บทที่ 20 เจ้ากล้าว่าข้าโง่เง่างั้นเหรอ
บทที่ 20
เจ้ากล้าว่าข้าโง่เง่างั้นเหรอ
เสียงแตรยังคงเศร้าสลด แม้แต่ชายฉกรรจ์กระดูกเหล็กก็น้ำตาคอเบ้า กษัตริย์ที่พวกเขารักมากที่สุดกำลังยื่นดอกไม้ให้กับพี่น้องของพวกเขา
มันเป็นความรุ่งโรจน์และเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทหารเช่นพวกเขา
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ หลี่มู่ฟาน ก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นดังมาจากด้านหลัง หลี่มู่ฟาน ถอนหายใจเบาๆและเอามือไขว้หลังจากนั้นพึมพำว่า “ภูเขาเขียวมีกระดูกฝังอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้พวกเจ้านอนรอที่นี่ไปก่อนและข้าจะพาพี่น้องมาพาพวกเจ้ากลับอาณาจักรที่หลัง”
พูดจบเขาก็หันหลัง!
จากนั้นตะโกนว่า “พี่น้องตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาโศกเศร้าพวกเราจะขึ้นแพไม้และออกไปจากที่นี่!”
“ไปขึ้นแพ!”
หลิวหลงกลั้นน้ำตาของตัวเองและตะโกนเสียงดัง
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ไกล
“ภูเขาเขียวขจีมีกระดูกฝังอยู่ทุกหนทุกแห่ง น้องชายยัยเจ้าต้องพูดเช่นนี้?”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ตกใจพวกเขาหันไปมองตามเสียง ในป่าทึบไม่ไกลมีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาประมาณ 200 คน คนที่เดินนำหน้าแต่งกายหรูหราน่าเกรงขามแค่มองดูก็รู้ว่าเป็นมังกรและหงส์ท่ามกลางเหล่ามนุษย์
ทหารองครักษ์รู้จักทั้ง 2 ดี พวกเขาคือ หลี่ฮ่าวเทียน และ หวังเมิ่งอวี่
ทั้งสองฝ่ายพึ่งต่อสู้กันไป การพบกันในครั้งนี้จึงทำให้บรรยากาศเดือดขึ้นอีกครั้ง
หลี่มู่ฟาน แอบตกใจ สถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนของ เผ่าเอลฟ์ เดิมทีเขาคิดว่า หลี่ฮ่าวเทียน ไม่กล้าไล่ตามมา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เตรียมตัวและไม่คิดว่าพวกเขาจะกล้าขนาดนี้
เมื่อเห็นจำนวนคนของฝ่ายตรงข้ามแล้วในใจก็เกิดความสนใจขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อสงครามสักครู่ ทหารนับพันคนยังกักขังพวกเขาไว้ไม่ได้แล้วแค่ทหาร 200 คนนี้กล้าไล่ล่าตามมาอีกหรือ?
เขายิ้มเยาะและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเป็นใคร ที่แท้ก็พวกท่านนี่เอง ทำไม เจ้าไม่อยากทิ้งข้าไว้คนเดียวงั้นหรอ”
หลี่ฮ่าวเทียน ยิ้มเยาะและกล่าวว่า “หลี่มู่ฟาน ในตอนนี้เจ้าเป็นเพียงสุนัขจรจัด แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกสัก 2-3 วันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อข้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเราเคยเป็นพี่น้องกันมาก่อนและเมื่อเห็นเจ้าถูกเนรเทศออกจากบ้านเกิด พี่ชายผู้นี้จึงทนไม่ได้ จึงมาส่งเจ้า!”
หลี่มู่ฟาน ได้ยินก็หัวเราะและกล่าวว่า “ได้ๆ ท่านมีคุณธรรมมาก ข้านับถือ ในอนาคตข้าจะช่วยเล่าขานมิตรภาพและความดีอันสูงส่งของท่านเพื่อให้โลกรู้ว่าท่านเป็นคนประเภทใด”
“เจ้า..”
หลี่ฮ่าวเทียน พูดอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้ากล้าพูดอย่างนั้นหรอ?ไม่กลัวจักรวรรดิต้องการชีวิตของเจ้าหรือไง?”
หลี่มู่ฟาน ยิ้มเยาะ
“ความน่าเกรงขามของจักรวรรดิไม่อาจยั่วยุได้ เจ้าคิดว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์วันนี้จักรวรรดิจะปล่อยข้าไปงั้นหรอ?”
“ฮึ่ม”
หลี่ฮ่าวเทียน เหมือนถูกปิดกั้นด้วยคำพูด เขาแค่นเสียงเย็นชาและไม่พูดอะไรอีก หวังเมิ่งอวี่ ที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นจึงยิ้มบางๆและก้าวเท้าโค้งคำนับ “เมิ่งอวี่ คารวะเสด็จพี่ วันนั้นพระราชวังวุ่นวาย เมิ่งอวี่พยายามตามหาท่าน ข้ากังวลมากในตอนนี้เห็นท่านปลอดภัยแล้วก็วางใจได้”
หลี่มู่ฟานยิ้มเยาะ
“ชายาที่รัก เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตัวข้านั้นเป็นแค่เพียงคนโง่เง่า?”
หวังเมิ่งอวี่ กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ท่านอาจจะเข้าใจผิดไป วันนั้นในวังหลวงมีมือสังหาร และจุดเผาราชวัง ทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เป็นเพราะกษัตริย์คนปัจจุบันนำคนมาปราบปรามความโกลาหล หลังจากนั้นก็ค้นหาทั่ววังแต่ก็ไม่พบท่าน คิดว่าท่านคงประสบพบเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ไปเสียแล้ว
แต่ตั้งแต่สมัยโบราณอาณาจักรนั้นไม่สามารถไร้กษัตริย์ได้ หลังจากที่ปรึกษากับท่านอัครเสนาบดีหวัง และใต้เท้าคนอื่นๆพวกเขาจึงตัดสินใจให้กษัตริย์เฉิงขึ้นครองราชย์ และได้รับความเห็นชอบจากองค์จักรพรรดิแล้ว วันนี้โชคดีที่ได้พบท่านปลอดภัย เพียงแต่เรื่องมาถึงจุดนี้แล้วไม่ใช่ว่ากำลังคนจะเปลี่ยนแปลงได้ หวังว่าต่อไปท่านอย่าได้เคืองแค้นเรื่องนี้เลย”
ทุกคนในที่นี้ต่างมองหน้ากันเมื่อได้ยินสิ่งที่ หวังเมิ่งอวี่ พูด ราวกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด