80Y-ตอนที่ 80 ได้เวลาจากไป
องค์หญิงหยูหลินได้ค้นพบโลกใหม่
มันโลกที่กว้างใหญ่เหนือจินตนาการของนาง
นางได้รับการศึกษาตั้งแต่ยังเด็ก นางได้รับการสั่งสอนถึงความเป็นอยู่ของโลกในตอนนี้ นางเคยคิดว่าราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา มีพลังมากพอที่จะปราบปรามโลกทั้งใบ
แต่สิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือเหล่านี้กลับทำให้นางรู้สึกตกใจและยากที่จะยอมรับ
ที่แท้ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้น
ในความเป็นจริงอาจกล่าวได้ว่าราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาไม่มีคุณสมบัติเรียกตัวเองว่าเป็น ‘ผู้แข็งแกร่งด้วยซ้ำ’
มีกระแสน้ำมากมายในโลกที่เงียบสงบเช่นนี้
ถ้าราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา ไม่ระวัง พวกเขาก็จะถูกทำลายในทันที
มีผู้บ่มเพาะพลังทั้งต่ำและสูง
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นและลดลงของพลังงานทางโลก
ยิ่งนางอ่านมากเท่าไหร่ นางก็เข้าใจว่าโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด
เด็กสาวบริสุทธ์ไร้เดียงสา ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
นางได้ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างรวดเร็ว
หลังจากได้รับการยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของจริง นางก็ได้มองโลกในแง่ใหม่อย่างสมบูรณ์
มุมมองในชีวิตของนางได้เปลี่ยนไปและมันส่งผลต่อทัศนคติของนางทั้งหมด
หลินจิ่วเฟิง และ เจ้าแมวขาวได้มองเห็นตั้งแต่เริ่มจนจบ
องค์หญิงหยูหลิน ได้จมปรักอยู่ในทะเลหนังสือเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน
นางได้ซึบซับความรู้ที่มีอยู่ในสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว
ตรงกันข้าม หลินจิ่วเฟิง และ เจ้าแมวขาวได้กลายเป็นคนไร้บ้าน
ทั้งชายและแมวได้อยู่นอกลานที่พักมาเป็นเวลา 2-3 วันติดต่อกัน เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนหลานของหลินจิ่วเฟิง
แม้ว่านางจะไม่ใช่ลูกสาวโดยสายเลือดของ หลินจิ่วเฟิง แต่นางก็ยังเป็นหลานสาวโดยสายเลือดของจักรพรรดิหยวน
ดังนั้นความสัมพันธ์ของนางกับเขาจึงถือว่าเป็นสายเลือดที่ใกล้ชิดกันมาก
นางได้เปลี่ยนจากกระต่ายขาวตัวน้อยกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกที่โตเต็มวัย สิ่งนี้ทำให้ หลินจิ่วเฟิง ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
หนังสือที่ถูกส่งมาโดยสตรีศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งข้อมูลและความลึกล้ำอะไรหลาย ๆ อย่าง
ยิ่งไปกว่านั้นมันได้สืบทอดมาหลายพันปีแล้ว ขอบเขตความรู้ทั้งหมดได้เกินกว่าที่องค์หญิงหยูหลินจะเข้าใจได้
สุดท้ายนางก็เหนื่อยจากการอ่านพวกมันทั้งหมด
นางไม่ได้รู้สึกไร้เดียงสาอีกต่อไป
“เสด็จปู่จักรพรรดิ...ปรากฏว่าโลกของเรานั้นวุ่นวายจริง ๆ”
“เป็นเพราะการชี้นำของดวงวิญญาณของท่านทำให้ข้ามาพบหนังสือและเตียงหยกที่นี่หรือไม่? พวกมันเหมาะกับข้ามาก การบ่มเพาะพลังของข้าได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา”องค์หญิงหยูหลิน ได้ยิ้มอย่างมีความสุข
เห็นได้ชัดว่าหลังจากได้อ่านหนังสือที่ลึกล้ำพวกนี้ สิ่งต่าง ๆ ก็ได้เพิ่มสีสันชีวิตให้กับจิตใจอันบริสุทธิ์ของนาง
โดยพื้นฐานแล้วนางยังคงเป็นเด็กสาวที่งดงามและใจดี
คุณค่าที่จารึกบนหัวใจและกระดูกของบุคคลนั้นจะไม่ถูกลืมเลือนไปง่าย ๆ
“ข้าได้เห็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติของนิกายเส้นทางสวรรค์ ปรากฏว่าพวกเขาไม่ได้เป็นนิกายที่มาจากยุคนี้ พวกเขามาจากยุคก่อน มันค่อนข้างน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง หากเป็นอย่างที่บันทึกนั่นกล่าวมันก็น่ากลัวเกินไป”องค์หญิงหยูหลินได้พึมพัมออกมา
“นิกายเส้นทางสวรรค์ได้รับความไว้วางใจจากเสด็จพี่จักรพรรดิแล้ว เขาเปรียบเสมือนเสด็จพ่อที่ดื้อรั้นของข้า ที่ต่อให้เอาเชือกมาฉุดก็รั้งไว้ไม่อยู่ หากข้าไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเกรงว่าจะไม่สามารถโน้มน้าวและปกป้องเขาจากนิกายเส้นทางสวรรค์ได้”
องค์หญิงหยูหลินได้ถือหนังสือ
นางคิดจะไปแสดงให้เสด็จพี่จักรพรรดิดู
แต่น่าเสียดายที่พี่ชายของนางกำลังปลีกวิเวกเพื่อทะลวงผ่านขั้นปราชญ์การต่อสู้
นางจะไม่สามารถพบพี่ชายของนางได้อีกสามเดือนข้างหน้า
“ข้าควรทำอย่างไรดี?”องค์หญิงหยูหลินได้ถามตัวเองด้วยความขุ่นเคือง
…
หลินจิ่วเฟิง อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นขององค์หญิงหยูหลิน
เขาได้พึมพัมเล็กน้อย“นางเป็นเชื้อพระวงศ์ แม้ว่านางจะเป็นผู้หญิงแต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงปัญหาของนิกายเส้นทางสวรรค์ อีกทั้งยังกังวลเกี่ยวกับระเบิดเวลาที่อยู่ใกล้ตัวอีกด้วย”
“แต่นางอ่อนแอเกินไป”เจ้าแมวขาวได้ตอบกลับ
ในอดีต องค์หญิงหยูหลิน ได้บ่มเพาะพลังก็จริง แต่นางไม่ได้หลงใหลในเรื่องนี้มากนัก
นั่นเป็นผลให้นางอยู่เพียงแค่ขั้นก่อกำเนิดตอนอายุ 16 ปี
หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับ“ข้าสามารถช่วยนางปรับปรุงความแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะต่อกรกับนิกายเส้นทางสวรรค์ได้ มีเพียงวิธีนี้ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่น”
“ไหนเจ้าบอกว่าจะไม่ออกไปพบนาง?”เจ้าแมวขาวได้กล่าวถาม
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าข้าจะออกไปพบ”หลินจิ่วเฟิงได้สั่นศีรษะ“แม้จะไม่ต้องพบนางข้าก็ยังสอนนางในความฝันได้”
ทันใดนั้นเจ้าแมวขาวก็จำได้ว่าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของ หลินจิ่วเฟิง ทรงพลังมากเพียงใด อีกฝ่ายสามารถปราบปรามมันที่เป็นเทพมนุษย์ได้ด้วยคำพูดเดียว
ดังนั้น มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเข้าสู่ความฝันของผู้บ่มเพาะพลังในขั้นก่อกำเนิดและฝึกสอนนาง
หลินจิ่วเฟิง และ เจ้าแมวขาวได้เดินไปรอบ ๆ ตำหนักเย็น
องค์หญิงหยูหลิน ไม่ได้รู้เลยว่ามีคนอื่นอาศัยอยู่ในตำหนักเย็นแห่งนี้
คืนนี้นางเหนื่อยกับการอ่านหนังสืออย่างมาก นางได้ผล็อยหลับไปด้วยความงุนงง
จากนั้นในความฝันก็มีคนผู้นึงยืนหันหลังให้
หลินจิ่วเฟิง ได้หันไปมองและพูดกับองค์หญิงหยูหลินในความฝันและกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม“เจ้าอยากเรียกระบี่หรือไม่?”
“ท่านเป็นใคร?”องค์หญิงหยูหลินได้กล่าวถามอย่างระวัง
“ข้าได้รับเชิญจากเสด็จปู่จักรพรรดิของเจ้าให้มาช่วยเจ้าในการฝึกฝน นี่คือโลกแห่งความฝันของเจ้า”หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับ
“จริงเหรอ?”องค์หญิงหยูหลินมองไปที่ หลินจิ่วเฟิง ด้วยความสงสัย
“ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ลองดูทักษะกระบี่นี้ก่อนเป็นอย่างไร”หลินจิ่วเฟิง ได้สร้างปราณกระบี่ของเขาขึ้นมา
จากนั้นเขาก็ฟาดปราณกระบี่ออกไปและทำลายโลกแห่งความฝันโดยตรง
อ่า!
องค์หญิงหยูหลิน รู้สึกตกใจ
นางได้กรีดร้องออกมาและตื่นขึ้นนางได้ค้นพบหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ก่อนหน้า
“มันคือความฝันจริง ๆ?”องค์หญิงหยูหลิน โพล่งออกด้วยความประหลาดใจ
“แต่การโจมตีครั้งนั้นกลับทรงพลังมาก”องค์หญิงหยูหลิน ได้ลอบกลืนน้ำลาย
นางตัดสินใจและบังคับให้ตัวเองผล็อยหลับไป
เมื่อเข้าสู่โลกแห่งความฝันอีกครั้ง องค์หญิงหยูหลิน ก็เริ่มฝึกกระบี่กับ หลินจิ่วเฟิงอย่างจริงจัง
ความแข็งแกร่งของ หลินจิ่วเฟิง นั้นยากจะหยั่งถึง
มันเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะสอนและให้ความกระจ่างแก่องค์หญิงหยูหลิน
ความแข็งแกร่งของนางได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในชั่วข้ามคืน
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น นางได้ตื่นขึ้นแล้วมาที่ลานที่พักเพื่อฝึกฝนทักษะกระบี่ของนาง
“ทักษะกระบี่ผ่าสวรรค์ขั้นสูงสุด!”
นี่เป็นทักษะกระบี่ที่ทรงพลังมาก หลังจากนางได้เรียนรู้ในชั่วข้ามคืน นางก็สามารถทำความเข้าใจได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อนางชักกระบี่ออกมามันก็เพียงพอแล้วที่จะใช้มันเป็นกระบวนท่าสังหารสำหรับนาง
องค์หญิงหยูหลิน ได้กลับเข้าสู่ความฝันอีกครั้งและเรียนรู้จาก หลินจิ่วเฟิง ต่อไป
ทางด้าน หลินจิ่วเฟิง เขาได้หลับตาลงและเผยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาได้ใช้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในการเข้าไปยังห้วงความฝันขององค์หญิงหยูหลินและเริ่มสอนเขา
ด้วยฐานการบ่มเพาะพลังของ หลินจิ่วเฟิง มันง่ายราวกับตักเค้นก้อนหนึ่งเข้าปาก เขาสามารถให้ความกระจ่างกับผู้คนได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์หญิงหยูหลิน ที่มีสายเลือดเดียวกันกับเขา มันจึงไม่เป็นปัญหาที่นางจะเรียนรู้ทักษะกระบี่ผ่าสวรรค์ขั้นสูงสุดของเขา
หนึ่งเดือนต่อมา องค์หญิงหยูหลินได้ทะลวงผ่านขั้นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่
นางไม่แม้แต่จะกล้าจินตนาการว่าความเร็วในการฝึกฝนของนางจะรวดเร็วขนาดนี้
อย่างไรก็ตามด้วยความช่วยเหลือจากพลังงานทางโลกที่อุดมสมบูรณ์และคำแนะนำของ หลินจิ่วเฟิง พร้อมกับการฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง ทำให้นางบรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้
ในเดือนที่สอง หลินจิ่วเฟิง ได้ช่วยนางสร้างความก้าวหน้าในขั้นปราชญ์การต่อสู้
เมื่อองค์หญิงหยูหลิน ยืนอยู่ที่อาณาจักรพลังปราชญ์การต่อสู้ นางก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งนี้ได้กลายเป็นความจริง ทุกอย่างคล้ายกับเป็นช่วงเวลาแห่งความฝัน
แต่ทว่ามันดูเกินจริงเกินไป
ภายในสองเดือน นางได้มาถึงอาณาจักรพลังปราชญ์การต่อสู้จากอาณาจักรพลังขั้นก่อกำเนิด
เป็นที่รู้กันว่าเสด็จพี่จักรพรรดิของนางได้พยายามอย่างหนักในช่วงนี้เพื่อทะลวงผ่านขั้นปราชญ์การต่อสู้
แต่ทว่านางกลับสามารถทลายขอบเขตพลังนี้ได้โดยง่าย
และหลังจากเดือนที่สาม…
หลินจิ่วเฟิง ยังคงสอน องค์หญิงหยูหลิน อย่างสุดความสามารถต่อไป ในขั้นปราชญ์การต่อสู้ องค์หญิงหยูหลิน ล้วนอยู่ยงคงกระพันด้วยทักษะกระบี่ผ่าสวรรค์ขั้นสูงสุดของนาง
หลังจากครบกำหนดสามเดือน หลินจิ่วเฟิง ได้พูดคุยกับ องค์หญิงหยูหลิน ในโลกแห่งความฝัน“ได้เวลาที่เจ้าจะต้องจากไปแล้ว”
“แต่ข้ายังอยากที่จะฝึกฝนต่อไป”องค์หญิงหยูหลินได้กัดฟันแน่นและปฏิเสธ
“เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา กำลังมองหาเจ้าไปทุกที่ ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น เจ้าควรรีบออกไปจากที่นี่”หลินจิ่วเฟิง ได้ให้คำแนะนำอย่างจริงใจ
ถ้านางไม่ไป ทั้งเขาและเจ้าแมวขาวก็ไม่สามารถกลับไปที่ลานที่พักได้