436 - ต้นกำเนิด
436 - ต้นกำเนิด
คำพูดของเอี้ยนเต๋อชางทำให้เอี้ยนลี่เฉียงจำเรื่องที่พ่อของเขาพูดอย่างเมามายในคืนที่เขาขึ้นอันดับหนึ่งของการสอบศิลปะการต่อสู้ของมณฑลชิงไห่
“เสวี่ยเหลียน… เจ้าเห็นไหม? ลูกชายของเรา…ติดอันดับหนึ่ง… ข้าสัญญากับเจ้าก่อนหน้านี้…เพื่อหล่อเลี้ยงลี่เฉียง…รอวันที่เขาจะมีความสามารถ…ที่จะ…ล้างแค้น… จากนั้นข้าก็…จะไปหาเจ้า…. รอข้าด้วย…”
ในวันรุ่งขึ้นเอี้ยนลี่เฉียงแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้ยินเรื่องไร้สาระที่เอี้ยนเต๋อฉางพวยพุ่งออกมา แต่คำพูดที่พ่อของเขาพูดเมื่อคืนก่อนได้ประทับลึกลงไปในหัวใจของเขาแล้ว
ดังคำกล่าวที่ว่า
“คำพูดของคนเมาคือความคิดของคนมีสติ”
เอี้ยนลี่เฉียงตระหนักว่ามีบางอย่างในอดีตในครอบครัวที่พ่อของเขาไม่ต้องการพูดถึงอีก และอดีตนี้เชื่อมโยงกับแม่ของเขาในโลกนี้ซึ่งเขาไม่มีความทรงจำ
เอี้ยนลี่เฉียงรู้เพียงว่าแม่ของเขาชื่อเหอเสวี่ยเหลียน ซึ่งในที่สุดก็แต่งงานกับพ่อของเขา ตั้งแต่เอี้ยนลี่เฉียงยังเด็กเอี้ยนเต๋อชางก็ไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมทุกครั้งที่พูดถึงแม่
เอี้ยนลี่เฉียงเคยคิดว่าสิ่งที่พ่อของเขาพูดเกี่ยวกับแม่ของเขานั้นเป็นความจริง นางถึงแก่กรรมเพราะป่วยในช่วงที่เขายังเป็นทารก
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่เอี้ยนเต๋อชางเมาในคืนนั้น เอี้ยนลี่เฉียงก็เริ่มตระหนักว่ามีอะไรมากกว่าพื้นผิวของเรื่องนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเอี้ยนลี่เฉียงยังจำคำเตือนที่เอี้ยนเต๋อชางมอบให้เขาในระหว่างสถานการณ์ที่สิ้นหวังในวันนั้นผ่าน 'ความฝัน' ที่ศิลาสวรรค์มอบให้เขา -
“อย่าลืมทำลายล้างเผ่าทั้งเจ็ดของชาวชาตูเพื่อล้างแค้นให้แม่ของเจ้า!”
ในช่วงเวลานั้นเอี้ยนลี่เฉียง ไม่สามารถทำลายชนเผ่าชาตูทั้งเจ็ดได้ด้วยตัวเอง แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตและความตายเอี้ยนเต๋อชาง ยังคงตัดสินใจที่จะโยนคำพูดเหล่านั้นให้เขา
เรื่องนี้ติดอยู่ในใจของเอี้ยนลี่เฉียงมาเป็นเวลานาน แต่เนื่องจากเอี้ยนเต๋อชางไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ เขาจึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย นั่นคือจนถึงตอนนี้
“ข้าคิดว่าถึงเวลาที่เจ้าจะต้องรู้อะไรบางอย่างแล้ว!”
เอี้ยนเต๋อชางกล่าวขณะที่เขาเหลือบมองเอี้ยนลี่เฉียงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและหวนคิดถึงความทรงจำของเขาอย่างแรงกล้า
“ในวันนั้น เมื่อข้าได้ยินว่าจักรพรรดิแต่งตั้งเจ้าเป็นแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋นข้าก็รู้แล้วว่านี่เป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนดขึ้น ความแค้นของตระกูลทองกับชนเผ่าชาตูทั้งเจ็ดอาจได้รับการชำระล้างด้วยมือของเจ้า!”
“ท่านแม่ไม่ได้เสียชีวิตเพราะความเจ็บป่วยแต่เพราะชนเผ่าชาตูทั้งเจ็ดอย่างนั้นหรือ?” เอี้ยนลี่เฉียงถามอย่างใจเย็น
“ดูเหมือนว่าครั้งนั้นข้าจะดื่มเยอะและพูดอะไรที่ไม่ควรกล่าว!” เอี้ยนเต๋อฉางอุทานในขณะที่เขาส่ายหัว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปวดร้าว
“ทำไมท่านไม่บอกข้าเรื่องนี้ก่อนหน้านี้”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากบอกเจ้า แต่มันมีความเกี่ยวข้องมากเกินไปในเรื่องนี้ ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้แต่หากเจ้าไม่ได้เป็นแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนก็ไม่มีทางที่เจ้าจะล้างแค้นได้
ข้ากลัวว่าเจ้าจะทำอะไรโง่ๆบางครั้งการใช้ชีวิตเงียบๆโดยไม่รู้เรื่องอะไรก็เป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง!”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เอี้ยนลี่เฉียงถาม
"ข้ามีของบางอย่างจะให้เจ้าดู!"
เอี้ยนเต๋อชางลุกขึ้นและเอื้อมมือไปใต้เตียงเพื่อดึงตู้ไม้ขอบเหล็กเก่าๆที่ถูกใช้มานานหลายปีก่อนจะเปิดออก เสื้อผ้าเก่าและสิ่งของที่คล้ายกันถูกทิ้งไว้ด้านใน
จากนั้นเอี้ยนเต๋อชางก็กดชิ้นไม้ข้างตู้เบาๆและกลไกบางอย่างก็เปิดขึ้น ก่อนที่เอี้ยนเต๋อฉางจะหยิบของบางอย่างที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าไหมสีแดงออกมา
เอี้ยนเต๋อฉางแกะผ้าไหมออกอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เผยให้เห็นชิ้นส่วนโลหะสีดำสนิทแต่เรียบเนียนมากซึ่งมีขนาดเท่าฝ่ามือ
“นี่อะไร”
“กัดนิ้วแล้วหยดเลือดลงไป!”
เอี้ยนลี่เฉียงมองไปที่เอี้ยนเต๋อชาง ก่อนที่เขาจะกัดปลายนิ้วชี้ขวาอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล และหยดเลือดลงบนเหรียญ
ขณะที่เลือดสีแดงไหลลงบนพื้นผิวสีดำสนิทของตราประทับ เอี้ยนลี่เฉียงก็สามารถเห็นได้ว่าตราประทับนั้นดูดซับเลือดที่หยดได้อย่างเต็มที่ในชั่วพริบตา
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา ตราประทับสีดำเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยการเปล่งแสงแวววาวรอบๆออกมาและปรากฏเป็นยอดเขาขนาดใหญ่ของเนินเขาที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล
“กลไกเก่าแก่ของตราประทับนี้คือชิ้นส่วนอุกกาบาตที่ตกลงสู่ที่ราบจากฟากฟ้า เมื่อ 200 ปีที่แล้ว แม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋นซึ่งปกครองภูเขาฉีอวิ๋นและที่ราบกู่หลางได้บังเอิญผสานเข้ากับตราประทับนี้อย่างสมบูรณ์
ตราประทับนี้เรียกว่าตราชุ่ยอวิ๋น เนื่องจากมีคุณสมบัติพิเศษ ตราบใดที่ผู้ที่มีสายเลือดของแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋นหยดเลือดของพวกเขาลงบนตราประทับ มันจะเผยให้เห็นรูปแบบอย่างที่เจ้าเห็นตอนนี้… ”
ในขณะฟังเสียงที่สงบของบิดา เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกได้เพียงความตกตะลึงในจิตใจของเขา สมองของเขากำลังปิดตัวลงในขณะที่เขาไม่สามารถหาคำที่จะพูดได้
จักรพรรดิเพิ่งแต่งตั้งเขาเป็นแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋น แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นทายาทของแม่ทัพ ฉีอวิ๋นคนก่อน...
เมื่อเห็นว่าเอี้ยนลี่เฉียงพูดไม่ออก เอี้ยนเต๋อชางก็ลูบตราประทับในมือและพูดต่ออย่างใจเย็น
“ก่อนที่ชนเผ่าทั้งเจ็ดของชาวชาตู จะย้ายเข้าไปอยู่ในที่ราบกู่หลาง ตราประทับนี้อยู่ในความครอบครองของแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋นเสมอและยังคงส่งต่อไปอีกหลายรุ่น
หลังจากการอพยพของชนเผ่าชาตูทั้งเจ็ดเผ่าเข้าสู่ที่ราบกู่หลาง แล้ว
แม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋นในขณะนั้นได้ตัดสินใจเรียกผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขาและมอบตราประทับนี้และสั่งให้ออกจากภูเขาฉีอวิ๋นพร้อมกับลูกชายแรกเกิดของเขา
ขณะนั้นภรรยาของผู้ติดตามเพิ่งคลอดบุตร แต่เด็กคนนี้ไม่สามารถอยู่ได้นานและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ในเวลาเดียวกันภริยาของแม่ทัพฉีอวิ๋นก็คลอดบุตรเช่นกัน
เขาเปลี่ยนลูกชายของเขากับลูกของผู้ติดตามและบอกทุกคนว่าเด็กที่เป็นลูกชายของเขานั้นตายไปแล้ว ในขณะเดียวกัน ลูกชายของเขาเองก็ถูกผู้ติดตามพากลับไปแคว้นกานอย่างลับๆ…”
“ไม่นานหลังจากที่ผู้ติดตามของแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋นพาลูกของเขาไปที่แคว้นกาน คฤหาสน์แม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋นก็ซุ่มโจมตีและทำลายล้างเพียงชั่วข้ามคืน
ไม่มีทายาทของแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนฉีอวิ๋นคนใดที่มีชีวิตรอด หลังจากนั้นชาวชาตูก็กลายเป็นผู้ปกครองของภูเขาฉีอวิ๋นและที่ราบกู่หลางโดยสมบูรณ์
ผู้ติดตามที่ภักดีรับเด็กกำพร้าจากสายเลือดของแม่ทัพฉีอวิ๋นและเริ่มชีวิตใหม่ในแคว้นกาน บนพื้นผิวเด็กกำพร้าก็เติบโตขึ้นเป็นช่างตีเหล็กและมีลูกสาวที่งดงามคนหนึ่ง
นอกจากนี้เขายังรับศิษย์สองคนซึ่งหนึ่งในนั้นโชคดีพอที่จะแต่งงานกับลูกสาวของเขาและมีทายาทหนึ่งคน เด็กคนนั้นก็คือเจ้าลี่เฉียง!”
ขณะที่พูดถึงอดีตเอี้ยนเต๋อชางก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาเล็กน้อย ดวงตาของเอี้ยนลี่เฉียงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างช้าๆหลังจากที่เขาได้ยินต้นกำเนิดของตระกูลเป็นครั้งแรก…
“ในตอนนั้น ท่านตาของเจ้าอาจจะเป็นช่างตีเหล็ก แต่ในความเป็นจริงเขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เพื่อหวังแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา
เหตุผลที่เจ้าปู่ของเจ้าเสียชีวิตนั้นไม่ใช่เพราะความเจ็บป่วย แต่เป็นเพราะความกระวนกระวายใจที่ไม่สามารถฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ให้ได้อย่างรวดเร็วตามที่ใจนึกคิด ทำให้เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกและเสียชีวิตไป!”