THW ตอนที่ 7+8(1/3)
THW ตอนที่ 7+8(1/3) ทัวร์พิพิธภัณฑ์เมโทรโพลิทัน + ความแตกตื่นในพิพิธภัณฑ์
หลังจากออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ เย่เทียนก็ตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดินทันที
ระหว่างทาง เขาได้ซื้อมือถือเครื่องหนึ่ง พร้อมกับแว่นตากันแดดที่วางขายบนแผงข้างถนน
มือถือเครื่องก่อนของเขาได้กลายเป็นซากไปแล้ว และเขาจำเป็นต้องมีมือถือเครื่องใหม่ไว้ติดตัว
และการซื้อแว่นกันแดดของเขาก็เพื่อที่จะปกปิดมัน ปกปิดดวงตาของเขายามเมื่อทำการตรวจสอบวัตถุโบราณในพิพิธภัณฑ์ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นก็ได้!
เมื่อเข้าเดินมาถึงทางเข้าของสถานีรถไฟใต้ดิน และกำลังจะเดินเข้าไปนั้น เขาก็ต้องถอยหลังกลับมาเพราะสังเกตเห็นป้ายที่เกือบจะตกลงมาตรงบันไดทางเดินลงไป!
เขามองเห็นทางลงไปยังใต้ดินตรงหน้าที่เสียหายเล็กน้อย ได้เปล่งแสงสีขาวออกมาเหมือนกับปืนโบราณเมื่อวาน เพียงแต่ว่าแสงของมันไม่ได้บริสุทธิ์และผสมปนเป ไม่ได้เหมือนกับแสงที่ออกมาจากปืนกระบอกนั้น
เห็นได้ชัดว่าสถานีรถไฟใต้ดินถือเป็นของโบราณอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงได้เปล่งแสงออกมา
ยังไงก็ตาม สิ่งก่อสร้างนี้ก็ได้รับการซ่อมแซมอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะ ดังนั้นแสงที่ปรากฏขึ้นจึงผสมปนเปไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน!
สีหน้าของเย่เทียนกลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สวมแว่นกันแดดลงบนหน้า เกรงว่าจะแสดงพิรุธออกไป
เขาไม่อยากจะใช้ตาทิพย์ขึ้นที่นี่ เพราะว่าเวลาของมันมีจำกัด! มันคงไม่ฉลาด หากต้องเสียไปให้กับสถานีรถไฟใต้ดินที่ไร้ประโยชน์
เมื่อออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน คุณก็จะมาถึงเขต เอสซีของแมนแฮตตัน
วัตถุจำนวนมากพากันเปล่งสีขึ้นในตาของเย่เทียน บ่งบอกว่าสิ่งก่อสร้างพวกนี้มีประวัติความเป็นมา
เขาพบว่าตราบเท่าที่เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ก็จะเปล่งแสงสีขาวออกมา แต่ว่าก็เหมือนกับสถานีรถไฟใต้ดิน ที่แสงพวกนั้นจะผสมปนเปกันมั่วไปหมด
ส่วนตึกสมัยใหม่นั้นจะไม่มีแสงเปล่งออกมา แม้ว่ามันจะงดงาม แต่พวกมันก็ไม่ใช่ของโบราณ
แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางวันในแมนแฮตตัน ดวงตาของเย่เทียนก็ได้เป็นประกายด้วยความเจิดจ้า ทุกๆ ก้าวที่เดิน เขาก็เห็นสิ่งปลูกสร้างที่มีประวัติศาสตร์เปล่งแสงสีขาวออกมา
โชคดีที่แสงสีขาวนี้นวลตาและไม่จ้าจนเกินไป ดังนั้นเขาจึงสามารถชื่นชมกับมันได้ และไม่ทำให้ตาล้า
.............
หลังจากสิบนาทีผ่านไป
เย่เทียนก็ได้มายืนอยู่หน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิทัน และเริ่มต่อแถวซื้อตั๋ว เพื่อรอเข้าไปข้างในพิพิธภัณฑ์
นี่ก็เหมือนกับสิ่งปลูกสร้างที่มีประวัติความเป็นมา พิพิธภัณฑ์ตรงหน้าเขาได้เปล่งแสงสีขาวออกมา และมีความสว่างที่ค่อนข้างสูง
อาจเพราะมันถูกสร้างขึ้นในปี 1870 ดังนั้นจึงทำให้มันมีความสว่างมากกว่าสิ่งปลูกสร้างอื่น!
สิบนาทีต่อมา เย่เทียนก็ได้เดินถือตั๋วเข้าประตูพิพิธภัณฑ์ไป
เพียงเข้าไปได้สองก้าว ลำแสงที่น่าตกใจหรือกระทั่งบ้าคลั่งก็เริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาเขา แต่โชคดีที่มันได้ถูกแว่นกันแดดบังเอาไว้ ไม่อย่างนั้น คงจะต้องดึงดูดความสนใจของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างแน่นอน
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือรูปปั้นของฟาโรห์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าส่วนของการแสดงศิลปะอียิปต์โบราณ
เมื่อเขาเข้าไปใกล้รูปปั้นนั้น เขาก็พลันเห็นแสงที่เปล่งออกมาจากทั่วทั้งตัวรูปปั้น มันทั้งจ้าและก็งดงามเป็นอย่างมาก!
ไม่เหมือนกับแสงสีขาวที่ส่องออกมาจากตึกที่ผ่านช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่ด้านนอก เพราะแสงที่ออกมาจากรูปปั้นฟาโรห์นี้เป็นแสงสีม่วง ที่แทบจะกลายเป็นสีม่วงเข้ม!
“ว้าว! นี่มันอะไรกันเนี่ย? ทั้งที่ก็เป็นของโบราณเหมือนๆ กัน แต่ทำไมมันถึงได้ต่างกันมากขนาดนี้ได้?”
ในหัวของเย่เทียนเต็มไปด้วยคำถาม และเขาก็ต้องการที่จะรู้คำตอบในทันที แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะตรวจสอบปัญหา เพราะว่าที่นี่มีคนอยู่เป็นจำนวนมากเกินไป! เขาไม่สามารถที่จะอยู่นิ่งนานเกินไปได้
เขาทำการสะกดข่มฝืนความอยากรู้เอาไว้ และเย่เทียนก็ได้เดินตามฝูงชนเข้าไปยังส่วนจัดแสดงศิลปะอียิปต์โบราณที่อยู่บนชั้นแรก
ทำไมแสงที่ออกมาจากรูปปั้นฟาโรห์ถึงเป็นสีม่วงล่ะ? หรือว่าแสงจะเกี่ยวข้องกับของโบราณอย่างอื่น?
ขณะที่เดินเข้าไปในโถง ความตกใจก็ได้กระแทกเข้าใส่เขาอีกครั้ง
ที่นั่นมีรูปปั้นสฟิงซ์หินซึ่งมาจากศตวรรษที่ 5 ตั้งอยู่ที่ทางเข้า และแสงที่เย่เทียนเห็นจากมันก็คือสีดำ
แสงจากของโบราณได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง! แต่ว่ามันเพราะอะไรล่ะ?
และเมื่อคิดถึงอายุของรูปปั้นสฟิงซ์และรูปปั้นฟาโรห์ที่หน้าประตู เย่เทียนก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว
เพราะมาจากช่วงเวลาที่ต่างกัน ดังนั้นแสงที่เปล่งออกมาจึงได้แตกต่าง!
รูปปั้นฟาโรห์นั้นมีอายุประมาณ 4-5 พันปี แสงที่เปล่งออกมาจึงเป็นสีม่วง ในขณะที่รูปปั้นสฟิงซ์หินนั้นมีอายุประมาณ 7,000 พัน แสงที่เปล่งออกมาก็เลยเป็นสีดำ
ในขณะเดียวกัน เย่เทียนก็ได้พบว่าความสามารถของดวงตาเขาก็ได้มีขีดจำกัดเรื่องระยะทางอยู่
มีเพียงแค่ระยะห้าเมตรเท่านั้นที่เขาจะสามารถมองเห็นแสงที่เปล่งออกมาจากของโบราณ หากว่าห่างกว่านั้น มันก็จะไม่ต่างอะไรไปจากการมองของคนทั่วไป
เมื่อรู้อย่างนี้ เย่เทียนก็พลันรู้สึกสูญเสียนิดหน่อย
ความสามารถนี้ไม่ได้ยอดเยี่ยมมากเท่าไหร่! เพราะจำเป็นต้องเข้าไปใกล้ถึงจะใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ใช่ว่าจะแค่กวาดตามองแล้วจะสามารถพบของโบราณชิ้นอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ได้
ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกดีใจเล็กน้อยที่ไม่ลืมสวมแว่นกันแดดปิดเอาไว้!
หากว่าไม่มีการจำกัดระยะแล้วล่ะก็ มันคงจะน่าสนุกยิ่งกว่านี้อย่างแน่นอน!
โชคดีที่ในอเมริกาไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนัก ดังนั้นมันจึงไม่มีสิ่งปลูกสร้างทางประวัติศาสตร์ที่มากมายอะไร ดังนั้นลำแสงที่เปลี่ยนจึงมีอยู่จำกัด
หากว่าเปลี่ยนเป็นที่จีนหรือว่าประเทศอื่นๆ ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เกรงว่าทุกที่คงส่งแสงออกมาราวกับหลอดไฟนีออนตลอดทั้งวันก็เป็นได้ และเมื่อเป็นอย่างนั้น ดวงตาของเขาคงได้บอดไปก่อนแน่!
.…………
จากนั้น เย่เทียนก็ได้เริ่มเยี่ยมชมของตกทอดจากวัฒนธรรมอื่น
ของตกทอดจากวัฒนธรรมที่อยู่ที่นี่ มีประวัติที่ยาวนานกว่าสามพันปี และแสงที่เปล่งออกมาหากไม่เป็นสีม่วงก็ต้องเป็นสีดำ แต่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นสีม่วง เพียงแต่จะต่างกันที่ความลึกของเฉดสีเท่านั้น
หลังจากเปรียบเทียบสิ่งของมาจำนวนหนึ่ง เขาก็ค้นพ้นอย่างรวดเร็วถึงความสัมพันธ์ระหว่างยุคของสิ่งตกทอดทางวัฒนธรรมในโถงจัดแสดงแห่งนี้และสีที่เปล่งออกมา
ระหว่างสำรวจ เย่เทียนก็ได้ทดลองความสามารถตาทิพย์ พยายามที่จะมองดูสถานการณ์ข้างในของสิ่งของที่ตกทอดมา
แต่ว่าเขาก็ทิ้งความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยเขาก็จะไม่ทดลองมันในโถงจัดแสดงแห่งนี้
ความพยายามครั้งแรกของเขาจบลงด้วยความล้มเหลว
สิ่งที่เขามองทะลุเป็นสิ่งแรกก็คือโลงศพหินใบหนึ่ง นี่ก็เหมือนกับการมองทะลุกำแพงเมื่อคืน ดวงตาของเขาไม่สามารถมองทะลุโลงศพหินนี้ไปได้
และเมื่อค้นพบสิ่งนี้ เขาก็พลันถอนสายตากลับในทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการหมดสติลงที่นี่
และสิ่งที่สองที่เขามองดูก็คือมัมมี่ที่ถูกพันอยู่ในผ้าลินิน ซึ่งครั้งนี้เขาทำได้สำเร็จ!
แต่เมื่อเขามองเข้าไปในมัมมี่น้น เขาก็พบกับร่างที่แข็งเป็นหิน พร้อมกับหน้าอกที่กลวงโบ๋และอวัยวะภายในต่างๆ จนทำให้เขาแทบอ้วออกมาด้วยความสะอิดสะเอียน!
ทำให้เขาต้องรีบถอนสายตากลับมาในทันที และเขาก็ไม่อยากจะมองทะลุสิ่งที่อยู่โถงจัดแสดงนี้อีก เพื่อไม่ให้ตัวเขารู้สึกกินอะไรไม่ลง หรือกระทั่งเก็บเอาไปฝันร้าย
พร้อมๆ กับการทดลองต่างๆ เย่เทียนก็ค่อยๆ ค้นพบความสามารถอื่นๆ ของดวงตาของเขา
รวมถึงความสามารถในการมองเห็นแสงที่เปล่งออกมาจากวัตถุโบราณ และสามารถมองทะลุสิ่งของบางๆ ได้ พร้อมๆ กับลำแสงที่เปล่งออกมาจากวัตถุโบราณนั้นจะมีชั้นซ้อนทับกันอยู่ หนาบ้างบางบ้างต่างกันไป ซึ่งเหมือนกับว่ายิ่งเป็นงานที่มีคุณค่าทางศิลปะมาก ลำแสงก็จะยิ่งหนา
ซึ่งนี่เห็นได้ชัดจากรูปปั้นหรือวัตถุโบราณอื่นๆ ที่สะท้อนออกมาจากชีวิตของอียิปต์โบราณ ลำแสงของวัตถุโบราณบางชิ้น กระทั่งว่ามีความหนาหลายสิบชั้น!
จากสิ่งนี้ ทำให้เขานึกไปถึงรูเกอร์ พี 08 เมื่อวาน ปืนพกกระบอกนั้นมีลำแสงสีขาวนวลตา แต่ว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาค้นพบความสามารถนี้ และไม่เข้าใจว่ามันมีหมายถึงอะไร
และเขาก็ค้นพบว่าตราบเท่าที่ความสามารถตาทิพย์ไม่ถูกใช้ ดวงตาของเขาก็เหมือนกับว่าไม่เสียพลังงานไป และเขาก็สามารถมองเห็นแสงที่ออกมาจากวัตถุโบราณได้ตลอดเวลา
แต่ถ้าหากว่าคุณใช้ความสามารถตาทิพย์นี้ มันก็จะลงเอยเหมือนกับเมื่อวาน และจะสามารถใช้ได้เพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น
ไม่นาน เย่เทียนก็เหมือนจะค้นพบความสามารถพิเศษอีกอย่างในตาเขา
สิ่งที่เขาค้นพบเป็นสิ่งต่อไปก็คือแสงที่ออกมาจากวัตถุโบราณต่างยุคกันนั้นจะมีสีที่ต่างกัน
เมื่อเข้าใจสิ่งนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณเกือบจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะและการประเมินวัตถุโบราณ! ไม่ว่าจะเป็นของโบราณชิ้นไหน หรือ งานศิลปะอะไร ก็ไม่สามารถหนีไปจากสายตาของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม อายุ มูลค่า และอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแต่เห็นชัดกระจ่าง! คุณเพียงแค่ถามและซื้อมันมา!
แน่นอนว่านี่เป็นแค่เรื่องน่าขำ! เพราะว่าเขาไม่สามารถบอกใครได้ แม้ว่ามันจะค่อนข้างน่าเสียดายเล็กน้อย แต่มันก็จะนำเงินและชื่อเสียงนับไม่ถ้วนมาให้กับตัวเขา
เมื่อคิดได้อย่างนี้ เย่เทียนก็พลันตื่นเต้นและเกือบจะเป็นบ้าขึ้นมา