บทที่ 14 แข็งกระด้าง
บทที่ 14
แข็งกระด้าง
“นี่มันธนูอะไรกัน!”
เมื่อแม่ทัพรักษาประตูเมืองเห็นฉากนี้เขาตะโกนเสียงดังและกล่าวออกมา “ยิง รีบยิงพวกเขาเร็วเข้า!”
แม้ว่าจะมีนักธนู 500-600คนบนกำแพงเมือง แต่พวกเขาหวาดกลัวต่อลูกธนูที่ยิงสวนขึ้นมา แต่ด้วยคำสั่งของผู้นำพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผชิญหน้ากับมัน
น่าเสียดายที่พวกเขาพบว่ากลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างได้ถอยไปไกลกว่าระยะยิงธนูแล้วด้วยแรงของธนูและลูกธนูของพวกเขาเพียงแค่ยิงออกไปสุ่มๆเท่านั้น
สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือภายใต้เกาะหนังบางๆของพวกเขาจะสู้กับทหารที่สวมเกราะเหล็กหนาได้อย่างไร ธนูของพวกเขาจะสามารถยิงทะลุเกราะหนาเหล่านั้นได้อย่างไรกัน?
แม้แต่ทหารองครักษ์ก็แทบจะไม่เชื่อ ธนูสามัญระดับกลางมีระยะการยิงที่ไกลแล้วยังมีอานุภาพที่ไม่ธรรมดา
ต่อให้ยิงออกไปไกลๆก็สามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาล ยิ่งกว่านั้นทหารองครักษ์ล้วนแต่เป็นทหารชั้นยอดและแข็งแกร่งกว่าทหารทั่วไปมาก มันดูเหมือนเป็นการยิงธนูสุ่มๆแต่ความเป็นจริงเป็นการสังหารหมู่จากด้านล่าง
ในเวลาเพียงครู่เดียวบนกำแพงก็มีคนล้มลงไปกองเรื่อยๆหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าอีกไม่นานคงไม่มีใครกล้ายืนอยู่บนกำแพง เมื่อแม่ทัพรักษาเมืองเห็นดังนั้นก็ตะโกนว่า
“ปิดประตูเมือง ทุกคนโจมตี!ฆ่าพวกกบฏให้หมด!”
ประตูเมืองที่หนาและหนักค่อยๆปิดลงอีกครั้งเสียงตะโกน ฆ่ายังคงดังกึกก้องไปทั่วทิศทาง
หลี่มู่ฟาน ตกใจเล็กน้อยเขาเห็นว่าผู้คนและทหารจำนวนมากกำลังหลั่งไหลมาตามสองข้างกำแพงเมือง
“ฝ่าบาท พวกเราควรทำอย่างไรดี”
หลิวหลงถามอย่างร้อนรนเมื่อมองไปที่ประตูที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของ หลี่มู่ฟาน กระตุกเขาโกรธและตะโกนว่า “ควรทำอย่างไรอีก?ก็ฆ่ามันสิ!”
“ฆ่า!”
หลิวหลงตะโกนด้วยความโกรธและกระโจนออกไป
ทันใดนั้นสายเลือดก็ปลิวว่อนในสนามรบ ทหารองครักษ์ใช้ดาบเหล็กระดับสามัญขั้นกลางและเกราะป้องกันของเขาเองก็เป็นระดับสามัญขั้นกลางเช่นกันเมื่อปะทะกันพวกเขาจึงได้เปรียบ
หลี่มู่ฟาน นั่งอยู่บนหลังม้าและถูกปกป้องโดยทุกคนเขากำลังกวาดสายตามองฉากต่อสู้นองเลือดอยู่ตรงหน้า เลือดเนื้อที่กระเด็นกระดอนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเขา เขาตะโกนขึ้นว่า “จางเถี่ยไปปกป้องทางปีกซ้าย!”
“รับทราบ”
ในสนามรบมีคนตอบเสียงดัง
“หลิวหลงไปปกป้องทางปีกขวา!”
“รับทราบ”
“ชุ่ยฮัว ! เจ้าไปป้องกันด้านหลัง!”
“รับทราบ!”
เสียงใสกังวานของหญิงสาวดังขึ้น ชุ่ยฮัว อยู่ในระดับหลอมร่างกายระดับ 2 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าหลิวลงเล็กน้อย
“อาเฉียง! เจ้าไปฆ่าศัตรูที่กระจัดกระจายออกมา!”
“รับทราบนายท่าน!”
อาเฉียง มีพลังอยู่ในระดับ 3 ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดและมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถสังหารศัตรูได้อย่างง่ายดาย
ภายใต้การสั่งทหารของ หลี่มู่ฟาน รูปแบบค่ายกลก็เปลี่ยนไปราวกับพวกเขาชำนาญในการสงคราม การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆศพเริ่มกองใหญ่ขึ้นแต่หากมองอย่างละเอียดจะพบว่าทหารที่เสียชีวิตล้วนเป็นทหารรักษาเมือง แต่สำหรับทหารองครักษ์ของ หลี่มู่ฟาน กับไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายนัก
ด้วยเหตุผลที่อุปกรณ์ของพวกเขาแตกต่างกันมาก ดาบเหล็กชั้นดีสามารถต้านทานและฆ่าฟันศัตรูได้เพียงแค่การฟันครั้งเดียว แต่อาวุธธรรมดาไม่สามารถทำรายการป้องกันของเกราะเหล็กชั้นดีได้
นอกจากนี้ความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของทหารทั้งสองฝ่ายอย่างแตกต่างกันมาก มันเหมือนกับคนธรรมดาสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาแล้วถือกระบองไม้ในขณะที่อีกคนเป็นชายกล้ามใหญ่ถือดาบใหญ่
จางเถี่ยถือดาบคู่ของเขาบุกไปยังปีกซ้าย แม้ว่าเขายังไม่ได้อยู่ในขั้นการหลอมรวมร่างกายแต่เพราะดาบที่คมกริบและเกราะของเขาที่แข็งแกร่งทำให้เขาสามารถใช้ดาบของเขาป้องกันปีกซ้ายไว้ได้อย่างหนาแน่น
หลิวหลงถือดาบไว้ในมือสมกับเป็นแม่ทัพของราชอาณาจักร เขามีฝีมือในการต่อสู้และเคลื่อนไหวที่เฉียบคม ไม่รู้ว่ามีศัตรูกี่คนแล้วที่ล้มลงภายใต้ดาบของเขา
ด้านหลังมี ชุ่ยฮัว ที่สวมเครื่องแบบสีแดง นางถูกฉีดเสริมพันธุกรรมทำให้ระดับของนางนั้นมากกว่าทหารธรรมดาที่ต่อสู้ นอกจากนี้ในเกมโลกใหม่ นางเคยชินกับการเข่นฆ่ามาตลอด การลงมือของนางนั้นเฉียบขาดและสามารถสังหารศัตรูได้เพียงการโจมตีครั้งเดียว
สำหรับการต่อสู้แบบตัวต่อตัวสถานการณ์เลวร้ายมาก เนื่องจากความแข็งแกร่งของ อาเฉียง นั้นแข็งแกร่งเกินไป อาวุธในมือของเขายังเป็นดาบกวนกงที่ หลี่มู่ฟาน สร้างขึ้นมาเพื่อเขา การกวาดล้างในครั้งนี้ฉากที่เกิดขึ้นราวกับเทพสงครามกำลังสังหารผู้คน แล้วไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา
บนหอคอยไม่ไกลจากประตูเมือง หลี่ฮ่าวเทียน มองไปที่ หลี่มู่ฟาน ที่สั่งการในสนามรบและมองไปที่กองพันส่วนตัวที่ดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดในสนามรบใบหน้าของเขาเต็มด้วยความมืดมน
หวังเมิ่งอวี่ ที่มักจะดูสง่างามและใจเย็นอยู่ตลอดยืนอยู่ข้างๆเขาก็ตกใจเช่นกัน นางไม่เพียงตกใจกับพลังการต่อสู้อันน่าตื่นตะลึงของทหารองครักษ์เหล่านั้น แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการกระทำของ หลี่มู่ฟาน
ในความทรงจำของนาง หลี่มู่ฟานเป็นคนใจดี อ่อนแอ และพูดง่ายเสมอมา แต่ในตอนนี้ใจกลางสนามรบชายหนุ่มที่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงกำลังสั่งการและทำลายความทรงจำเดิมของนางอย่างสิ้นเชิง
“หรือว่าเขาเสแสร้งมาตลอด?”
หวังเมิ่งอวี่ คิดขึ้นในใจก่อนที่จะปฏิเสธอีกครั้ง
“หากเขามีความสามารถเช่นนี้จริงๆ ในคืนแต่งงานคงไม่ตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถเช่นนั้น?”
ขณะที่นางกำลังคิดอยู่ในใจจู่ๆ หลี่ฮ่าวเทียน ก็พูดเสียงทุ้มต่ำว่า “น้องหวัง คิดไม่ถึงว่าคนพูดนี้จะรับมือได้ยากขนาดนี้ สถานการณ์ในตอนนี้เจ้าคิดอย่างไร?”
หวังเมิ่งอวี่ ถอนหายใจและลบความคิดในหัวของนาง นางมองไปที่สนามรบ ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกล่าวอย่างเมินเฉยว่า
“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องกังวลในความเห็นของข้าแม้ว่าพวกกบฏจะดุร้ายแต่จำนวนคนนั้นเพียงน้อยนิด”
“หากต่อสู้ไปอีกสักพักจะต้องหมดแรงอย่างแน่นอนเมื่อถึงตอนนั้นแม่ทัพจ้าวอันก็จะสามารถนำทหารบุกทะลวงเข้ามาและจับกบฏเหล่านี้”
หลี่ฮ่าวเทียน ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเบาๆแล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกัน พวกกบฏใช้อาวุธที่ดีเพียงเท่านั้น ไม่รู้ว่าพวกเขาเอาอาวุธเหล่านี้มาจากไหนมากมาย หลังจากนี้ข้าคงต้องสืบหา”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่เขาก็หันไปถามองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังว่า “ไปแจ้งจ้าวอัน ให้รีบจัดการเผ่ากระทิงเถื่อนแล้วรีบมาที่นี่เร็วที่สุด หากใช้เวลาเกิน 1 ก้านธูปก็ให้เขาถอดเกราะและกลับไปทำนาทำไร่เถอะ!”
องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังได้ยินดังนั้นก็ตอบอย่างนอบน้อมว่า “เรียนฝ่าบาท ผู้น้อยได้รับข่าวแม่ทัพจ้าวได้จัดการเผ่ากระทิงเถื่อนที่ก่อเรื่องแล้วตอนนี้เขากำลังนำทหารของเขามาที่นี่”
“ดี”
หลี่ฮ่าวเทียน พยักหน้าและไม่พูดอะไรเขามองไปที่สนามรบด้านหน้าด้วยสีหน้ามืดมน