ตอนที่ 65 ร้านช่างไม้กิล
ตอนที่ 65 ร้านช่างไม้กิล
กายเดินทางมาถึงร้านที่ตนเองซื้อไว้ก่อนออกเดินทางไปทดสอบของชั้นปี 1 ร้านตั้งอยู่ที่ถนน ‘บีท’ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของนครดาราฟ้า ที่นี่มีคนไม่มากไม่น้อยเกินไป เพราะไม่ใช่เขตสำคัญ ชาวเมืองส่วนใหญ่มีฐานะระดับกลางค่อนไปทางต่ำ
ในหลายร้านมีทั้งร้านที่ขายอาหารและของใช้ทุกรูปแบบ แสดงให้เห็นถึงความผสมผสานของหลากหลายอาชีพในถนนบีทแห่งนี้
ยังดีที่มีรถม้าประจำทางวิ่งผ่านจึงประหยัดค่าเดินทางไปกลับจากสถาบันศาสตร์นักรับได้พอสมควร
กายตบกระเป๋าเงินอย่างที่แบนแฟบและยิ้มเจือ ๆ ก่อนจะเดินไปตามทางห่างจากร้านของตัวเองไปประมาณ 2-300 ร้อยเมตร ที่นั้นมีร้านขายพวกฟอร์นิเจอร์ไม้อยู่
“ร้านช่างไม้กิล”
กายอ่านชื่อร้านก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไป ด้านในมีฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ทั้งเก่าและใหม่ กลิ่นที่สัมผัสได้ในร้านมีเอกลักษณ์ของไม้อย่างชัดเจนทำให้กายรู้สึกผ่อนคลายและสงบเป็นอย่างมาก
หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกสองสามที ชายหนุ่มก็เดินสำรวจอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อน
นอกจากกายแล้วในร้านยังมีคนอีกสองสามคน แต่ละคนไม่มีใครส่งเสียงดัง ทุกคนต่างมองดูเดินหาของที่ตัวเองต้องการ
ด้านในร้านไม่กว้างมากนัก แต่มันลึกยาวไปจนถึงด้านหลังร้าน ที่นี่ดูสะอาดและเป็นระเบียบกว่าที่กายคิด
ด้านในสุดยังมีชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าอ่อนโยนผสมกับความจริงจังกำลังนั่งแกะสลักลายของขาเก้าอี้ตัวหนึ่ง ข้าง ๆ มีเด็กสาวผู้รวบผมสีน้ำตาลเป็นมวยนั่งมองดูบิดาของตนเองอย่างใกล้ชิด
ชายคนนั้นอธิบายแต่ละจุดให้เด็กสาวฟังอย่างตั้งใจ ดูเหมือนมันกำลังจะถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้บุตริสาวคนเดียว นอกจากทั้งสองคนยังมีหญิงสาวผู้เป็นแม่ของเด็กสาวนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์คอยกำลังจดบันทึกบัญชีของร้านอย่างใจเย็น
ภาพตรงหน้าทำให้กายรับรู้ให้ถึงคำว่าครอบครัวที่ตนเองเสียไปนานแล้ว
พ่อ..แม่...
กายปรับอารมณ์ของตนเองก่อนจะเดินเข้าไปบอกความต้องการของตัวเอง สุดท้ายก็ซื้อชั้นวางแนวตั้งของขนาด 3 คูณ 3 เมตรจำนวนสองตัว โต๊ะโชว์สินค้ากลางห้องหนึ่งตัว โต๊ะแบบเอียงอีสองตัว เก้าอี้ไม้สองตัว เคาน์เตอร์เก็บเงินอีกหนึ่ง และสุดท้ายกล่องไม้ขนาด 1 คูณ 1 เมตรอีกจำนวนหนึ่ง
แต่ก่อนออกจากร้านกายเจอเก้าอี้น่าสนใจตัวหนึ่ง มันคือเก้าอี้แบบนอนหรือที่เรียกว่าเก้าอี้ระนาดไม้ กายจึงสั่งซื้ออีกหนึ่งตัว
ของทั้งหมดทำให้กายต้องเสียเงินถึง 37 เหรียญทอง
“เจ้าคงเป็นคนซื้อร้านของเจซสินะ เห้อ น่าเสียดาย ถ้าเด็กนั้นไม่เสียคนไปซะก่อน ทั้งที่มีโอกาศในการเรียนรู้ศาสตร์ของช่างโลหะ” ช่างไม้กิลถอนหายใจด้วยความเสียดาย
ดูเหมือนช่างไมกิลจะรู้จักกับช่างโลหะทั่วไป บิดาของเจซผู้ขายร้านนี้ให้เราสินะ
กายสังเกตสีหน้าของกิลได้อย่างชัดเจน
“ขอโทษที...เมื่อก่อนข้าเคยติดต่อกับพ่อของเจซบ่อย ๆ อาจจะเรียกว่าสหายกันก็ไม่ผิดนัก จริงสิ! เจ้าเป็นผู้ช่วยของช่างโลหะที่จะมาเปิดร้านที่นี่ใช่ไหม ถ้างั้นเราคงได้เจอกันบ่อย ๆ ข้าช่างไม้กิล ถ้าอาจารย์ของเจ้าสนใจทำด้ามจับจากไม้หรืองานไม้ บอกข้าได้เลยข้าจะให้ราคามิตรภาพอย่างแน่นอน” ช่างไม้กิลแนะนำตัวเองอย่างเป็นกันเอง
“เดวินช่างโลหะทั่วไป แน่นอนว่าจะแวะไปถ้ามีโอกาส” กายแนะนำตัวกลับไปอย่างเป็นมิตรเช่นกัน แต่ใบหน้าของช่างไม้กิลดูจะอึ้งไปหลังจากได้ยินกายแนะนำตัว หลังจากผ่านไปสองสามวินาทีช่างไม้กลับถึงกลับมาเป็นปกติ
“เฮ่อ...ข้าคงแก่มากแล้ว” ช่างไม้กิลถอนหายใจมองกาย หลังจากเห็นเด็กหนุ่มที่อายุน่าจะไม่มาก ซึ่งมันคิดว่าเป็นเพียงผู้ช่วย แต่กลับมีฝีมือในระดับช่างโลหะทั่วไป มันไม่คิดว่ากายจะพูดโกหกแม้แต่น้อย เพราะทำแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้วในการอวดอ้างฝีมือตัวเอง เนื่องจากผ่านไปยังไงทุกคนก็จะรู้อยู่ดี อีกอย่างช่างโลหะจะไม่พูดถ้าไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง
หลังจากช่างไม้กิลช่วยกายขนของจัดวางตามตำแหน่งเสร็จก็ขอตัวกลับไป กายเดินมาส่งที่หน้าร้านอย่างขอบคุณ เพราะปกติช่างไม้กิลไม่จำเป็นต้องมาช่วยจัดวางก็ได้
กายยกมือปาดเหงื่อบนใบหน้าออก พลางเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่สาดส่องกลางศีรษะ
“วันนี้อากาศร้อนสุด ๆ ไปเลย”
กายเดินออกจากร้านไปหาอะไรกินแถวนี้ ก่อนจะเสียเงินค่าอาหารกลางวันไป 2 เหรียญเงิน 8 เหรียญทองแดง ก่อนจะลูบท้องเดินออกมา นึกถึงอาหารที่กินไปเมื่อสักครู่
แม้จะเป็นอาหารธรรมดา แต่ก็ให้รสชาติที่หลากหลายกลมกล่อมจนน่าแปลกใจ มันถูกเรียกว่าเซด้า เป็นข้าวผัดไข่ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับไก่หวานต้มและไก่ทอดอย่างละนิดละหน่อย เคียงด้วยยำผักพื้นเมืองของนครดาราฟ้าสองสามอย่าง ในนั้นยังมีผลไม้เปรี้ยว ๆ ช่วยให้สดชื่นยามบ่ายได้เป็นอย่างดีอีกสองสามชิ้น
อาหารที่นี่ถูกมากกว่าที่สถาบันศาสตร์นักรบครึ่งหนึ่ง ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะส่วนใหญ่อาหารมักจะมีราคาถามสถานะค่าครองชีพของผู้คนที่ร้านตั้งอยู่
ขณะที่กายเดินกลับไปที่ร้านนอนพักผ่อนในช่วงบ่ายเพราะรู้สึกเพลียจากการเดินทางและจัดการร้านในช่วงเช้า
กายนอนบนเก้าอี้เอนหลังเพื่อพักผ่อนอยู่ชั้นล่างแทนการขึ้นไปนอนชั้นสอง เพราะในช่วงเย็นจะมีคนจากร้านตัวตุ่นเหล็กมาส่งของ
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นด้านนอก กายสะดุ้งตื่นในทันทีรีบลุกเดินออกไปเปิดประตูร้าน
คนที่เคาะประตูเป็นชายกำยำสูงสองเมตรกว่า ๆ ใบหน้าดุดัน แต่งกายด้วยชุดที่ดูกระฉับกระเฉง ด้านหลังยังมีคนเหมือนกับชายคนนี้อีกห้าถึงหกคน ถ้ากายไม่เห็นว่าด้านหลังมีเกวียนขนของจำนวนสองคันมาด้วยกายคิดว่าชายคนนี้คือและพรรคพวกด้านหลังคงเป็นพวกอันธพาลมาเก็บค่าคุ่มครอง
“เจ้าคือเดวินใช้ไหม”
ชายกำยำถามด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ กายพยักหน้าตอบ “อืม” กลับไปเป็นการยืนยันว่าใช่ตน
“พวกเรามาส่งของจากทางร้านตัวตุ่นโลหะ ขอใบสัญญาซื้อขายด้วย”
กายเดินกลับเข้าไปหยิบใบสัญญาซื้อขายและรายการสั่งซื้อ หลังจากยืนยันเรียบร้อยคนส่งของร่างกำยำพากันขนของทั้งหมดเข้าไปทางประตูด้านหลังของร้านที่เชื่อมต่อกับโรงตีเหล็กที่นั่นมีคลังเก็บของขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ของร้านอยู่
คนส่งของทำงานอย่างรวดเร็วเพียงครึ่งชั่วโมงก็จัดการขนของจนเสร็จ กายจ่ายเงินก้อนสุดท้ายอีก 476 เหรียญทอง กับอีก 5 เหรียญเงินไป ซึ่งเป็นอันจบสัญญาการซื้อขายในครั้งนี้
กายมองดูเงินที่เหลืออีกเพียง 42 เหรียญทอง กับอีก 2 เหรียญเงินอย่างหนักใจ มันต้องรีบห้าเงินโดยด่วนที่สุด เพื่อชำระค่าเทอมที่กำลังจะมาถึงอีก 300 เหรียญทอง
และที่สำคัญกายยังมีปัญหาอีหอย่างนั้นก็คือเรื่องงานที่โรงตีเหล็กไร้เวลา ตามปกติแล้ว งานที่นั่นคือการทำเพื่อหารายได้ในระหว่างเรียนที่ทางกองพลที่ 8 จัดหาให้กับนักเรียนที่ได้โควตาของกองพล แน่นอนว่าทางกองทัพหวังให้กายฝึกฝีมือเป็นช่างโลหะจากที่นั่นด้วย
ซึ่งตามปกติมันควรจะเป็นแบบนั้น
แต่กายผู้ที่เป็น NPC ตัวปลอม ย่อมเรียนรู้ได้เร็วมากอีกทั้งยังมีความรู้จากหนังสือบันทึกช่างโลหะคอยเป็นแห่งความรู้ให้ในช่วงที่ไม่เข้าใจตรงไหน ซึ่งนั้นช่วยตัดปัญหาการหวงวิชาของบรรดาอาจารย์ช่างโลหะไปได้
ทำให้ตอนนี้ฝีมือของกายนั้นเรียกว่าอยู่ไม่ไกลเกินช่างโลหะทั่วไปกับอาจารย์ช่างโลหะ เหลือก็แค่สร้างชื่อเสียงในฐานะช่างโลหะก็เท่านั้น
บางทีคงต้องไปบอกเรื่องที่เราเป็นช่างโลหะทั่วไปให้กับโจเซฟ NPC ผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองพลที่ 8 รู้ก่อนจะได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นแบบนั้นอาจจะถูกจับตามองมากเกินไป
เรายิ่งกลัวว่าจะมีใครรู้เรื่องเราเป็นผู้เล่นอยู่
หลังจากเราผ่านภารกิจจะได้เป็นนักเรียนชั้น ปี 2 ซึ่งจะมีอิสระมากขึ้น แบบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงานที่โรงตีเหล็กไร้เวลาก็ได้ ซึ่งทางสถาบันศาสตร์นักรบจะไม่บังคับเราตามเงื่อนไขของนักเรียนโควตากองทัพอีก แบบนั้นเราก็จะได้อิสระมากขึ้น
ส่วนตอนนี้เรายังอยู่ในช่วงเตรียมตัวทำภารกิจเลื่อนชั้น ถ้าจะไม่เข้าไปทำงานที่โรงตีเหล็กไว้เวลาก็ไม่แปลกเท่าไหร่ จะไม่มีการรายงานไปทางกองพลอย่างแน่นอน เพราะถือเป็นเรื่องปกติที่เด็กนักเรียนจะทุ่มเทให้กับภารกิจเลื่อนชั้น
แต่ถ้าเราทำภารกิจไม่สำเร็จ โควตาที่เราหยุดไปจบถูกนับทบต้นทบดอก
กายที่อยู่ในห้วงความคิด พอนึกมาถึงตรงนี้ก็ถึงกับขนลุกเล็กน้อย ถ้าต้องใช้เวลาอีกนับเดือน ๆ ในเกมทำแต่แท่งเหล็กดิบ
“แน่นอนว่าเราจะผ่าน แต่ถ้าไม่ เราจะใช้เงินซื้อแท่งเหล็กดิบไปส่งให้อาจารย์ช่างโลหะจอห์นแทนไม่อย่างนั้น เราคงโดนใช้งานจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแน่”
กายพูดให้กำลังใจตัวเองก่อนจะมองไปที่กองวัตถุดิบและแร่ที่เติมเต็มคลังที่ว่างเปล่าจนเกือบเต็มด้วยความคาดหวังว่าจะทำเงินได้มหาศาล
ชายหนุ่มรู้ว่าสภาพของตัวเองตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะทำงาน ดังนั้นมันจึงปล่อยของทั้งหมดไปก่อน กลับไปที่พิมพ์เขียว เริ่มทำงานเบา ๆ ร่างแบบลงในกระดาษที่มีอยู่ไม่มาก
กายไม่ได้ร่างแบบของค้อนสั่นสะเทือน แต่กำลังวาดพิมพ์เขียวของดาบตะบองเพชรที่เคยทำหายออกมาใหม่ จากนั้นก็เริ่มวาดของอย่างมีดสั่นที่มีระดับตั้งแต่ 1 จนถึง 3 เพราะมีดพวกนี้แม้จะมีระดับไม่สูง แต่กลับมีประโยชน์หลาย ๆ อย่างในตอนที่กายสู้ในป่าเคนารีส
กายยังสร้างพิมพ์เขียวของดาบในระดับ 1 ไปจนถึง 3 อีกด้วย โดยรูปร่างเน้นไปที่หรูหราและเท่ ส่วนต่อมาคือความทนทานมากกว่าความคม แน่นอนว่ายังมีพวกที่เน้นใช้งานเฉพาะด้าน แต่ทั้งหมดไม่เกินระดับ 3 ส่วนพวกที่เป็นระดับ 4 กายจะสร้างไว้โชว์เท่านั้น
อีกอย่างกายหวังว่าร้านที่มีอาวุธหลากหลายจะขายได้ง่าย หรือก็คือกายกำลังเน้นขายแบบปริมาณมาก ๆ สร้างง่ายขายคล่องแทน
ส่วนเป้าหมายนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือผู้เล่นในนครดาราฟ้าที่มีเงินจำนวนไม่มากและตอนนี้คนเหล่านั้นก็คงจะตามหาซื้ออาวุธกัน ซึ่งในช่วงแรกผู้เล่นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในนครดาราคงไม่มีเงินมากอยู่แล้ว
กายได้เปรียบช่างโลหะและร้านขายอาวุธคนอื่น ๆ เพราะตนมีข้อมูลของผู้เล่นจำนวนมาก ที่สำคัญชายหนุ่มมีแผนจะเป็นหน้าม้าให้ร้านตัวเองในโลกความจริง
ยิ่งคิดมาถึงตรงนี้กายก็ยิ้มออกมาจนหน้าบานด้วยความตื่นเต้น มันกำลังจินตนาการเหรียญทองนับพัน ๆ เหรียญที่ไหลเข้ามาในกระเป๋า