80Y-ตอนที่ 90 ความสงบสุขที่กลับคืนมา
คนจากนิกายเส้นทางสวรรค์กำลังมองดูเรื่องนี้ด้วยความสนใจ
โดยเฉพาะประมุขนิกายหลัวหยู
เขาเคยเห็นองค์หญิงหยูหลินเป็นการส่วนตัวเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
ในเวลานั้นองค์หญิงหยูหลินเป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะพลังขั้นก่อกำเนิด
นางบริสุทธิ์และไร้เดียงสามาก เป็นเหมือนกับน้องสาวในอุดมคติ
ในอดีตองค์หญิงหยูหลินไม่ชื่นชอบการฝึกฝน
นางไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับความแข็งแกร่งเหมือนกับจักรพรรดิเต๋อ
แต่ตั้งแต่นางค้นพบความลับของนิกายเส้นทางสวรรค์นางก็มีความขยันขันแข็งในการฝึกฝนมากขึ้น
จากนั้นด้วยความช่วยเหลือของ หลินจิ่วเฟิง นางได้กลายเป็นปลาคาร์พที่กระโดดข้ามประตูมังกร
คนนอกอาจจะไม่เห็นการมีส่วนร่วมของหลินจิ่วเฟิงเพราะพวกเขาคิดว่าองค์หญิงหยูหลินคืออัจฉริยะหาใดเปรียบที่ซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ตลอดเวลา
หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ในราชสำนักต้องการเสียสละนางออกไปเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ นางคงจะยังซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้
ประชาชนธรรมดาทั่วไปไม่ได้มีช่องทางมองหาข้อมูลมากมายขนาดนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อมั่นในข้อเท็จจริงนี้
ทว่าประมุขนิกายหลัวหยูแห่งนิกายเส้นทางสวรรค์กลับไม่เชื่อ
เขารู้สึกว่ามีคนคอยชี้นำองค์หญิงหยูหลินอยู่เบื้องหลังและคอยเตือนจักรพรรดิเต๋อ
คำถามก็คือ-คนผู้นี้เป็นใคร?
ประมุขนิกายหลัวหยูเชื่อว่าเป็นผู้อาวุโสลึกลับที่ช่วยเหลือเมืองหลวงราชวงศ์เมื่อ 5 ปีก่อน
เขาที่ต้องการจะกลืนกินราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาย่อมต้องตรวจสอบสถานการณ์ทั้งหมดก่อนหน้านี้ของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวามาหมดแล้ว
และยอดฝีมือลึกลับผู้นี้ได้อาศัยอย่างสันโดษในเมืองหลวงและช่วยราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาให้รอดพ้นจากหายนะมาตั้งหลายครั้ง
คนผู้นี้จะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังขององค์หญิงหยูหลินงั้นหรือไม่?”
ดวงตาของประมุขนิกายหลัวหยูได้เย็นชา
เขาเอื้อมมือออกไปและกำหมัดแน่น“ข้าจะหาเจ้าให้เจอ ข้าจะดูว่าตัวตลกที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมีหน้าตาเช่นไร!”
…
องค์หญิงหยูหลินได้กลับมาแล้ว
นางกลับมาพร้อมกับเกียรติยศ
ภายในหนึ่งวัน สิ่งที่นางได้ทำบนที่ราบและภูเขาหมาป่าได้แพร่กระจายไปทั่วโลก
ทุกคนต่างส่งเสียงเชียร์ให้กับการกระทำของนาง
มันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างมาก
แยกภูเขาหมาป่า!
นางเป็นเพียงแค่สตรีคนนึง!
ภูเขาหมาป่าล้วนเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของผู้ชายหลายคนตั้งแต่สมัยโบราณ
ตราบใดที่มีผู้บ่มเพาะพลัง พวกเขาก็จะนึกถึงภูเขาหมาป่าอยู่เสมอ
เมื่อนานมาแล้ว อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่สามารถกระทำการใหญ่ได้สำเร็จ เขาได้รับการยกย่องจากภูเขาหมาป่า เรื่องราวของเขาได้ถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อ ๆ ไป แต่มีเพียงไม่กี่คนที่จดจำเรื่องราวได้ในวันนี้
แต่ทว่า เด็กสาววัย 16 ปี กลับประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
นางบุกไปยังที่ราบเซียนเป่ยเพียงลำพัง ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 3 วันนางเผชิญหน้ากับการต่อสู้ครั้งใหญ่หลายครั้ง มันเป็นการต่อสู้ที่ทำให้โลกหล้าล้วนตกตะลึง จนกระทั่งนางทะลวงผ่านขั้นเทพมนุษย์
องค์หญิงหยูหลิน ได้กลายเป็นตัวตนอันสูงส่งในใจของสตรีทันที
นางได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครสามารถทำได้ให้เป็นจริงได้
ตอนที่นางออกจากเมืองหลวงก็ไม่มีใครส่งนางออกไป
ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนเยาะเย้ยนาง-โดยบอกว่านางประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป
แต่เมื่อนางกลับมา คนทั้งโลกกลับส่งเสียงเชียร์และตะโกนชื่อของนาง
ประชาชนในเมืองหลวงต่างก็ต้องการที่จะมาพบนางด้วยตัวเอง
ความสำเร็จของนางทำให้มีผู้คนจำนวนมากล้วนชมนาง ทว่าสิ่งนี้เองกลับทำให้องค์หญิงหยูหลินรู้สึกเขินอาย
นางรู้ว่า หลินจิ่วเฟิง มีส่วนช่วยสนับสนุนความเร็จของนางในครั้งนี้
แต่ทว่านางกลับได้รับความดีความชอบเพียงคนเดียว
นางรู้สึกไม่สบายใจจริง ๆ
“ไม่ต้องกังวลไป จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหากเจ้ายืดอกแบกรับความภาคภูมิใจเหล่านี้”
หลินจิ่วเฟิง ได้ปลอบนางทันที
“ท่านอาจารย์ ท่านยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่?”องค์หญิงหยูหลินได้กล่าวถามทันที
นางได้เมินเฉยต่อคำชมทั่วโลกและเพ่งความสนใจไปที่กล่องเก็บกระบี่
นางไม่ใช่คนโง่
หลินจิ่วเฟิง เคยกล่าวว่าเขาได้รับเชิญจากจักรพรรดิหยวนให้มาสอนนางในโลกแห่งความฝัน เรื่องนี้ องค์หญิงหยูหลิน พอจะเชื่อสนิทใจ
แต่แล้ว หลินจิ่วเฟิง ก็ตามนางไปที่ราบและช่วยนางจัดการพวกศัตรู
ซ้ำอีกฝ่ายยังได้เปิดเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมาด้วย
องค์หญิงหยูหลินมั่นใจมากว่าเขายังมีชีวิตอยู่
เพียงแต่นางไม่เคยพูดถึงมันเลยจนกระทั่งตอนนี้
ตอนนี้พวกเขากลับมาที่เมืองหลวงแล้ว องค์หญิงหยูหลิน ได้รับโอกาสที่จะกล่าวถามคำถามนี้ในที่สุด
หลินจิ่วเฟิงได้หัวเราะออกมา“ไม่สำคัญว่าข้าจะอยู่หรือตาย เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าตนเองได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาไปแล้ว?”
องค์หญิงหยูหลิน ไม่สนใจสิ่งอื่นใด นางปฏิเสธคำพูดของ หลินจิ่วเฟิง ในทันที“หลังจากที่ได้เห็นพลังของท่านอาจารย์ ข้าก็ตระหนักได้ว่าฐานการบ่มเพาะพลังของตนเองยังคงอ่อนแอเกินไป ดังนั้นข้าจึงต้องการรับคำแนะนำจากท่านอาจารย์จริง ๆ”
องค์หญิงหยูหลิน ต้องการให้ หลินจิ่วเฟิง สอนนางต่อไป
เพียงแต่ หลินจิ่วเฟิง ได้ปฏิเสธโดยตรง
“ข้าได้สอนทุกอย่างที่ควรสอนไปแล้ว เจ้าไม่จำเป็นจะต้องให้ข้าคอยช่วยเหลืออีก”
องค์หญิงหยูหลิน ทำได้เพียงปกปิดความเสียใจนี้ไว้
นางได้เข้าสู่เมืองหลวง และ มุ่งหน้าสู่ตำหนักเย็นเพื่อที่จะไปวางกล่องเก็บกระบี่
“หรือว่าจะเป็นที่นี่?”
ด้วยความฉลาดของนาง องค์หญิงหยูหลิน ต้องการทราบว่าร่างกายที่แท้จริงของหลินจิ่วเฟิงอยู่ที่ไหน
นี่เป็นผลให้นางรออยู่ใกล้ประตูอย่างรอคอย
แต่ หลินจิ่วเฟิง ก็ไม่เคยออกมา เขาได้ควบคุมจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้กล่องกระบี่ลอยขึ้นและเข้าสู่ตำหนักเย็น
ตั้งแต่ต้นจนจบ ร่างกายที่แท้จริงของ หลินจิ่วเฟิง ก็ไม่เคยปรากฏ
องค์หญิงหยูหลิน ได้มองอย่างช่วยไม่ได้
นางได้กลับไปยังพระราชวังต้องห้ามเพื่อมองหาพี่ชายและแม่ของนาง
…
โดยไม่คำนึงถึงการรบกวนจากโลกภายนอก จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของ หลินจิ่วเฟิง ได้กลับเข้าร่างกายของเขาทันที
เป็นเวลากว่า 3-4 วันแล้วนับตั้งแต่ร่างกายและร่างพลังของเขาได้แยกออกจากกัน…
ในขณะที่ร่างกายที่แท้จริงของหลินจิ่วเฟิง ยังคงลงชื่อเข้าใช้อยู่ในตำหนักเย็น จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ตามองค์หญิงหยูไปยังที่ราบ
แต่แล้วในที่สุดก็จบลง
หลังจากร่างกายของเขาและจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รวมกันเป็นหนึ่ง หลินจิ่วเฟิง ก็ถอนหายใจออกมา
เขานอนบนเตียงหยกน้ำแข็ง ร่างของเขายังคงรู้สึกอ่อนแอลงเล็กน้อย
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาหายไปนานเกินไป เขาไม่คุ้นเคยกับมันในตอนนี้
เขาต้องค่อย ๆ ชินให้กับกับผักกาดอิ่มน้ำจะได้ไม่รู้เน่าเปลื่อย
เจ้าแมวขาวได้เฝ้าปกป้องร่างของ หลินจิ่วเฟิง ตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา
มันกลัวว่าจะมีบางอย่างผิดพลาด
หลายคนที่ส่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกจากร่างพวกเขาจะต้องปกป้องร่างกายของตนเองให้ดี
มิฉะนั้น หากจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขายังอยู่ แต่ร่างกายของพวกเขาอาจจะถูกทำลายหรือถูกศัตรูลักพาไป
หากสิ่งนี้เกิดขึ้น มันคงเป็นเรื่องยากที่จะหาร่างกายมาแทน เพราะท้ายที่สุด ผู้บ่มเพาะพลัง จำเป็นจะต้องมีสายเลือดและร่างกายที่เหมาะสม ที่เพียงพอที่จะทนต่อจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้
“ในที่สุดปัญหาก็ได้รับการคลี่คลาย ข้าสามารถทำกิจวัตรประจำวันของข้าต่อไปได้อย่างสงบสุข”หลินจิ่วเฟิง ได้กล่าวออกมา
หลินจิ่วเฟิง ไม่ชอบแนวคิดเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่เขาก็เข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง
แต่ตอนนี้ องค์หญิงหยูหลิน ได้แก้ไขปัญหาของนางไปแล้ว กองกำลังเหยี่ยวมังกร ก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงอีกต่อไป
หากพวกเขาไม่กลัวการทุบตีล่ะก็นะ!
ความสงบสุขได้กลับมายังตำหนักเย็นอีกครั้ง
หลินจิ่วเฟิง ได้ใช้ชีวิตแบบ ‘โอตะคุที่ปิดกั้นตัวเอง’ ต่อไป
เขายังคงลงชื่อเข้าใช้ถ้ำปีศาจทุกวันเพื่อรับเอาสมบัติ
หากมีสิ่งใดที่เขาต้องการเขาจะใช้งานมันด้วยตัวเอง
“ทิวทัศน์บนที่ราบเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าอาศัยอยู่ในตำหนักเย็นมาโดยตลอดไม่เคยเห็นฉากนี้เลย ข้าแค่สงสัย”
ตั้งแต่เกิดมามันก็ไม่เคยไปยังที่ราบเลย
และยังมีสิ่งที่เรียกว่าภูเขาหมาป่าอีก
“ไม่มีอะไรให้น่าสนใจ มันก็แค่ดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะบริสุทธิ์ ข้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดนอกจากหิมะเหล่านี้ ดังนั้น หากเจ้าสนใจก็สามารถมองดูหิมะในตำหนักเย็นนี้ได้”
หลินจิ่วเฟิง ได้สั่นศีรษะ
“ลืมมันไปเถอะ”เจ้าแมวขาวได้สั่นศีรษะอย่างหมดความสนใจ
หลินจิ่วเฟิง ได้กอดมันและลูบมันตามปกติ
เป็นเวลากว่า 1 เดือนได้ผ่านไป
ต้าชุน ได้มาส่งอาหารตามปกติ
เขาได้มาส่งอาหารตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ
และไม่เคยขาดตกบกพร่อง
“องค์ชาย!”
“เมื่อเดือนที่แล้ว ทางราชสำนักต้องการผูกมิตรกับกองกำลังเหยี่ยวมังกร โดยการส่งองค์หญิงหยูหลิน ไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์!”
“แต่ใครจะไปคิดว่าองค์หญิงหยูหลินจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!”
“นางไปที่ราบเพยีงลำพังและทำลายกองกำลังเหยี่ยวมังกรรวมถึงสังหารราชาเซียนเป่ย…”
“ซ้ำนางยังทำลายภูเขาหมาป่าอีกด้วย!”
ต้าชุนแทบจะอุทานออกมาขณะที่อธิบายด้วยความตื่นเต้น
หลินจิ่วเฟิง และ เจ้าแมวขาวได้มองหน้ากันด้านหลังประตู
พวกเขาได้เห็นรอยยิ้มในดวงตาของกันและกัน
พวกเขาไม่ได้หยุดต้าชุนไม่ให้พูด
เพียงแต่พวกเขาได้ฟังอย่างเงียบ ๆ
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ ต้าชุน รู้สึกเขินอาย เพราะหัวข้อที่เขาพูดถึงนี้ หลินจิ่วเฟิง และ เจ้าแมวขาว มีข้อมูลมากกว่าเขา