80Y-ตอนที่ 75 ข้าไม่ได้แข็งแกร่ง
หนังสือจากยุคก่อนที่ถูกส่งมาโดย สตรีศักดิ์สิทธิ์ ได้อธิบายว่านิกายเส้นทางสวรรค์เป็นนิกายที่ทรงพลังมากในยุคก่อน
‘ที่จุดสูงสุดของ นิกายเส้นทางสวรรค์ มี 3 ผู้ยิ่งใหญ่, 7 ราชาสวรรค์ และ 9 ผู้พิทักษ์ พวกเขาล้วนเป็นตัวแทนของขุมพลังระดับสูงที่ไม่สามารถละเลยได้ พวกเขาแข็งแกร่งมาก…’
หลินจิ่วเฟิง ได้นึกถึงเนื้อหาของหนังสือเล่มหนึ่งที่บรรยายถึงนิกายเส้นทางสวรรค์
ความแข็งแกร่งของนิกายเส้นทางสวรรค์นั้นชัดเจนมากกระทั่งอารมณ์ของผู้เขียนยังถูกบรรยายผ่านลายมือของเขา มันเป็นความวิตกกังวลและความหวาดกลัวในตัวตนของนิกายเส้นทางสวรรค์
สตรีศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์หยานที่ยิ่งใหญ่ เป็นศิษย์ของนิกายเต๋าสวรรค์ มีบันทึกมากมายเกี่ยวกับนิกายในอดีตจากหนังสือที่นางส่งมา ตามหนังสือที่นางมอบให้กับ หลินจิ่วเฟิง นิกายเส้นทางสวรรค์ เป็นนิกายที่หลบซ่อนตัวตนเช่นเดียวกัน
พวกเขาได้ปิดผนึกทางเข้าของนิกายและไม่มีสมาชิกคนใดออกมาตั้งแต่นั้น
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความรู้เกี่ยวกับวัฏจักรพลังงานทางโลก
พวกเขารู้ว่าเมื่อใดที่พลังงานทางโลกกำลังอ่อนตัวลงและกำลังฟื้นตัว
ดังนั้นในหนังสือจึงเขียนบันทึกไว้ว่า นิกายเส้นทางสวรรค์เป็นหนึ่งในไม่กี่นิกายที่สำคัญของยุคก่อนพวกเขามีความสามารถในการประเมินสถานการณ์ของโลก อีกทั้งรากฐานของพวกเขายังมีความลึกล้ำหาใดเปรียบ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาปรากฏตัวขึ้นในยุคที่ไม่ทราบที่มาที่ไปอย่างชัดเจน
การประเมินของผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับนิกายเส้นทางสวรรค์นั้นสูงมาก
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หลินจิ่วเฟิง ได้อ่านหนังสือทั้งหมดที่ สตรีศักดิ์สิทธิ์มอบให้เขา
เขาได้อ่านหนังสือจำนวนมากที่บรรยายเกี่ยวกับนิกายที่ทรงพลังที่เป็นนิกายที่อยู่บนจุดสูงสุดจากยุคก่อน แต่เนื่องจากการถดถอยของพลังงานทางโลก มันก็เป็นสัญญาณของการเสื่อมถอยของพวกเขาเช่นเดียวกัน
ในที่สุดพวกเขาก็หายตัวไป
ดั่งคำกล่าวที่ว่า เปลือกกายสามารถมองเห็นได้เมื่อคลื่นลดต่ำลง
นิกายเส้นทางสวรรค์ก็คือนิกายดั่งกล่าว
การปรากฏตัวอย่างกระทันหันของพวกเขาและการเคลื่อนไหวในการรับจักรพรรดิเต๋อเป็นศิษย์ จนกระทั่งได้เป็นราชครูของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
สิ่งนี้ทำให้ หลินจิ่วเฟิง รู้สึกสงสัย
‘สตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นสมาชิกของนิกายเต๋าสวรรค์มิใช่เหรอ?’
‘เหตุใดนางถึงไม่ได้ทำงานอย่างหนักในการปราบปรามนิกายเหล่านี้จากยุคก่อน? ทำไมนิกายเส้นทางสวรรค์ถึงปรากฏตัวออกมาได้?’
‘เป็นไปได้หรือไม่ว่านางไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะปราบปรามนิกายเส้นทางสวรรค์’
‘หรือว่ามันมีเหตุผลอื่นอยู่เบื้องหลัง?’
หลินจิ่วเฟิง ได้ไตร่ตรองเรื่องนี้
‘นิกายเส้นทางสวรรค์มีเจตนาดีหรือร้ายกันแน่’
เพียงแต่เขาไม่ได้คิดมาก
เพราะที่สำคัญก็คืออดีตจักรพรรดินีที่เป็นพระมารดาของจักรพรรดิในปัจจุบันไม่ได้มาขอความช่วยเหลือ หลินจิ่วเฟิง
อย่างน้อยนางก็ยินยอมให้ นิกายเส้นทางสวรรค์ เข้ามามีส่วนร่วมในราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
เพราะท้ายที่สุดนับตั้งแต่จักรพรรดิองค์ใหม่เสด็จขึ้นครองบัลลังก์เขาก็มีอายุเพียงแค่ 13 ปีเท่านั้น
5 ปีผ่านไป ปัจจุบันเขาอายุเพียง 18 ปีในปีนี้
อายุของเขายังคงน้อยเกินไป นั่นหมายความว่าจักรพรรดินีซึ่งเป็นพระมารดาของจักรพรรดิยังคงรับผิดชอบดูแลราชกิจของราชสำนัก
หลินจิ่วเฟิง ได้ดื่มไวน์อย่างเงียบ ๆ ขณะที่ฟังคำพูดของต้าชุน
“องค์ชาย นิกายเส้นทางสวรรค์แข็งแกร่งมาก…”
“ในอดีต มีพวกคนเถื่อนที่คิดก่อการกบฏในดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ พวกเขาได้อาศัยนักบวชที่มีอำนาจในการคุกคามพรมแดนของพวกเรา สิ่งนี้ทำให้ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาล้วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
“แต่เมื่อคนจากนิกายเส้นทางสวรรค์ลงมือ พวกเขาก็เข่นฆ่าพวกคนเถื่อนเหล่านี้โดยตรง”
“พวกเขาได้สังหารนักบวชหลายคนและบังคับให้พวกเขาชดเชยและขอโทษอีกทั้งยังบังคับให้อีกฝ่ายยอมจำนน”ต้าชุนได้อธิบายอย่างตื่นเต้น
การเคลื่อนไหวนี้ของนิกายเส้นทางสวรรค์ได้ช่วยชีวิตของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาเอาไว้
การกระทำของพวกเขาทำให้ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาไม่สามารถละเลยได้
หลินจิ่วเฟิง ที่ได้ยินเรื่องนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับความฉลาดของนิกายเส้นทางสวรรค์ ใช้ประโยชน์จากศัตรูภายนอกเพื่อให้ตนเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของบุคคลสำคัญของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
ไม่ว่าจะเป็นนิกายปีศาจหรือนิกายอื่นพวกเขาล้วนต้องการสร้างปัญหาในยุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นว่าราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา เป็นราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของโลก พวกเขาต้องการที่จะล้มล้างราชวงศ์เพื่อแสดงพลังของพวกเขา
แต่นิกายเส้นทางสวรรค์นั้นแตกต่างออกไป พวกเขาริเริ่มที่จะรวมตัวเองเข้ากับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา สอนสั่งองค์จักรพรรดิ ผ่านตัวตนของ ราชครู
การปรับตัวของพวกเขาให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ ทำให้พวกเขาไม่ได้ก่อปัญหาใด ๆ อย่างโจ่งแจ้ง
หลินจิ่วเฟิง อดไม่ได้ที่จะนึกถึงถ้ำปีศาจใต้ตำหนักเย็น
แม้ว่าปีศาจจากถ้ำปีศาจจะเป็นปีศาจที่ทรงพลังจากยุคก่อน แต่สมองของพวกเขาก็ไม่ได้มีความก้าวหน้าเท่ากับคนจากนิกายเส้นทางสวรรค์
“องค์ชาย แม้ว่าประมุขนิกายเส้นทางสวรรค์จะกลายเป็นราชครู แต่พวกเขาประกาศว่าจะก่อตั้งนิกายบนภูเขาทางเหนือของเมืองหลวงราชวงศ์ และ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานราชกิจของรัฐ”
ต้าชุน ยังคงพูดถึงเรื่องนี้ต่อไป
นอกจากนี้เขายังรู้สึกว่าการปรากฏตัวขึ้นของนิกายเส้นทางสวรรค์จะเป็นประโยชน์สำหรับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
อย่างน้อยราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาก็ได้รับการสนับสนุนจากนิกายที่ทรงพลัง
หลินจิ่วเฟิง รู้สึกว่าตนเองควรจะเฝ้าสังเกตุการณ์ไปก่อน
เขาไม่ได้สนับสนุนหรือคัดค้าน ไม่ว่าจะกรณีใด ตราบเท่าที่พวกเขาไม่รบกวนชีวิตอันเงียบสงบของตนเองและสร้างปัญหาให้กับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา…
หากเป็นเช่นนั้นเขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนิกายเส้นทางสวรรค์
แม้ว่านิกายเส้นทางสวรรค์คิดจะหยิบยืมราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในยุคนี้ เขาก็ไม่สนใจ
เพราะท้ายที่สุด ทางราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา ก็สามารถยืมชื่อเสียงของนิกายเส้นทางสวรรค์ในการแบ่งเบาภาระได้
“บางทีข้าอาจจะไม่ต้องมีส่วนยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากในอนาคต นิกายเส้นทางสวรรค์อาจจะเป็นผู้ช่วยที่สุดยอดของข้าก็เป็นได้”หลินจิ่วเฟิง รู้สึกพอใจมากกับเรื่องนี้
หลังจาก หลินจิ่วเฟิง ทานอาหารเสร็จ เขาก็ให้ ต้าชุนเก็บภาชนะและจากไป
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายดูล้ำลึกยิ่งขึ้น เขาอายุน้อยกว่า หลินจิ่วเฟิง ในปัจจุบันเขาอายุเพียง 50 ปีเท่านั้น และมีฐานการบ่มเพาะพลังขั้นปราชญ์การต่อสู้ ดังนั้นร่างกายและรูปลักษณ์ของเขาจึงได้รับการดูแลอย่างดี
ต้าชุนมีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้แสวงหาสิ่งอื่นใดในชีวิต
ฐานการบ่มเพาะพลังของเขาพัฒนาขึ้น ถ้าเขาโชคดีพอก็สามารถทะลวงผ่านขั้นเทพมนุษย์ และมีชีวิตไปได้อีก 2-3 ร้อยปี
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทะลวงผ่านขั้นพลังนี้ได้ เขาก็ไม่ได้เสียใจกับมันมากเกินไป
เพราะจิตใจของต้าชุนค่อนข้างมั่นคง
เขาทำงานรับผิดชอบด้านการขนส่งของกองทัพทหารส่วนพระองค์
นี่เป็นงานที่ดีสำหรับเขา
ตอนนี้เขามีภรรยา ลูกชาย และ หลานชาย
ชีวิตของเขามีความสุขและสมหวัง
นอกจากนี้เขายังถือว่าเป็นพลเมืองที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์มาถึง 4 รุ่น
อย่างน้อยที่สุดตำแหน่งของเขาในราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาก็ค่อนข้างมั่นคง
หลินจิ่วเฟิง มองไปที่ร่างที่จากไปของ ต้าชุน และ ถอนหายใจออกมา
ทุกคนต่างแสวงหาชีวิตที่แตกต่างกัน ดังนั้นคำจำกัดความสุขของพวกเขาจึงค่อนข้างแตกต่างกันออกไป…
‘ข้าก็ควรลงชื่อเข้าใช้ต่อไป’
หลินจิ่วเฟิง ได้สั่นศีรษะและกลับไปที่ตำหนักเย็นเพื่อทำกิจวัตรตามปกติ
“เมี้ยว…”
“ผ่านไปห้าปีเจ้าแข็งแกร่งแค่ไหนแล้ว?”
เจ้าแมวขาวกล่าวถามด้วยความสงสัย
หลังจากห้าปีผ่านไป ขนของมันก็ใสขึ้นเรื่อย ๆ
จมูกของมันได้เปลี่ยนเป็นสีชมพูและดวงตาคล้ายกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
มันค่อนข้างดูดีเกินความคาดหมายของ หลินจิ่วเฟิง อย่างแท้จริง
หลินจิ่วเฟิง ได้เอื้อมมือออกไปและอุ้มเจ้าแมวขาวมาไว้ในอ้อมแขนของเขา
ร่างกายที่อ่อนนุ่มของมันให้ความรู้สึกราวกับว่ามันไม่มีกระดูก ขนของมันค่อนข้างรู้สึกดีมากยามสัมผัส
“ข้าไม่ได้แข็งแกร่งขึ้น”หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับเจ้าแมวขาว
เจ้าแมวขาวปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องไร้สาระของ หลินจิ่วเฟิง
มันพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของเขา
ในปีก่อนหน้านี้ มันไม่ยอมให้ หลินจิ่วเฟิง กอดด้วยซ้ำ กระทั่งลูบไล้ขนร่างกายอันอ่อนนุมของมัน
แต่หลังจากมีครั้งแรก ก็มีครั้งที่สอง และ สาม…
มันคุ้นชินกับเรื่องนี้แล้ว
เหตุผลสำคัญก็คือมันไม่สามารถต่อต้านหลินจิ่วเฟิงได้
เมื่อ หลินจิ่วเฟิง เอื้อมมือออกมามันก็เตรียมพร้อมถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนแล้ว
ดั่งคำกล่าวที่ว่า ถ้าขัดขืนไม่ได้ก็ทน ๆ ไปซะ
แต่ถ้า มันโกรธ หลินจิ่วเฟิง มันจะไม่ยอมให้ หลินจิ่วเฟิง กอดมันอย่างแน่นอน
เมื่อรู้สึกว่าเจ้าแมวขาวกำลังจะดิ้นและหนีไป หลินจิ่วเฟิง ก็ได้ตอบกลับ
“ข้าพูดความจริง ข้าไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นเลย”
หลังจากอ่านหนังสือจากยุคก่อน ยิ่ง หลินจิ่วเฟิง เข้าใจเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังที่สูงขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอมาก
ความรู้สึกนี้เปรียบได้กับความรู้สึกของผู้ที่อ่อนแอยามเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งจากยุคก่อน
“เจ้ากำลังโกหกข้า!”
เจ้าแมวขาวได้ตอบกลับ หลินจิ่วเฟิง มันพยายามใช้ฟันอันแหลมคมของมันกัดไปบนร่างกายของเขา แต่เมื่อฟันของมันสัมผัสบนข้อมือของ หลินจิ่วเฟิง มันก็อดไม่ได้ที่จะกัดจริง ๆ
มันเพียงแค่วางฟันไว้บนข้อมือของ หลินจิ่วเฟิง และ แสร้งทำเป็นดุเพื่อข่มขู่เขา
หลินจิ่วเฟิง ได้หัวเราะออกมา
เขามองดูท่าทางที่โง่เขลา น่ารัก และ ดุร้ายของมัน…
จากนั้นเขาก็ตอบกลับอย่างอ่อนโยน“ข้าไม่ได้แข็งแกร่ง แต่ผู้คนในโลกนี้ดูเหมือนจะ…”
“อ่อนแอกว่าข้า”