Chapter 12 - อ่านฟรี
I’m Not Interested In The Main Characters (แปลไทย)
Chapter 12
วันนั้นที่เธออยู่ด้วยกันกับเขาทั้งคืน อาจจะสรุปได้ว่าเป็นเพราะเธอดื่มเยอะไป บริบทต่างๆ มันดูคล้ายว่ามีสาเหตุมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์
ดวงตาของแคสเซียนต่ำลง ภายใต้ฝ่ามือของเธอที่กำลังปิดปากเขาอยู่ เธอสัมผัสได้ว่าเขากำลังยิ้ม
“เอาไว้ถ้าผมไม่เหลือเลือดในตัวแล้ว ผมจะยกเว้นให้คุณดื่มเลือดคนอื่นได้”
แคสเซียนแตะหลังมือเอลิเซีย ให้นิ้วของเธอมาแตะที่ปากเขา
เอลิเซียลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลดมือลง
“แต่นอกเหนือจากนั้น สามารถดื่มได้แค่เลือดของผมคนเดียว”
“งั้นก็ได้ เฮ้อ คุณกำลังทำให้ฉันลำบากขึ้นแท้ๆ อ้อ! แล้วก็ คุณเพิ่มข้อนี้เข้าไปด้วย ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวตนที่แท้จริงของฉัน ต้องถูกเก็บเป็นความลับตลอด 3 ปีข้างหน้านี้”
“เว้นเสียแต่ว่า จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรขึ้นมา”
“มันไม่ทางเกิดขึ้นหรอกค่ะ ถ้ามันจะเกิด มันจะอยู่ในขอบเขตที่คุณสามารถแก้ไขได้เสมอ”
“ดี”
สัญญาถูกแบ่งย่อยออกเป็นหลายรายการ
เอลิเซียนึกออกแค่เฉพาะเงื่อนไขสัญญาและรายละเอียดเบื้องต้นของมันเท่านั้น
แต่ด้านแคสเซียน เขาค่อนข้างพิถีพิถันและรอบคอบมาก
‘มันเป็นเรื่องปกติไหมนะ...’
เรื่องการมีลูกก็ด้วย
แต่อีกด้านเธอก็เห็นด้วย มันคงเป็นความกังวลตามธรรมชาติของมนุษย์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เธอเป็นกังวลนิดหน่อยในตอนนี้ คือการตัดสินใจทำเรื่องนี้โดยไม่ได้บอกพ่อ มันจะเป็นอะไรไหม?
‘ฉันควรบอกพ่อไปดีไหมนะว่ามันเป็นความสัมพันธ์แบบมีเงื่อนไข’
ไม่นาน เอลิเซียก็จรดปลายปากกาในช่องสัญญาของเธอ พลางใคร่ครวญว่าควรพูดกับครอบครัวตัวเองว่าอย่างไรดี
หลังจากแคสเซียนประทับลายเซ็นของเขาเสร็จ เอลิเซียก็เป่าเวทมนตร์เข้าไปในหนังสือสัญญานั้น
ประกายสีแดงส่องสว่างรอบลายเซ็นทั้งสอง แล้วค่อยๆ จางหายไป
“ไว้เราค่อยคุยเรื่องสัญญาที่เหลือกันอีกทีภายหลัง”
“เหลืออะไรอีกงั้นเหรอ?”
“อาจจะนะ..”
เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะสามารถรับรู้ได้เองว่ามีสิ่งไหนที่ตกหล่นไปบ้าง
เนื่องจากเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะแจ้งลอยด์ ผู้ช่วยของตัวเองให้ทราบถึงสัญญาฉบับนี้ เงื่อนไขทั้งหมดจนถึงตอนนี้ ล้วนเป็นเงื่อนไขที่แคสเซียนตั้งขึ้นเอง
“สัญญานี้เป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้นนะคะ”
“ใช่ ผมว่ามันควรเป็นเช่นนั้น ขอโทษคุณล่วงหน้าที่ต้องให้คุณเก็บมันเป็นความลับจากครอบครัวของคุณด้วย”
เธอจึงหยุดคิดเรื่องบอกให้ที่บ้านรับรู้
มันจะเป็นไพ่ที่ดีที่จะโน้มน้าวพ่อของเธอให้เห็นด้วย หรือมันจะทำให้เขาเป็นกังวลมากขึ้นแทนกันแน่ ? หากเขารู้ว่ามีเรื่องสัญญาเข้ามาเกี่ยวข้อง
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอจึงตกลงรับปาก
“ตกลงค่ะ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไป กรุณาดูแลฉันให้ดี ๆ ด้วยนะคะ”
เอลิเซียยิ้มอย่างมีเลศนัย
เขาเซ็นสัญญาไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้กลัว
‘ในที่สุด การถูกแบล็กเมล์นี่ก็มาถึงจุดจบสักที!’
เธอหัวเราะในใจอย่างมีความสุข
****
“ท่านดยุคครับ...?”
ลอยด์รู้สึกลำบากใจที่จะเชื่อสิ่งที่แคสเซียนเอ่ยขึ้นก่อนหน้านี้
“หลังฉันกลับมาจากการปราบปราม พิธีแต่งงานจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งเดือนต่อจากนี้”
“จู่ๆ ท่านก็จะแต่งงานกับใครกันครับ?”
เลดี้โลเวลล์งั้นเหรอ? ไม่มีทาง
แคสเซียนส่งสายตาให้เขาเพื่อบอกว่าคนที่เขากำลังนึกถึงนั่นแหละ ถูกต้องแล้ว
ใบหน้าของลอยด์ซีดลง
ขุนนางที่ไหนในโลกที่เตรียมงานแต่งโดยใช้เวลาแค่เดือนเดียว?
นี่เป็นถึงงานแต่งของดยุคกับดัชเชส แถมขณะนี้ ดยุคโลเวลล์ก็ไม่อยู่ในจักรวรรดิเสียด้วย
‘ท่านมีข้อตกลงอะไรกับเลดี้หรือเปล่านะ?’
“จงไปทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตหมั้นหมายและสมรสในคราวเดียว”
“ครับ? ครับ... แต่ว่ากระผมไม่สามารถยื่นจดหมายแก่ดยุคโลเวลล์ได้ในตอนนี้นะครับ”
“ไม่จำเป็น ฝ่าบาทจะทำให้นายเอง”
“แล้วพิธีหมั้นละครับ?”
“ละเว้นการหมั้น เมื่อดยุคโลเวลล์กลับมาที่จักรวรรดิ เราค่อยประกาศอย่างเป็นทางการตอนนั้น”
ลอยด์กำลังพูดถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับความสัมพันธ์
แต่แคสเซียนยังคงทิ้งระเบิดให้ลอยด์โดยไม่สนใจใบหน้าของเขาที่กำลังซีดเผือดลงเรื่อยๆ
ลอยด์จดอย่างขยันขันแข็ง
เขาต้องจัดการสิ่งต่างๆ ในงานแต่งที่โดยปกติจะใช้เวลาในการเตรียมงาน 1 ปี ให้เสร็จสิ้นภายใน 1 เดือน แต่ไม่แน่ใจว่าแหวนแต่งงานที่แคสเซียนต้องการ จะเสร็จพร้อมทันเวลาหรือไม่
ส่วนชุดเจ้าสาว ต้องเตรียมฟิตติ้งอย่างเร็วที่สุด ดังนั้น เขาจึงต้องไปพบเลดี้โลเวลล์พรุ่งนี้ทันที
“ชุดแต่งงานเอาไว้ทีหลังแล้วกัน”
“ครับ?”
เห็นได้ชัดว่า วันแต่งงานยังไม่ได้ถูกตกลงอย่างชัดเจนกับเลดี้โลเวลล์
ลอนด์นึกถึงจดหมายลาออกที่อยู่ใต้เอกสารในอ้อมแขนของเขา
ทันทีที่เขายื่นซองนั่นออกมา ภาระหน้าที่ทุกอย่างก็จะหายวับไปกับตา
***
เอลิเซียต้องไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิอีกครั้งที่พระราชวัง
รถม้าหยุดลง เอลิเซียยื่นมือออกมาเพื่อให้รับเธอลงจากรถ
ปลายทางจับมือเธอแน่น จากนั้นไม่นานกลิ่นหอมเย้ายวนที่คุ้นเคยก็ลอยมาแตะจมูกเธอ
“อ๊ะ คุณอยู่ที่นี่เหรอ!”
เอลิเซียพูดอย่างตื่นตระหนก
‘เหมือนฉันรู้สึกว่ามีใครแอบดูอยู่ หรือว่าจะเป็นข้าราชบริพาร?’
เป็นตามที่เอลิเซียคิด คนของพระราชวังปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของแคสเซียน
เพื่อป้องกันคนอื่นได้ยิน เธอจึงกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างที่สุดกับแคสเซียน
“คุณต้องพูดอะไรสักอย่างค่ะ ดยุค”
แคสเซียนดึงเธอเข้ามาใกล้
เขายื่นริมฝีปากเข้าใกล้ใบหูของเธอแล้วเอ่ยปากกระซิบกลับ
“คุณต้องเรียกชื่อผม เอลิเซีย”
“ค่ะ แต่ฉันกังวลว่ายังไงฝ่าบาทจะต้องไม่เชื่อเราแน่ๆ เลย”
“ฝ่าบาทจะต้องเชื่อแน่นอน”
ต่อให้แคสเซียนยืนยันเช่นนั้น แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เอลิเซียมั่นใจอยู่ดี เธอจึงพยายามทิ้งระยะห่างจากแคสเซียน แล้วขอให้เขากลับไปก่อน
ขณะที่เอลิเซียและแคสเซียนกำลังถกเถียงกัน ข้าราชบริพารก็ขยับตัวเข้ามาใกล้
“เอิ่ม ประทานโทษ ฝ่าบาทกำลังรอพวกคุณอยู่ กรุณารีบด้วยขอรับ”
ข้าราชบริพารพูดจบ เขาก็หันหลังเดินนำไปทันที
‘นี่มันไม่เหมือนการเป็นคู่รักกันเลยสักนิด’
เอลิเซียมองตามหลังเขาไปด้วยสายตาแปลกๆ
ระหว่างทางเดิน ข้าราชบริพารที่ทั้งคู่พบเจอต่างกระซิบกระซาบกัน แต่เธอสามารถได้ยินคำพูดเหล่านั้นอย่างชัดเจน
เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนสนใจใคร่รู้เรื่องราวของคู่ชายหญิงที่อยู่เคียงข้างกัน
ทันทีที่เธอเดินเข้าไปด้านใน กลิ่นหอมของดอกซ่อนกลิ่นก็ลอยมาตามลม ทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้จมูก
โชคดีมากที่วันนั้นไม่มีคนเห็นตอนเธอกัดคอแคสเซียนเข้า
‘ฉันไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์วันนั้น มันจะทำให้เรื่องราวเป็นแบบนี้ นี่ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วเหรอเนี่ย?’
ดวงตาสีทับทิมของเธอเหลือบมองที่แคสเซียน
เธอกำลังสงสัยว่า ทำไมชายผู้นี้ช่างหล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครได้เพียงนี้
“สายตาของคุณมันร้อนแรง จนยากที่ผมจะเพิกเฉย”
“นั่นฟังดูตลกดีนะคะ”
หล่อเหลา แต่ดูเหมือนจะมีปัญหาด้านนิสัยส่วนตัว..
ทั้งสองเดินมาถึงพระราชวังกลางและมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรง
****
“โอ้ ! เชิญ ! เข้ามาได้เลย”
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ขอพระเจ้าอวยพระพรแด่พระองค์”
“ทำเป็นมารยาทก็เพียงพอแล้ว รีบนั่งลงกันเถอะ”
จักรพรรดิคงจะสังเกตเห็นทุกอย่างจากการที่ทั้งสองมาที่นี่พร้อมกัน
เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป แต่เขาดูมีความสุขมาก
เมื่อมองดูแล้ว มันก็เป็นการแต่งงานที่ไม่เลวนักสำหรับการให้โอกาสเอลิเซีย และพระองค์ก็จะสามารถเฟ้นหาคู่ครองที่เหมาะสมให้กับเรวอสได้
นอกจากนี้ เธอยังสามารถให้ดยุคเอสเตบันให้การสนับสนุนเรวอสได้อีก ดังนั้น พระองค์จะได้รับผลประโยชน์อีกมากโข
เอลิเซียเกลียดการจ้องมองใบหน้าของจักรพรรดิเป็นอย่างมาก
“มันคงไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เจ้าชายและเลดี้ยังคบหากันอยู่อย่างที่ข้าคิดหรอกใช่ไหม?”
“นั่นเป็นไปไม่ได้เลย ว่าไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เอลิเซียประหลาดใจกับท่าทีของแคสเซียน เขาตอบโต้ราวกับสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องไร้สาระ
“ฮ่าๆ ข้าล้อเล่นน่ะ”
จักรพรรดิดูมีความสุขมาก
ดยุคผู้สืบทอดตระกูลเอสเตบันในรุ่นนี้ โด่งดังจากความสำเร็จที่เขาสร้างขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย
เหรียญรางวัลมากมายที่จักรพรรดิพระราชทานให้ด้วยตัวพระองค์เอง จากการที่เขาเข้าร่วมสงครามก่อนที่เขาจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
การปราบปรามมอนสเตอร์ทั่วทั้งทวีปจะไม่มีความคืบหน้าเลย หากขาดเขาไปสักคน
เพราะดยุคจะไม่เคยปรารถนาในสิ่งไร้ประโยชน์ มันจึงอดไม่ได้ที่จักรพรรดิจะฉวยชิงความละโมบให้กับตัวพระองค์เองแทนเสีย
จักรพรรดิไม่ได้ตั้งใจจะพระราชทานบัลลังก์ให้กับองค์ชายรอง
ด้วยเหตุผลว่า พระองค์ทรงไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากองค์ชายรองขึ้นครองราชย์ อำนาจและอิทธิพลของฝั่งจักรพรรดินีจะแข็งแกร่งเกินไป
แม้ชีวิตส่วนตัวของมกุฎราชกุมาร (เรวอส) จะค่อนข้างรบกวนจิตใจ แต่พระองค์ก็ไม่คิดว่ามันเป็นข้อบกพร่อง
หากดยุคเอสเตบันเลือกสนับสนุน มกุฎราชกุมาร พระองค์คงเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งได้อย่างแน่นอน
จักรพรรดิตรัสถามเอลิเซีย
“ดยุคโลเวลล์ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง?”
“ยังเพคะ”
“อย่างนั้นเขาคงจะประหลาดใจทันทีที่กลับมา เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป เดี๋ยวข้าจะบอกเขาด้วยตัวเอง”
จักรพรรดิตรัสว่า พระองค์จะทรงดูแลด้วยตัวพระองค์เองเพื่อไม่ให้การแต่งงานนี้ผิดพลาด
‘ฉันรู้ว่าถ้าหากการแต่งงานนี้ล้มเหลว พระองค์ก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ’
เอลิเซียทำได้แค่เก็บคำพูดดูหมิ่นเหล่านั้นไว้ในใจ
“แล้วพวกเจ้าวางแผนจะมีพิธีหมั้นเมื่อไหร่รึ?”
หลังจากที่เอลิเซียหว่านล้อมแคสเซียนสำเร็จ เธอก็พยายามคิดว่าเธอจะอธิบายเรื่องละเว้นการหมั้นให้จักรพรรดิเข้าใจยังไง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว
“พิธีหมั้นเป็นเพียงการประกาศเท่านั้น กระหม่อมคิดว่า กระหม่อมพร้อมที่จะแต่งงานได้ทันที”
“อ๋อ เพราะอย่างนั้นเลยขออนุญาตมาพร้อมกันสินะ ฮ่า ! อะไรจะรีบร้อนเพียงนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่ดีเสียจริง”
จักรพรรดิกวักมือเรียกข้าราชบริพาร
ข้าราชบริพารมอบเอกสารสองฉบับที่มีตราประทับทองคำ
ฉบับหนึ่งคือเอกสารพระราชทานพระบรมราชานุญาตสำหรับการหมั้นหมาย และอีกฉบับสำหรับการสมรส
เหล่าขุนนาง ไม่ว่าจะหมั้นหรือแต่งงานจะต้องได้รับการอนุญาตจากราชวงศ์อิมพีเรียลเสียก่อน
เอลิเซียรู้ดีว่าขั้นตอนการยื่นคำร้องต้องใช้เวลาพอสมควรในการดำเนินการ
เธอไม่ได้ร้องขอให้จักรพรรดิช่วยเหลือ และรู้ว่าจักรพรรดิคงไม่ได้รีบเร่งทำให้ด้วยตัวพระองค์เอง
เธอใช้นิ้วจิ้มต้นขาของแคสเซียนเพื่อถามว่าทำไมถึงรีบร้อนเช่นนี้
แคสเซียนหันศีรษะมามองเธอ
เขาส่งยิ้มให้กับดวงตาสีทับทิม เหมือนรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร
จากนั้นจึงจับมือของเธอที่กำลังจิ้มต้นขาเขาอยู่
‘ไม่ๆ คุณมาทำแบบนี้ที่นี่ทำไม? มันจะทำให้ฉันหิวนะ’
จักรพรรดิมองไปที่แคสเซียนและเอลิเซียที่มีท่าทีแปลกๆ
เป็นครั้งแรกที่พระองค์เห็นแคสเซียนหัวเราะคิกคัก
“ดี เอาล่ะ ข้าคิดว่าข้าควรให้ของขวัญแต่งงานเสียหน่อย มีอะไรที่เจ้าอยากได้หรือเปล่า?”
“อืม หากกระหม่อมขอถอนตัวจากการปราบมอนสเตอร์คราวนี้ พระองค์คิดเห็นว่าอย่างไร?”
“ข้าว่าเจ้าขอเป็นพักร้อนน่าจะดีกว่า ฮ่า!”
ขณะมองดูจักรพรรดิและแคสเซียน เอลิเซียรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาจะมีบทสนทนาที่คล้ายคลึงเช่นนี้กันเป็นประจำ
ในระหว่างนั้น เธอก็พยายามดึงมือตัวเองออก แต่มันไม่ขยับ เขายิ่งจับแน่นขึ้น
“งั้นกระหม่อมขอเวลาพักร้อนสักห้าเดือน”
“มีอีกหลายสิ่งที่ยังต้องสะสาง หลังจากการปราบมอนสเตอร์ไม่ใช่หรอกรึ?”
“หากกระหม่อมพัก คนอื่นก็จะทำแทน”
“ข้าสามารถได้ยินเสียงร้องไห้ของหัวหน้าอัศวินแห่งจักรวรรดิได้เลยตอนนี้”
เพราะแคสเซียนมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาทหารสูงสุด เขาจึงเป็นผู้อนุมัติลำดับสุดท้ายสำหรับหน้าที่ของอัศวินแห่งจักรวรรดิ
ทุกวันนี้ เขากำลังเผชิญกับการภาระงานล้น โดยยังไม่รวมกับงานปราบปรามมอนสเตอร์ที่แยกออกมา
“ห้าเดือนนานเกินไป ข้าว่า สองเดือนหลังแต่งงานน่าจะกำลังพอดี”
การต่อรองของแคสเซียนยังคงดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง
แต่ผลลัพธ์คือรอยยิ้มและการตอบกลับของจักรพรรดิที่สามารถเอาชนะทุกสิ่งที่แคสเซียนพูดไป
เอลิเซียที่เคยสนใจบทสนทนาดังกล่าว เริ่มเบื่อกับการนั่งดูเฉยๆ
ประเด็นสำคัญห่างหายไปนานจากบทสนทนา
ตอนแรก เธอเป็นกังวลว่าเธอจะอธิบายกับจักรพรรดิอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าการสนทนานั้นได้ผ่านไปแล้วเฉยๆ เสียอย่างนั้น
เธอยกแก้วชาของตัวเองขึ้นมาจิบ
เธอว่างเสียจนสามารถแบ่งรสชาติของชาออกเป็นส่วนย่อยๆ กะน้ำหนักของรสชาติแรกและรสชาติสุดท้าย รวมไปถึงแม้แต่อัตราส่วนของน้ำที่ใช้ชงชา
ขณะที่เธอใช้เวลาอยู่เช่นนั้น เสนาธิการก็มาขอเข้าเฝ้าจักรพรรดิ
“ฝ่าบาท มกุฎราชกุมารทรงขอพบท่านพ่ะย่ะค่ะ”
_______________________________________________________________________________