Chapter 11 - อ่านฟรี
I’m Not Interested In The Main Characters (แปลไทย)
Chapter 11
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เอลิเซียมีวิธีหาคนที่เธอจะสามารถหมั้นหมายด้วยได้แล้ว
ชื่อของเธอกลับมาเป็นข่าวคึกโครมอีกครั้ง เมื่อเพิ่งมีการเปิดเผยออกมาว่าเธอเป็นผู้วิเศษและเป็นลูกศิษย์ของราโมท พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
ไม่เพียงแต่คำเชื้อเชิญต่างๆ ที่พากันหลั่งใหลเข้ามาเท่านั้น แต่ยังมีการพูดถึงการหมั้นหมายจากประเทศข้างเคียงอีกด้วย
‘เวลาช่างเหมาะเจาะพอดีเสียจริง ฮะๆ’
ท่ามกลางพวกเขา เธอกำลังมองหาคนที่มีคุณสมบัติดีพอที่จะมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับจักรวรรดิ
เอลิเซียเอ่ยปากถามข้ารับใช้ที่ได้รับมอบหมายให้รวบรวมรายชื่อพวกเขาเหล่านั้นมาให้เธอ
“พ่อของฉันเป็นยังไงบ้าง?”
“หลังจากที่ผมติดต่อท่านไปเมื่อวันก่อน ท่านบอกว่าท่านกำลังรีบทำงานให้เสร็จอยู่ แล้วหลังจากนั้นผมก็ติดต่อท่านไม่ได้อีกเลย”
“ไม่มีการติดต่อกลับเหรอ?”
“เหมือนว่าจะมีปัญหาขัดข้องเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารน่ะครับ แต่ผมได้ฝากข้อความไปที่อาณาจักรดีแลนแล้วว่าให้พวกเขาแจ้งกลับหาเราทันที หากติดต่อกับท่านดยุคได้”
เอลิเซียพยักหน้า
ตอนนี้ราโมท อาจารย์ของเธออยู่ที่อาณาจักรดีแลน เธอจึงคิดเรื่องการติดต่อไปหาเขา หากพ่อของเธอยังคงติดต่อไม่ได้แบบนี้อยู่อีก
เนื่องจากผู้นำและผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลของเธอไม่อยู่ในเวลาเดียวกัน อำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ภายในตระกูลจึงตกไปที่เอลิเซีย
ดังนั้น เธอจึงสามารถตัดสินใจหมั้นหมายหรือแต่งงานได้ด้วยตัวเอง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องผ่านการเห็นชอบจากจักรพรรดิ
โดยปกติ หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น จักรพรรดิก็จะขอให้ระงับไว้ก่อน
และเหตุผลที่เธออยากพบพ่อของเธอ คือ เพื่อจะขอคำแนะนำจากเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
“คุณหนูขอรับ เราไม่ต้องรอจนกว่าท่านดยุคจะกลับมาหรือขอรับ?”
“ก็แค่รวบรวมรายชื่อมาเฉยๆ เท่านั้นเอง”
ข้ารับใช้รู้สึกกังวลในเรื่องที่เขาจะต้องทำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่ไม่มีสมาชิกในวงศ์ตระกูลอยู่สักคน
‘ฉันไม่สามารถอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้หรอกนะ’
เอลิเซียแอบถอนหายใจ
“เอาเฉพาะคนที่เป็นขุนนางระดับสูงของประเทศอื่นที่คู่ควยกับการแต่งงานทางการเมืองนะคะ”
“ขอรับ”
ไม่ว่าจะคิดยังไง ก็ไม่มีใครที่พอเหมาะพอดีเท่าแคสเซียนอีกแล้ว
เธอจึงเก็บตัวเลือก 'การแต่งงานกับราชวงศ์หรือขุนนางประเทศอื่น' ไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย
เพราะด้วยระยะทาง เธอไม่จำเป็นต้องพบเจอพวกเขาบ่อยๆ แต่พวกเขาอาจจะเรียกร้องผลประโยชน์เพิ่ม หากเธอจะต้องเลื่อนงานแต่งงานไปจนกว่าพระเอกและนางเอกจะลงเอยกัน และมันไม่มีอะไรที่การันตีได้ว่าเธอจะสามารถจบความสัมพันธ์นั้นได้ง่ายๆ
หากเกิดปัญหา มันคงเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขและการถอยหลังกลับก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
***
เวลาผ่านไปครึ่งทางแล้ว จากสิบวันที่จักรพรรดิได้ให้ไว้
เอลิเซียยังคงวิตกกังวล
เธอยังไม่พบคนที่เหมาะสมและเรวอสก็ยังไม่ตอบรับการนัดหมายของเธอ
อันที่จริงมีผู้สมัครคนหนึ่งที่เกือบจะมีคุณสมบัติที่เหมาะเจาะ เขาเป็นขุนนางในอาณาจักรดีแลน แต่เขาก็มีบางส่วนที่ไม่น่าพึงพอใจ โปรไฟล์ของเขาไร้ที่ติก็จริง แต่มีข้อมูลว่า มีสาวใช้ยื่นร้องเรียนเขาเป็นจำนวนมาก
ขณะนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว เธอได้พยายามติดต่อหาทั้งพ่อของเธอและราโมท แต่ก็ไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้ทั้งคู่
เหลือเพียงหนทางเดียว เอลิเซียก้มมองแหวนที่นิ้วของตัวเอง
เธอต้องไปหาแคสเซียน
เขาบอกให้เธอใช้แหวนมาหาเขาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมันมาก
‘ฉันไม่คิดว่าปลายทางจะเป็นห้องนอนจริงๆ หรอกนะ’
เอลิเซียมุ่งหน้าไปที่ห้องแต่งตัว
เธอแตะนิ้วเข้าที่ริมฝีปากตัวเอง ตอนนี้เธอรู้สึกทุกข์ใจมาก
เธอเปลี่ยนมาสวมชุดเดรสสีดำกำมะหยี่และสวมเฟอร์ทับ
เธอกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับแคสเซียน
เขาไม่ใช่คนไร้รสนิยม เขาค่อนข้างดูดีตลอดเวลา ซึ่งนั่นเป็นปัญหาของเธอ
ขณะส่องกระจก เธอเกิดคำถามว่าทำไมแคสเซียนถึงดูงดงามกว่า..
กล้ามเนื้อของเขาดูสมบูรณ์แบบราวกับรูปปั้น เขาอาจจะไม่เหมาะกับคำว่างดงาม แต่ในสายตาเธอ เขาเป็นเช่นนั้น
รอบนี้เธอเตรียมพร้อมมาอย่างดี เธอต้องไม่พลาด แม้เขาจะดูดีแค่ไหนก็ตาม
“เราทานมื้อเย็นด้วยกันไปเมื่อวันก่อน ดังนั้น วันนี้ฉันก็ต้องทนได้เหมือนวันนั้นแน่นอน”
เอลิเซียลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกพลังเวทมนตร์ของเธอมา
เวทมนตร์สีแดงส่องประกายในแหวน การมองเห็นของเธอเริ่มเปลี่ยนไป นั่นทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย
‘เอ่อ ถึงแม้ร่างของฉันจะเปลี่ยนไปเป็นแวมไพร์แล้ว แต่เวทมนตร์เคลื่อนย้ายที่ฉันมีก็ยังคงใช้งานได้ดีอยู่สินะ’
เสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้นที่ข้างหู ขณะถูกมือของใครบางคนโอบรอบเอวเอาไว้แน่น
“คุณมาที่นี่เพื่อมื้อเย็นหรือเปล่าครับ?.... ไม่เหรอ?”
ทันทีที่การมองเห็นของเธอชัดเจนขึ้น ก็ปรากฎใบหน้าของบุคคลอันตรายอยู่ใกล้ใบหน้าของเธอ
เอลิเซียรีบดึงมือของแคสเซียนออกและทิ้งระยะห่างทันที
เธอหันมองไปรอบๆ ห้อง
‘นี่มันห้องนอนจริงๆ!’
เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นของแคสเซียนอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ด้วยท่าทางของเขา เธอจึงหาที่นั่งลงบนโซฟา
“ภารกิจหาเจ้าบ่าวเป็นไปได้ด้วยดีไหม?”
“เฮ้อ เจ้าบ่าวอะไรกัน”
เอลิเซียตอบด้วยน้ำเสียงคร่ำครวญ
เธอกระแอมและหันมองไปที่แคสเซียน
“แน่ใจนะว่าคุณไม่อยากหมั้นกับฉัน?”
“ผมไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไร ทำไมผมต้องทำ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ ฉันลองมาคิดๆ ดูแล้ว ไม่เห็นมีเหตุผลที่ฉันจะต้องยอมให้คุณควบคุมไปมาอยู่แบบนี้เลย”
เอลิเซียโบกมือปัด เธอส่งสัญญาณให้เขา
นั่นหมายความว่า เธอจะไม่ยอมให้ความร่วมมือกับการถูกจับตาดูอีกต่อไป
“ถ้าทำแบบนั้น จะกลายเป็นคุณนั่นแหละที่เดือดร้อน”
“งั้นก็ประกาศให้สาธารณชนรู้ไปเลยซะสิ ดูซิว่าใครจะเชื่อคุณ อย่างดี ก็แค่มีนักเวทย์ที่พยายามจะสอบสวนฉัน”
ไม่มีพ่อมดในจักรวรรดิไหนที่อยู่ระดับเลเวลเหนือกว่าเธอ
แม้ว่าจะมีในระดับเดียวกันบ้าง แต่พลังของเธอก็ค่อนข้างทิ้งห่างพวกเขา
เธอมีการรับรู้ที่ดีกว่ามาก ดังนั้น แม้จะมีพลังที่ไม่หลากหลายมาก แต่ถ้ามีประสิทธิภาพสูง ยังไงผลลัพธ์ก็ออกมาเหนือกว่าอยู่ดี
เอลิเซียหัวเราะอย่างสบายๆ ให้กับสิ่งที่เธอกำลังจะทำ
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนี้หรอก เธอไม่ได้ต้องการรบกวนครอบครัวตัวเองหรือแม้แต่ราโมท อาจารย์ของเธอเอง
เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งต่างๆ ที่เธอพูดไป อาจจะผิดพลาดได้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเหล่านักเวทย์
“คุณคิดว่าผมจะตกหลุมการยั่วยุนั่นของคุณไหม?”
แคสเซียนเอ่ยปาก
เอลิเซียเอียงศีรษะเล็กน้อย เธอเห็นมือของแคสเซียนกำลังแตะที่คางของเขาเองด้วยท่าทางผ่อนคลาย
เธอลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหาเขา
เธอก้มศีรษะลง วางมือบนพนักโซฟาหลังศีรษะของแคสเซียน แล้วกระซิบที่ข้างหูของเขา
“ถ้าคุณคิดจะให้ฉันร่วมมือกับการเฝ้าระวังของคุณ คุณควรให้อะไรแลกเปลี่ยนกับฉัน ฉันมาที่นี่เพื่อบอกว่าฉันต้องการอะไร”
เอลิเซียทิ้งตัวลงเหนือร่างแคสเซียน เธอยื่นหน้าเข้าใกล้ท้ายทอยของเขา
ชีพจรของเขาเต้นจนสามารถสัมผัสได้ และนั่นทำให้เธอยิ่งกระหายขึ้นเป็นทวีคูณ
เธอสูดหายใจเข้าลึก พยายามข่มความอยากอาหารของแวมไพร์อย่างยากลำบาก
ในขณะเดียวกัน มือของแคสเซียนก็คว้าเอวเธอไว้
“ดูเหมือนคุณจะลืมไปว่าที่นี่คือห้องนอนของผมนะ”
หลังเขาพูดจบ ร่างของเอลิเซียถูกดึงเข้าไปใกล้เขามากขึ้น แขนทั้งสองข้างของเธอถูกเขาล็อคไว้
ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันอย่างไม่ละสายตา
เอลิเซียยิ้มที่มุมปาก เธอใช้ข้อศอกดันร่างกายของตัวเองยกขึ้น
ระยะห่างของทั้งคู่ใกล้จนปลายจมูกสามารถสัมผัสกันได้
“ฉันจะคืนแหวนให้คุณ”
เอลิเซียเอ่ยพลางดึงแขนตัวเองให้หลุดจากแคสเซียน แล้วถอดแหวนที่นิ้วก้อยของตัวเองออก
‘เร็วเข้าสิ บอกฉันมาว่าคุณจะรับข้อเสนอของฉัน’
มันเป็นการเดิมพัน
เธอไม่รู้ว่าเขาพยายามจะสอดแนมเธอมากแค่ไหน ซึ่งข้อตกลงนี้จะทำให้เขาทำทุกอย่างได้ง่ายขึ้น ดังนั้น เขาจึงควรยอมรับมัน
ตามคาด แคสเซียนคว้าข้อมือของเธอข้างที่กำลังถือแหวน
“ก็ได้ๆ ผมยอมทำตามข้อเสนอของคุณ แต่ไม่ใช่เพียงการหมั้นเท่านั้น อย่างน้อยก็ควรจะต้องแต่งงานหรือเปล่า?”
เอลิเซียที่กำลังไชโยโห่ร้องอยู่ในใจ หยุดชะงัก
เธอคิดแค่เรื่องแผนการหมั้น แต่ไม่เคยคิดต่อเรื่องแต่งงานเลย
ดยุค นี่คุณจริงจังเกินไปไหมเนี่ย?
“การแต่งงานไม่ใช่เรื่องสำคัญในชีวิตฉัน คุณคิดว่า มันเป็นทางที่ดีกว่าจริงๆ เหรอ? แล้วคุณจะไม่รำคาญปัญหาที่ตามมาตอนเราหย่าหรือไงกัน”
การถอนหมั้นกับการหย่าร้างมีเงื่อนไขที่ต่างกันอย่างชัดเจน
ส่วนตัวเธอ เธอไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานหรือใช้ชีวิตร่วมกับใครอยู่แล้ว ดังนั้น การหย่าร้างจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ
“ทำไมคุณถึงคิดว่าเราควรแต่งงานกันดีกว่า?”
“ถ้าเพื่อให้ผมทำงานได้สะดวกอย่างที่คุณพูด คุณไม่คิดว่าเราควรแต่งงานกันมากกว่าหรือไง? อีกอย่างการหมั้นหมายก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากตอนนี้มาก และฝ่าบาทเองก็ไม่ทรงยอมหยุดง่ายๆ หรอก หากเราแค่หมั้นกัน”
เอลิเซียรู้สึกกังวลใจอยู่ครู่หนึ่ง
เขายังไม่เคยพูดเรื่องนี้กับจักรพรรดิก็จริง แต่มันก็มีโอกาสที่จะเป็นอย่างที่เขาพูด
ดังนั้น นี่อาจเป็นโอกาสที่ดี
‘อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการหย่าร้าง หากเราแต่งงานกัน’
ถึงจะเป็นความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไข แต่เธอก็จะมีตำแหน่งเป็นดัชเชส
และช่วงเวลาระหว่างสัญญา เธอจะไม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
“ตกลงตามนั้นค่ะ อย่าถอนคำพูดนะคะ”
“ผมให้สัญญา แต่จะว่าไปดูเหมือนผมจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากกว่าเลยนะเนี่ย...”
“ฉันจะย้ำอีกครั้งว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นคุณ”
ถึงจะได้ยินเช่นนั้น แต่ดวงตาของแคสเซียนก็แสดงความมั่นใจว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในนาทีนี้
เอลิเซียหัวเราะให้กับความคิดของตัวเอง เธอคิดว่าเขาดูเหมาะกับคำว่า 'เย่อหยิ่ง' มาก
“ถ้าเช่นนั้น เรามาร่างสัญญากันเลยตอนนี้น่าจะดีนะคะ”
เธอยกมือขึ้นดันหน้าอกของเขาให้ห่างออกไป แล้วหันไปหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากกระเป๋าเวทย์ของตัวเอง พลางควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติเช่นเดิม
มันเป็นกระดาษสำหรับทำสัญญาเวทมนตร์
เธอหยิบเอกสารใต้สัญญาเวทมนตร์ขึ้นมาแล้วยื่นให้เขา
“นี่คือค่าชดเชยที่คุณจะได้รับ หากเราหย่ากัน”
ตรงหน้าของแคสเซียนมีรายการทรัพย์สินอยู่ มันมากเสียจนไม่อาจปฏิเสธได้
“เราไม่จำเป็นต้องมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยว มันเป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อความต้องการของแต่ละฝ่าย”
“งั้นก็ได้”
เอลิเซียเก็บเอกสารกลับใส่กระเป๋า
รายการที่เธอมอบให้แคสเซียนเป็นทรัพย์สินทั้งหมดที่เธอมี และถ้าหากเธอมีโอกาสได้คุยกับพ่อของเธอ เธอจะได้รับทรัพย์สินที่มากกว่านี้อีก หากเรื่องนี้จบเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ รับประกันได้ว่าเขาจะมีชีวิตที่อู้ฟู่อย่างแน่นอน
“เวลาตลอดสัญญาทั้งหมด 5 ปี”
“ฉันว่านานเกินไปนะคะ”
“แต่ผมว่า แค่ 2 ปี สั้นเกินไป อย่างน้อย เราก็ควรจะมีการแต่งงานที่เหมาะสมและถูกกาลเทศะในสายตาของเหล่าขุนนางและคนทั่วไป”
หากพวกเขาแต่งงานกันเป็นเวลาหนึ่งปีและหย่าร้างกัน ก็จะไม่มีความหมาย
เอลิเซียเอียงศีรษะ
“งั้น 3 ปีแล้วกันค่ะ”
“มีเวลาแค่ 6 เดือนสำหรับเตรียมพิธีหมั้น , 1 ปี สำหรับการหมั้น, อีก 1 ปีสำหรับเตรียมงานแต่ง และใช้ชีวิตแต่งงานแค่ 5 เดือน ผมว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้นะ”
เอลิเซียรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทง
สีหน้าของแคสเซียนเหมือนจะบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้
“หรือไม่งั้นก็สามปี โดยมีเงื่อนไขว่าเราจะไม่มีพิธีหมั้น การแต่งงานจะถูกเตรียมขึ้นในทันทีโดยเร็วที่สุด”
“ดีค่ะ”
“แล้วเรื่องลูกล่ะ?”
มันจะไม่เกิดขึ้น แต่เธอไม่รู้จะยกเหตุผลอะไรมาบอกเขา
“คุณคงไม่อยากมีลูกกับฉันหรอกใช่ไหม?”
“ถึงจะเป็นการแต่งงานตามสัญญา แต่มันก็คือการแต่งงานอยู่ดี แน่นอนว่าเราควรจะเตรียมการเรื่องนี้เอาไว้ด้วย”
“มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ ถ้ามันเกิด ฉันจะยอมแพ้แต่โดยดี”
สีหน้าของแคสเซียนกำลังสงสัยว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงจะไม่เกิดขึ้น
สิ่งที่คุณบอกหมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรางั้นเหรอ?
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เอลิเซียคิดว่า เขาอาจจะหมายความว่า ทำไมเธอถึงไม่อยากมีลูกกับเขา
เอลิเซียเอ่ยปากอีกครั้งเพื่อกระจ่างข้อสงสัยของเขา
“ทำไม? หรือคุณอยากจะแชร์ห้องกับฉันระหว่างที่เราแต่งงานงั้นเหรอ?”
“ใช่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิด”
“ไม่ได้ มันอันตรายเกินไป”
เธอไม่อาจบอกไปว่า เขาอาจจะเลือดหมดตัวก่อนได้
ฉันไม่อยากจะทำให้ว่าที่สามีตัวเองตกอยู่ในอันตราย
“ยังไงก็ตาม ถ้ามันเกิดขึ้น ฉันจะให้สิทธิ์ในการดูแลเด็กกับคุณ”
เอลิเซียผายมือออกและเน้นย้ำประโยคอีกครั้ง
แคสเซียนพยักหน้า เขากำลังคิดว่า เขาต้องรู้รายละเอียดอะไรเพิ่มเติมอีก
“แม้ว่าจะเป็นการแต่งงานตามสัญญา แต่คุณก็ต้องทำสิ่งที่ผมมอบหมายให้ในฐานะดัชเชส”
“ได้ ฉันจะรายงานทุกเรื่องที่คุณต้องการ”
“ตลอด 3 ปี ห้ามคุณดื่มเลือดของคนอื่น”
“อะไรนะ?”
ปากของเอลิเซียเปิดกว้าง
มันไม่ยุติธรรมที่เขาจำกัดมื้ออาหารของเธอ
“เรื่องพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่คุณมีสิทธิ์เข้ามายุ่ง ฉันแค่เป็นแวมไพร์ ฉันไม่ได้จะไปเอาชีวิตใคร”
“มันไม่ดีกับคุณหรือไง? ก็คุณเคยบอกว่านี้เป็นครั้งแรกที่คุณได้ลิ้มรสอะไรที่ดีเท่าเลือดผม คุณบอกว่าคุณแทบคลั่งจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว...”
“หยุด! อย่าพูดนะ”
เอลิเซียรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเขาให้หยุดพูดถึงอดีตอันมืดมนของเธอ
เขาไม่ควรจะต้องซื่อตรงขนาดนี้ไหม
***