80Y-ตอนที่ 57 บังคับซากุระบานสะพรั่ง
ย้อนกลับไปในตอนนั้น องค์ชายผู้เกียจคร้านคนนี้ยังเป็นบุรุษหนุ่มที่ร่าเริงและมีความมั่นใจ
เขาทรงโลภในตำแหน่งสืบราชบัลลังก์มาโดยตลอด
ดังนั้นเขาจึงถือว่า หลินจิ่วเฟิง เป็นศัตรูของเขา
เขาไม่เคยเรียก หลินจิ่วเฟิง ว่า ‘น้องสาม’ มาก่อน
เขาเป็นพี่คนโตสุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด และ เขาก็เป็นบุตรชายโดยตรงของจักรพรรดิอีกด้วย
ถ้าพูดตามหลักแล้วเขาควรจะมีสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์
แต่ทว่า หลินจิ่วเฟิง กลับเป็นอัจฉริยะ
ในอดีตอีกฝ่ายได้ปราบปรามเขาและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งองค์รัชทายาท
ต่อมา หลินจิ่วเฟิง ได้กระทำผิด ปล่อยสตรีศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์ที่เป็นปรปักษ์ให้หลบหนีไป
เป็นผลทำให้ราชวงศ์สูญเสียโอกาสอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้ อีกฝ่ายจึงถูกเหล่ารัฐมนตรีในราชสำนักร่วมกันออกเสียงเพื่อถอด หลินจิ่วเฟิง ออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท
เดิมเขาคิดว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทที่ว่างอยู่ ได้ลอยกลับมาหาเขาแล้ว แต่หลังจากจักรพรรดิหยวนกลับมา อีกฝ่ายก็สามารถปราบปรามเขาได้อีกเช่นกัน
ราวกับว่าประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอย…
จักรพรรดิหยวนได้รับตำแหน่งไปจากเขา
การทุบตีสองครั้งนี้ทำให้เขาสูญเสียขวัญกำลังใจอย่างมาก
ในที่สุดเขาก็ผันตัวกลายเป็นองค์ชายที่เกียจคร้านและละทิ้งความทะเยอทะยานทั้งหมด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่ได้พูดถึง หลินจิ่วเฟิง แม้แต่ครั้งเดียว และ เขาก็ไม่เคยคิดถึงอีกฝ่ายขนาดนั้น
30 ปีผ่านไป เขาอยู่ในวัย 50 กว่าแล้ว
ในตอนที่เขาอายุ 50 กว่าปี อดีตทั้งหมดล้วนถูกกลบฝังในส่วนลึกของจิตใจ
แต่ทว่าวันนี้หลาย ๆ อย่างได้ถูกขุดขึ้นมาจากใจของเขา
เขารู้สึกสงสัยว่าเหตุใดนักพรตเต๋าทั้งสองคนนี้ถึงมองหา หลินจิ่วเฟิง?
หลิวหยุน และ ไห่หยู ได้มองไปที่ องค์ชายผู้เกียจคร้าน ที่กำลังจมดิ่งไปในความทรงจำ
เขาได้เอื้อมมือออกไปเขย่าให้อีกฝ่ายตื่น
“เอ่อ...ข้าขออภัย”
“ข้าไม่ได้ยินชื่อเขามานานแล้ว ย้อนกลับไปในตอนนั้น หลินจิ่วเฟิง ได้ถูกเนรเทศไปยังตำหนักเย็น จนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่เคยได้รับการปล่อยตัวเลย”องค์ชายที่เกียจคร้านได้ตอบกลับ
หลิวหยุนรีบกล่าวถาม“แล้วเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
“เขาควรจะมีชีวิตอยู่ ถ้าเขาเสียชีวิตไปแล้ว ด้วยศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์เราน่าจะได้รับแจ้งถึงการตายของเขา ในเมื่อไม่มีเรื่องนี้ แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่ในตำหนักเย็น”
“เพียงแต่ตำหนักเย็นเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก รากฐานการบ่มเพาะพลังของเขาก็ถูกทำลายไปแล้ว ข้าก็สงสัยเช่นเดียวกันว่าเขาจะรู้สึกทรมานมากขนาดไหนกันหลังจากใช้ชีวิตกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมาในที่แห่งนั้น”
ความขุ่นเคืองที่มีต่ออีกฝ่ายในช่วงปีแรก ๆ ได้หายไปหมดแล้ว
ในตอนนี้เขาเหลือพี่น้องไม่มากนัก ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสงสาร หลินจิ่วเฟิง
“หลังจากที่เขากระทำผิด ข้าก็รู้ว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่ชีวิตของเขาจะกลับมาสดใสได้อีกครั้ง ดังนั้นไม่ว่าใครก็ล้วนแล้วแต่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาทำได้เพียงนั่งรอความตายอยู่ในตำหนักเย็น นักพรตเต๋าทั้งสอง ท่านกำลังมองหาเขางั้นหรือไม่?”องค์ชายที่เกียจคร้านได้กล่าวถาม
“อืม สถานการณ์ของเขาภายในตำหนักเย็นน่าสลดขนาดนั้นเชียว?”ศิษย์น้องไห่หยู ได้กล่าวถามด้วยความประหลาดใจ
“ผู้ที่ถูกส่งไปในตำหนักเย็นล้วนไม่เคยมีชีวิตที่ยืนยาว…”
“พวกเขาทั้งหมดล้วนเสียสติ”
“ลองคิดดู เขาอาศัยอยู่ที่นั่นมากว่า 30 ปีแล้ว มันไม่ต่างอะไรไปจากการถูกทรมานอย่างต่อเนื่องตลอด 30 กว่าปี นี่ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าหรอกเหรอ?”องค์ชายที่เกียจคร้านได้สั่นศีรษะและอธิบาย
“อืม เป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างแท้จริง”ศิษย์น้องไห่หยู อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึง
สถานการณ์ของ หลินจิ่วเฟิง ย่ำแย่มาก
“ตำหนักเย็นอยู่ที่ไหน?”หลิวหยุน ได้กล่าวถาม
องค์ชายที่เกียจคร้านได้ตอบกลับ“ในพื้นที่ห่างไกลทางเขตตะวันตกของเมืองหลวง ที่นั่นมีตำหนักขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ มองแวบเดียวก็รู้ว่ามันคือตำหนักเย็น อีกทั้งยังไม่อนุญาติให้มีใครเข้าไปในบริเวณโดยรอบโดยปราศจากราชโองการ”
หลิวหยุน และ ศิษย์น้องไห่หยู ได้ลุกขึ้นและจากไปในทันที
“โปรดแสร้งทำเป็นว่าเราไม่เคยมาที่นี่”หลิวหยุน ได้ทิ้งโอสถที่เขาปรับแต่งผ่านการเล่นแร่แปรธาตุบนภูเขาหลงหู่ เพื่อแสดงน้ำใจในครั้งนี้
จากนั้นเขาก็หายตัวไปในตอนกลางคืน
…
บุรุษร่างใหญ่จากภูมิภาคทะเลทรายทางตอนเหนือได้พบขันทีชราที่รับใช้ในวังสมัยนั้น เนื่องจากเขาอายุมากแล้ว เขาจึงได้รับอนุญาติให้เกษียณตัวเองและกลับไปยังบ้านเกิด
ขันทีเฒ่าผู้นี้ รู้ว่า องค์รัชทายาทที่ถูกปลดถูกขังไว้ที่ไหน
ก่อนที่จะจากไป ขันทีเฒ่าได้บอกเขา“ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทคนนั้นจะยังไม่เสียชีวิต แต่เขาควรจะเป็นบ้าไปแล้ว มันไม่ใช่เรื่องผิดหากท่านต้องการถามหาเขา เพียงแต่อย่าได้สร้างปัญหา เพราะความผิดพลาดของเขาในตอนนั้น ยังไม่ได้รับการอภัย”
บุรุษร่างใหญ่ คิ้วขมวดแน่น เขาอดไม่ได้ที่จะกระซิบกับตัวเอง’เหตุใดท่านหญิงหงถึงต้องการตามหาองค์รัชทายาทที่ถูกปลดคนนั้น’
เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย
แต่เนื่องจากนี่เป็นคำขอของท่านหญิงหง เขามีแต่จะต้องทำงานให้สำเร็จ
เขาได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ได้รับมุ่งหน้าไปยังตำหนักเย็นทันที
…
ห้องเอกสาร
นักบวชหนุ่มได้เปิดดูบันทึกในอดีตและเห็นบันทึกมากมายเกี่ยวกับ หลินจิ่วเฟิง
มันเป็นบทสรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเขา
ทุกความคิดเห็นที่เขียนถึงเขาในบันทึกล้วนเป็นด้านลบ
เอกสารทั้งหมดได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า องค์รัชทายาท ผู้นี้โง่เขลาแค่ไหน
นักบวชหนุ่มได้ปิดเอกสารและมองไปที่ตำหนักเย็น
เขาได้พึมพัมออกมา“อมิตาพุทธ หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ด้วยวิธีนี้ ข้าน่าจะสามารถตอบแทนน้ำใจของท่านหญิงหงได้”
เขาได้มุ่งหน้าไปยังตำหนักเย็นเช่นเดียวกัน
…
คืนนี้ตำหนักเย็นก็ยังเงียบสงบเช่นเคย
อาคารเกือบทุกหลังในตำหนักเย็นล้วนมืดสนิท
มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องสว่างเป็นครั้งคราว
แต่ทว่าคืนนี้ดวงจันทร์กลับถูกเมฆดำบดบัง
ดังนั้นตำหนักเย็นจึงมืดมาก
มีเพียงสถานที่เดียวที่มีแสงสว่าง ก็คือลานที่พักของ หลินจิ่วเฟิง
ลานที่พักนี้เต็มไปด้วยกระบี่กระดูก ชุดกระบี่ที่เขาได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้ในสมัยนั้น มันยังคงอยู่ที่นี่ พวกมันได้ถูกฝังอยู่ที่นี่เป็นเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา
หลินจิ่วเฟิง ไม่เคยใช้งานพวกมันทั้งหมดมาก่อน
แต่ทว่า หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้รีบร้อน เขาน่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมันในไม่ช้านี้
ภายในที่พัก หลินจิ่วเฟิง ได้นอนอยู่บนเตียงหยกน้ำแข็ง มือของเขาได้วางอยู่บนหน้าอกขณะที่เขาหลับตาหลงและหมุนเวียนพลังจิตวิญญาณ
กระทั่งพลังปราณแท้จริงก็ได้ขยับเขยื้อนอย่างแรงกล้า
พวกมันได้ไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของเขาทำให้จุดตันเถียนของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
หลินจิ่วเฟิง ได้ผสมผสานปราณแท้จริงของเขาเข้ากับทักษะการฝึกฝนเพื่อสร้างสิ่งใหม่ ๆ
ยันต์ตันเถียน!
ภายในยันต์นั้นมีตัวอักษรที่เป็นแก่นแท้ของทักษะการบ่มเพาะพลัง
เมื่อใช้ร่วมกับพลังปราณแท้จริงความสามารถของเขาจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
หลินจิ่วเฟิง กำลังเตรียมพร้อมอย่างเงียบ ๆ เพื่อทำให้ทุกคนประหลาดใจ
เจ้าแมวขาวก็ขดตัวอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของเตียงหยกน้ำแข็งมันได้ดำเนินการฝึกฝนอย่างสบาย
แสงเทียนที่ริบหรี่ได้ส่องสว่างภายในห้องเล็กน้อยจนสะท้อนเงาบนผนัง
เงาของเจ้าแมวขาวคล้ายกับกำลังนอนอยู่บนหน้าอกของ หลินจิ่วเฟิง ซึ่งมันดูน่ารักอย่างมาก
คืนนี้ควรจะเป็นคืนปกติเหมือนเดิม
แต่จู่ ๆ หลินจิ่วเฟิง ก็ได้ลืมตาขึ้นและขมวดคิ้วแน่น
เขาได้นั่งลง
เมี้ยว!
เจ้าแมวขาวได้ตื่นขึ้นจากการเคลื่อนไหวของ หลินจิ่วเฟิง
มันได้ลืมตาตื่นขึ้นและมองไปที่เขาอย่างสับสน
หลินจิ่วเฟิง ได้พึมพัมออกมา“มีคนมาที่นี่”
เมี้ยว!
เจ้าแมวขาวได้ลุกขึ้นยืนและมองไปข้างนอกด้วยความสงสัย
แต่มันก็ไม่พบใครที่อยู่ในตำหนักเย็นนี้
อีกทั้งต่อให้มีใครมามันจำเป็นต้องกลัวด้วยงั้นหรือ?
“มีเทพมนุษย์ 4 คน!”
หลิวจิ่วเฟิง ได้ตรวจสอบด้วยจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขา เขาสามารถมองผ่านระดับการบ่มเพาะพลังของอีกฝ่ายได้ในทันที
เมี้ยว!!
เจ้าแมวขาวมองไปที่ หลินจิ่วเฟิง ด้วยความประหลาดใจ
สายลมได้ปรากฏขึ้นใต้อุ้งเท้าของมัน และ มันเตรียมที่จะกลับไปยังพระราชวังใต้ดิน
“เหตุใดต้องวิ่งหนี?ก็แค่คนสี่คนเท่านั้น”หลินจิ่วเฟิง ได้ตะคอกออกมา
เจ้าแมวขาวได้เขียนตอบกลับ“เจ้าเป็นเทพมนุษย์เพียงคนเดียวแต่พวกเขามีกันสี่คน”
“พวกเขาคงรู้ว่าเจ้าเป็นใคร และตอนนี้พวกเขามาที่นี่เพื่อกำจัดเจ้าและทำลายราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา”จู่ ๆ เจ้าแมวขาวก็ฉุดคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้
หลินจิ่วเฟิง มองไปที่เล็บของมันที่เคลื่อนไหวราวกับเงา
วินาทีต่อมามันก็เขียนคำพูดมากมาย
แต่มองดูเนื้อหาเหล่านี้ หลินจิ่วเฟิง ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“มันก็แค่จำนวนตัวเลขที่ต่างกัน ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่ถูกจัดการเพราะพ่ายแพ้ด้านจำนวน”หลินจิ่วเฟิง ได้หัวเราะออกมา
เจ้าแมวขาวมองไปที่อีกฝ่ายตาไม่กระพริบ
เขาต้องการดูว่า หลินจิ่วเฟิง ผู้ซึ่งคุยโวตลอดทั้งวันจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน อีกฝ่ายจะเอาชนะเทพมนุษย์ทั้ง 4 ได้หรือไม่
ด้วยการสะบัดนิ้วของ หลินจิ่วเฟิง กระแสพลังปราณแท้จริงได้ไหลออกมา
มันได้ไหลผ่านไปยังพื้นที่ด้านนอก
บูม!
ปราณแท้จริงที่เขาปล่อยออกมาเบาบางมาก แต่หลังจากออกจากลานที่พักของ หลินจิ่วเฟิงไป
มันก็เหมือนกับเทน้ำเย็นลงในอ่างน้ำร้อน
พลังได้ปะทุขึ้นอย่างพุ่งพรวดในทันที
เขาได้ใช้พลังปราณแท้จริงของคลังสมบัติทางปราณแท้จริง อีกทั้งยังปลดปล่อยพลังทางจิตวิญญาณออกมาปกคลุมไปทั่วตำหนักเย็นแห่งนี้โดยตรง
ในสายตาของ หลินจิ่วเฟิง พลังทางจิตวิญญาณของเขาก็เหมือนกับแสงสว่างที่ส่องจ้าอยู่บนอากาศมันได้เผยทุกสิ่งอย่างรอบตัวเขา
ต้นซากุระในตำหนักเย็นได้เบ่งบานโดยตรงหลังจากได้อาบแสงพลังทางจิตวิญญาณเหล่านี้ กลิ่นหอมของมันได้ลอยคละคลุ้งไปทั่ว
แต่สำหรับนักบวชหนุ่ม,นักพรตเต๋าและบุรุษร่างใหญ่
พวกเขารู้สึกราวกับว่าท้องฟ้ากำลังถล่มลงมาทับพวกเขา
ก่อนหน้าที่พวกเขาจะเข้าไปในตำหนักเย็นพวกเขาได้เห็นลานที่พักเดี่ยวที่มีแสงสว่าง
พวกเขาราวกับแมลงเม่าที่ชื่นชอบไฟ พวกเขาได้เดินไปทางนั้นโดยอัตโนมัติ
พวกเขาล้วนมีเป้าหมายร่วมกัน ดังนั้นมันย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะค้นพบการมีอยู่ของกันและกัน
แต่เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่ามีกลุ่มอื่น ๆ เข้าไปในตำหนักเย็น ทำให้พวกเขาทั้งสามกลุ่มตกตะลึงไปชั่วขณะ
และในเวลานี้ ปราณแท้จริงที่แข็งแกร่งก็บินออกมาจากลานที่พัก
บูม!
พลังจิตวิญญาณเองก็ปกคลุมไปทั่วพื้นที่แห่งนี้
ต้นซากุระที่บานสะพรั่งได้ปลิวลอยไปตามลมและสร้างแรงกดดันขึ้น
แรงกดดันนี้คล้ายกับมหาสมุทรไร้ขอบเขต
ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เทพมนุษย์ทั้ง 4 ต้องคุกเข่าลงโดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ป้องกันและเคลื่อนไหว