านอาณาเขตของเผ่าเอลฟ์ เผ่าช้าง และเผ่าหมาป่า หลังจากนั้นก็จะไหลลงสู่เทือกเขาพลัดพรากอีกครั้ง จากนั้นค่อยไปยังทางทิศใต้ กระแสน้ำทางนั้นผันผวน เรือใบยังไม่สามารถที่จะข้ามได้ และทางใต้ของแคว้นหยุนโจวเป็นดินแดนของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ เผ่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่รอดได้ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถไหลลงไปสู่อาณาจักรของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ได้อย่างปลอดภัย แต่หลังจากที่นั่นก็เต็มไปด้วยทะเลอันกว้างขวางไม่มีแผ่นดินให้ยืน
กระหม่อมจึงคาดการณ์ว่าชายผู้นี้จะต้องเดินทางไปยังเผ่าเอลฟ์อย่างแน่นอน เนินโกลาหลนั้นมีเผ่าช้างและเผ่าหมาป่า และยังมีเทือกเขาหลงลั่วเชื่อมต่อกัน ซึ่งสถานที่นั้นมีฝูงสัตว์อสูรผ่านไปมาตลอดทั้งปี และเนื่องจากอยู่ใกล้เทือกเขาหลงลั่ว ทรัพยากรจึงอุดมสมบูรณ์และยังมีเผ่าเล็กๆอีกหลายสิบเผ่าที่รอดชีวิตอยู่บริเวณนั้น พวกเขาคือผู้รอดชีวิตจากสงครามและอาศัยอยู่ที่นั่น!”
หลี่ฮ่าวเทียน ได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา “ท่านอัครเสนาบดีสมแล้วที่เป็นเสาหลักของแคว้น หลี่มู่ฟาน ไม่สามารถหลบหนีได้แน่!”
หวังฝูเฉินส่ายหน้าและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นั่นมีภูเขาสูง มีเผ่าเอลฟ์อยู่ด้วย การจะจัดการกับคนผู้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย”
มุมปากของ หลี่ฮ่าวเทียน โค้งขึ้น แล้วอธิบายคำพูดของ หวังเมิ่งอวี่ อีกครั้ง
หวังฝูเฉิน ลูบเครา หลังจากคุณคิดอยู่สักครู่หนึ่งก็เลยว่า “แผนการไล่เสือกลืนหมาป่าของหม่อมฉันเหมาะสมที่สุด หม่อมฉันเคยติดต่อนายท่านเผ่าเอลฟ์เผ่าหนึ่งอยู่พอดี รอจนฤดูใบไม้ผลิปีหน้าบานสะพรั่ง กระหม่อมจะมุ่งหน้าไปยังเผ่าเอลฟ์!”