447 - ความมั่นใจ
447 - ความมั่นใจ
พูดง่ายๆว่างานเลี้ยงผู้ว่าการแคว้นกานเล่ยสือตงที่จัดขึ้นในคืนนี้เทียบเท่ากับงานเลี้ยงน้ำชาที่ผู้นำโลกในชาติก่อนของเอี้ยนลี่เฉียงเคยเป็นเจ้าภาพ
บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดของแคว้นผิงซี ได้รวมตัวกันในคฤหาสน์เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อผู้ว่าการแคว้นกานและวิพากษ์วิจารณ์การกระทำอันชั่วร้ายของตระกูลเย่
ระหว่างรับประทานอาหารเย็น เอี้ยนลี่เฉียงก็นั่งร่วมกับเล่ยสือตงที่โต๊ะหลัก พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานระหว่างมื้ออาหาร จึงกลายเป็นจุดสนใจหลักของแขกคนอื่นๆทั้งหมด
เอี้ยนลี่เฉียงจากปีที่แล้วยังคงเคารพเล่ยสือตงและคิดว่าผู้ว่าการแคว้นเป็นสถานะสูงส่งที่เขาไม่มีวันจินตนาการถึง
อย่างไรก็ตามหลังจากการเดินทางไปยังเมืองหลวงเอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้มองดูเล่ยสือตงเหมือนที่เขาเคยทำอีกต่อไป
นอกจากนี้เอี้ยนลี่เฉียงยังได้พบกับจักรพรรดิเมื่อตอนที่เขาอยู่ในเมืองหลวง ไม่เพียงแค่นั้นแต่เขายังสามารถหลบหนีโดยไม่ได้รับบาดเจ็บหลังจากที่ได้ต่อสู้กับอัครเสนาบดีและขุนนางระดับสูงคนอื่นๆ
ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้เขาได้รับความมั่นใจและความสงบ ตอนนี้เขาได้กลับมาพบกับผู้ว่าการแคว้นเล่ยสือตงอีกครั้ง เขาไม่รู้สึกต่ำต้อยต่อหน้าฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไป
หลังงานเลี้ยงเล่ยสือตงเชิญเอี้ยนลี่เฉียงมาคุยกันต่อที่ห้องทำงานของเขา เขาให้คนรับใช้ยกน้ำชาเข้ามาก่อนจะเปิดอกพูดกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าได้ยินว่าท่านซุนเลื่อนตำแหน่งลี่เฉียงเป็นผู้ดูแลส่วนตัวของเขาในคฤหาสน์แห่งนี้ด้วย ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความคุ้นเคยกับห้องนี้เช่นกัน…”
เล่ยสือตงเหลือบมองเอี้ยนลี่เฉียงด้วยความชื่นชม จากนั้นเขาก็รินชาด้วยตัวเองและผลักถ้วยไปทางเอี้ยนลี่เฉียง
เอี้ยนลี่เฉียงลุกขึ้นจากที่นั่งเล็กน้อยก่อนจะหันมองไปรอบๆห้องแล้วกล่าวว่า
“อืม มันก็ไม่เลว ห้องนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ท่านซุนอยู่ที่นี่!”
“หนึ่งปีผ่านไปแล้วตั้งแต่ข้าแยกทางกับท่านซุนในวันนั้น ข้าได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับลี่เฉียงที่ขับไล่โจรวายุทมิฬอย่างไม่เกรงกลัวระหว่างการเดินทาง
ไม่เพียงเท่านั้นเจ้ายังทำได้ดีในเมืองหลวงแม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังให้การยกย่องเจ้าอย่างสูง เมื่อ 'ช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรฮั่น' ถูกตีพิมพ์มันกลายเป็นกระแสหลักของบุคคลระดับมหาอำนาจที่ต้องทำตามๆกัน
ข้าต้องบอกว่าข้ารู้สึกประทับใจกับความเข้าใจอันชาญฉลาดของเจ้าจริงๆ เมื่อเร็วๆนี้ทุกคนถือหนังสือพิมพ์อยู่ในมือในเมืองกานและพฤติกรรมดังกล่าวเป็นผลมาจากอิทธิพลของเจ้าทั้งสิ้น... "
“ท่านยกย่องข้าเกินไปท่านเล่ย!” เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะอย่างไม่ยอมรับตนเอง เขากางแขนออกด้วยการถอนหายใจแล้วกล่าวว่า
“ท่านเล่ย ขอพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ต้องเสแสร้งกันอีกแล้ว ความจริงแล้วการต่อสู้ทางการเมืองในเมืองหลวงนั้นรุนแรงมากเกินไป ข้าเป็นแค่ตัวละครตัวเล็กๆ ข้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาชีวิตรอดในขณะที่อาศัยอยู่ที่นั่น
ข้าลงเอยด้วยการสะดุดเท้าของคนบางคนและข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหนีกลับมาที่แคว้นกาน แม้กระทั่งระหว่างนี้มาก็ยังถูกตามล่าเอาชีวิตแต่โชคดีที่สามารถรอดมาได้ เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ท่านเล่ย…”
เมื่อเห็นว่าเอี้ยนลี่เฉียงพูดจาตรงไปตรงมา เล่ยสือตงก็หัวเราะออกมาอย่างเต็มเปี่ยมในขณะที่ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ
“เจ้ามีความสามารถที่จะได้รับชื่อเสียงและหนีจากถ้ำเสือเช่นนั้นจริงๆ พูดตามตรงข้าไม่ได้คาดหวังว่าลี่เฉียงจะยอมแพ้กับชีวิตที่ฟุ่มเฟือยและทิ้งมันไว้เบื้องหลัง!”
“ข้าไม่มีทางเลือก ถ้าข้าอยู่ในเมืองหลวงข้าเกรงว่าจะไม่สามารถกลับมามีชีวิตได้อีกในปีหน้า พูดถึงชีวิตที่ฟุ่มเฟือย ข้ายังคิดว่าแคว้นกานของเราก็ไม่เลวเหมือนกัน นี่เป็นบ้านเกิดของข้าและข้ารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่อยู่ที่นี่!”
“เจ้าอาจรู้สึกสบายใจ แต่เจ้าควรรู้ว่ามีคนมากมายที่อึดอัดเพราะการกลับมาของเจ้าในฐานะแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋น!” เล่ยสือตงหยิบถ้วยน้ำชาของเขาขึ้นมาแล้วเป่าเบา ๆ
เอี้ยนลี่เฉียงยิ้ม
“ถ้าไอ้สารเลวชาตูเหล่านั้นรู้สึกสบายใจ นั่นก็คือจุดจบของจักรวรรดิฮั่นอันยิ่งใหญ่แล้ว! ข้าคิดว่ามันดีที่จะปล่อยให้พวกมันรู้สึกไม่สบายใจอยู่อย่างนี้!”
"พูดได้ดี!"
เล่ยสือตงวางถ้วยน้ำชาของเขาลงในขณะที่แสงแวบวาบผ่านดวงตาของเขา
“พูดถึงเรื่องนี้ ข้าจะหยุดตีรอบพุ่มไม้ ลี่เฉียงเจ้าเป็นคนฉลาด คราวนี้เจ้ารู้แน่ว่าข้าตั้งใจจะพบเจ้าด้วยเรื่องใด?”
เอี้ยนลี่เฉียงมองไปที่เล่ยสือตงอย่างจริงจังแล้วกล่าวว่า
“การแต่งตั้งแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋น นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ข้าทราบดีถึงความกังวลของท่านในฐานะผู้ว่าการแคว้นกาน ท่านเล่ย
ตามจริงแล้วฝ่าบาทไม่มีเจตนาจะทำสงครามกับชนเผ่าชาตูทั้งเจ็ด พระองค์เพียงแต่แต่งตั้งข้าเป็นแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋น เพื่อแสดงเพียงเพื่อทำให้บางคนรู้สึกไม่สบายใจ ข้าแน่ใจว่าผู้ว่าการแคว้นรู้เหตุผลเบื้องหลังการกระทำของฝ่าบาทดีกว่าข้า”
“ไม่ได้ตั้งใจทำสงคราม?”
เล่ยสือตงจ้องไปที่เอี้ยนลี่เฉียงและย้ำคำพูดของเขามากขึ้น
“ไม่แน่นอน อย่างน้อยก็ไม่ใช่สิบปีนี้” เอี้ยนลี่เฉียงพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
เล่ยสือตงถอนหายใจและเผยรอยยิ้ม การแสดงออกทางสีหน้าของเขาผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
“ข้าเดาว่าฝ่าบาทคงรู้สึกให้การยกย่องเจ้าจริงๆลี่เฉียง คาดว่าตำแหน่งของเจ้าที่ถูกส่งมาที่นี่ก็เพื่อให้เจ้าได้ฝึกฝนตัวเองเท่านั้น!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าทำได้ดีแค่นำคนบางคนในธุรกิจขนาดเล็ก ยังไม่พอที่จะทำให้ตัวเองอยู่ในสายตาอันเฉียบแหลมของฝ่าบาท!” เอี้ยนลี่เฉียงยิ้มอย่างสุภาพ
“เจ้าถ่อมตัวเกินไป เพียงไม่กี่วันที่เจ้ากลับมาที่แคว้นผิงซี และเจ้าก็ได้สร้างรถสี่ล้อแล้ว! ข้าคิดว่ารถม้าประเภทนี้จะได้รับความนิยมในไม่ช้านี่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่!” เล่ยสือตงหัวเราะแล้วกล่าวต่ออีกว่า
“ในความเห็นของข้า รถม้าคันนี้ไม่เพียงแต่เหมาะสำหรับบรรทุกผู้โดยสารเท่านั้น หากใช้ในการขนส่งเสบียงทางการทหาร มันจะมีประสิทธิภาพขึ้นมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า
สำหรับการบรรทุกที่เท่ากัน จะทำให้เกิดแรงกดบนตัวรถประเภทนี้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับแบบปกติ นี่จะกลายเป็นสมบัติอันยิ่งใหญ่ของกองทัพอย่างแน่นอน! มันน่าประทับใจมาก!”
เอี้ยนลี่เฉียงก็แอบประทับใจเช่นกัน เล่ยสือตงมีดวงตาที่แหลมคม เขาใช้เวลาดูที่รถสี่ล้อยังไม่นอนเท่านั้นก็เข้าใจถึงความสำคัญในกองทัพ
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงแย่งชิงรถม้าสี่ล้อของเอี้ยนลี่เฉียงโดยไม่สนใจในภาพลักษณ์ของตัวเองทันทีที่พบกัน
รถม้าที่ใช้ขนส่งผู้โดยสารต้องใช้สปริงเพื่อระงับโครงเพื่อความสบาย หากใช้ในการขนส่งสินค้า สปริงก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
ตราบใดที่เขาแสดงรถม้าให้ช่างฝีมือดู พวกเขาก็จะสามารถดูกลไกการบังคับเลี้ยวของมันได้และลอกแบบออกมาได้ในเวลาอันสั้น
“เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ข้ามีข้อเสนอแนะ ข้าสงสัยว่าท่านเล่ยจะสนใจฟังหรือไม่” เอี้ยนลี่เฉียงโยนเหยื่อออกด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ เจ้าหมายถึงการทำรถม้าสี่ล้อเหรอ” เล่ยสือตงหัวเราะออกมา “ข้าอาจสนใจที่จะทำเงิน แต่ข้าไม่ต้องการเอาธุรกิจนี้ไปจากเจ้าลี่เฉียง…”
เอี้ยนลี่เฉียงก็หัวเราะเช่นกัน
“ถ้าข้ามีโอกาสทำธุรกิจกับท่านเล่ย แน่นอนว่านั่นจะไม่ใช่ธุรกิจเล็กๆอย่างรถสี่ล้อ พวกมันเพียงสามารถทำเงินหลายล้านตำลึงในหนึ่งปีเท่านั้น นั่นอาจเพียงพอสำหรับเลี้ยงกลุ่มช่างฝีมือ แต่สำหรับท่านเล่ยข้าแน่ใจว่าเงินจำนวนนี้แทบจะไม่มีค่าอะไรเลย…”
“ป๊า…!”
เล่ยสือตงสำลักเมื่อได้ยินเอี้ยนลี่เฉียง พ่นชาที่ไหลลงมาตามเคราของเขา เขาหันศีรษะไปรอบๆเพื่อมองเอี้ยนลี่เฉียง ดวงตาของเขาเป็นประกายและเขาไม่สนใจแม้แต่หยดชาที่เกาะเคราของเขา
"เมื่อกี้คืออะไร? รถสี่ล้อของเจ้าสามารถทำเงินได้หลายล้านตำลึงในหนึ่งปี?” เขาถามด้วยความไม่เชื่อ
"ใช่แน่นอน. ทำไมถึงจะทำไม่ได้?” เอี้ยนลี่เฉียงจงใจทำตัวไร้เดียงสาแล้วกล่าวว่า
“ข้าจะขายพวกมันในราคา 5,000 ตำลึงเงิน นั่นหมายถึงเงิน 50,000 ตำลึงสำหรับสิบและ 500,000 ตำลึงสำหรับเงินหนึ่งร้อย
ตามความสามารถของสำนักงานการผลิตของข้า ไม่น่าจะมีปัญหาสำหรับพวกเขาที่จะสร้างรถม้าเหล่านั้นสองสามร้อยคันในหนึ่งปี เงินหนึ่งล้านตำลึงน่าจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม”
“ฮ่าๆๆๆ…!” เล่ยสือตงหัวเราะเสียงดังขณะชี้ไปที่เอี้ยนลี่เฉียง และส่ายหัว
“โอ้ ลี่เฉียง… เจ้าต้องล้อเล่นแน่ๆ และข้าเกือบจะเชื่ออย่างนั้น! เป็นความจริงที่รถของเจ้าค่อนข้างดี แต่คนอื่นจะสามารถทำซ้ำได้เพียงแค่ชำเลืองมอง
เจ้าอาจเป็นเจ้าของโรงตีเหล็กขนาดใหญ่ แต่ที่อื่นก็มีช่างฝีมือหลายคนเช่นกัน เพียงแค่โรงตีเหล็กในแคว้นกานก็สามารถทำซ้ำได้แล้ว?
ในความเป็นจริงรถคันแรกอาจจะสามารถขายได้ 5,000 ตำลึงแต่คันที่สองเพียง 500 ตำลึงก็นับว่ายากแล้ว! พวกเจ้าจะหาเงิน 5,000 ตำลึงได้อย่างไร?”