WS บทที่ 196 ดั่งไฟลามทุ่ง
เมอร์ลินตั้งใจฟังข้อมูลของโบราณสถานของเอเลน่า ยิ่งเขาฟังมากเท่าไหร่ สีหน้าของเขาก็ยิ่งมืดลงเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอนของโบราณสถานที่กลุ่มของพ่อมดแซมเมียร์กำลังจะไปแต่หลังจากที่เขาได้ฟังข้อมูลจากเอเลน่า เขาค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นโบราณสถานแห่งเดียวกัน
สิ่งนี้ยืนยันว่าข้อมูลเกี่ยวกับอนุสาวรีย์โบราณได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองโฟลตติ้งแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง พ่อมดเมอร์ลิน มันอาจจะอันตรายในโบราณสถานแต่เราควรจะสามารถเอาชนะสถานการณ์อันตรายมากมายด้วยความสามารถของฉัน เราจะได้รับประโยชน์มากมายจากการไปสำรวจที่นั่น” พ่อมดเกล็นหรี่ตาและริมฝีปากของเขากระตุกเป็นรอยยิ้ม เขาดูมีความมั่นใจ
*ฟึ่บ*
ทันใดนั้น เมอร์ลินก็ลุกขึ้นและส่ายหัว “พ่อมดเกล็น เอเลน่า ฉันมีเรื่องต้องจัดการ ฉันต้องขอตัวก่อน ส่วนเรื่องโบราณสถาน ฉันขอผ่าน ฉันขอโทษด้วยจริง ๆ”
หลังจากพูดจบ เมอร์ลินก็ออกจากบ้านทันที โดยทิ้งกลุ่มนักเวทย์ไว้ในห้อง บรรยากาศเย็นลงฉับพลัน รอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อมดเกล็นหยุดนิ่งและการแสดงออกของเขาแสดงความอับอาย
“ฮิฮิ เอเลน่า อัจฉริยะที่คุณพูดถึงทั้งวันไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปในโบราณสถาน ฮ่าฮ่า…”
พ่อมดเคนชำเลืองมองเอเลน่าและคำพูดของเขามีน้ำเสียงเยาะเย้ย ในขณะเดียวกัน สีหน้าของเอเลน่าค่อนข้างมืด เธอเพิกเฉยต่อคำพูดเยาะเย้ยของพ่อมดเคน
สายตาของเอเลน่าเผยให้เห็นถึงความสับสน เธอคิดว่าเมอร์ลินยินดีจะยอมเข้าไปในโบราณสถานแต่เธอไม่คาดคิดว่าเมอร์ลินจะปฏิเสธเธอและจากไปในทันที
พ่อมดเกล็นที่เพิ่งหายอาการช็อค เขาชำเลืองมองที่แผ่นหลังของเมอร์ลินอย่างครุ่นคิด จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่เป็นไร เราจะไม่บังคับเขา นักเวทย์หกธาตุ? เขาด้อยกว่าไคลส์มาก ทัศนคติขี้ขลาดเช่นนี้ไม่มีวันทำให้เขากลายเป็น นักเวทย์ระดับหนึ่งหรอก เขาไม่ไปก็ดี จะได้ไม่มีภาระเพิ่มขึ้น หากเขาเพิ่มเข้ามามันจะเกินกำลังของฉันในการปกป้อง!”
เมื่อมองดูท่าทางมืดมนของพ่อมดเกล็น เอเลน่าก็เปิดปากของเธอ เพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง เธอรู้จักอุปนิสัยของเกลนเป็นอย่างดี เกล็นคงจะโกรธเมอร์ลินมากในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม เอเลน่าจบลงด้วยการไม่พูดอะไรออกมา เธอจ้องมองไปยังทิศทางที่เมอร์ลินจากไปด้วยสายตาซับซ้อน...
…
หลังจากที่เมอร์ลินออกจากตระกูลเดลแมน เขาก็แสดงสีหน้าค่อนข้างมืดมน เขาเงยหน้าขึ้นมองเมือโฟลตติ้งเฟื่องฟูและความคิดหลายอย่างผุดขึ้นในใจ
เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถานได้รั่วไหล พ่อมดแซมเมียร์และกลุ่มของเขาจึงเสียเปรียบในเรื่องนี้ เขาจึงจำจะต้องหารือเรื่องนี้กับแซมเมีย์โดยเร็วที่สุด
เมื่อตัดสินใจได้ เมอร์ลินก็ตรงไปยังบ้านของพ่อมดแซมเมียร์
ไม่นาน เมอร์ลินก็มาถึงที่หมาย ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในลานบ้าน เมอร์ลินก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนอย่างเร่งด่วนว่า "พ่อมดแซมเมียร์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!"
“หืม พ่อมดเมอร์ลิน ท่านมาได้จังหวะมาก พวกเรากำลังจะไปหาท่านพอดีเลย”
เมอร์ลินเห็นพ่อมดแซมเมียร์ พ่อมดเบรนและพ่อมดรีเซนที่อยู่ตรงลานบ้าน ทั้งสามมารวมกันอย่างน่าประหลาดใจที่บ้านของพ่อมดแซมเมียร์
"ทำไมพวกเขาถึงอยู่ที่นี่?" เมอร์ลินจ้องไปที่พ่อมดเบรนและพ่อมดรีเซน เมื่อจ้องมองมาที่พ่อมดรีเซน เขาก็ชะงักเล็กน้อย
“พ่อมดเมอร์ลิน เมื่อกี้ที่ท่านบอกว่า ‘เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น’ มันหมายความว่ายังไง?” พ่อมดแซมเมียร์ไม่ตอบโดยตรงแต่กลับถามเมอร์ลินแทน
เมอร์ลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบในที่สุด “ข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถานได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองโฟลตติ้งแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าพ่อมดแซมเมียร์รู้เรื่องนี้หรือไม่”
“โอ้ พ่อมดเมอร์ลิน ท่านมาถูกเวลา พ่อมดเบรนและพ่อมดรีเซ่นรีบมาที่นี่วันนี้เพราะเรื่องนี้เช่นกัน!”
ปรากฎว่าพ่อมดเบรนและพ่อมดรีเซนมาหาพ่อมดแซมเมียร์ด้วยเหตุผลเดียวกับเขา
หลังจากนั้น ทั้งสี่ก็ไปที่ห้องนั่งเล่นและหารือเกี่ยวกับการกระจายข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถานอย่างละเอียด
พ่อมดแซมเมียร์พูดก่อนว่า "ข้อมูลของโบราณสถานรั่วไหลมานานแล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ข้อมูลนี้แต่ข้าคิดว่าไม่มีใครคิดจะเปิดเผยเรื่องมันแน่นอน ส่วนสาเหตุที่ข้อมูลของโบราณสถานแพร่กระจายนั้น ข้าคิดว่าคงมีนักเวทย์บางคนค้นพบมันโดยบังเอิญ"
อันที่จริงมันเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจเรื่องนี้ ไม่ว่าเมอร์ลินและคนอื่นๆ วางแผนจะทำอะไร พวกเขาจะไม่เผยข้อมูลอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกัน เนื่องจากพ่อมดรีเซนค้นพบโบราณสถาน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีนักเวทย์คนอื่น ๆ สามารถค้นพบโบราณสถานได้เช่นกัน ดังนั้นการปล่อยข่าวจึงไม่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
มันไม่สำคัญว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องนั้น สิ่งที่ต้องหารือก็คือหากไปสำรวจโบราณสถานตามแผนเดิม พวกเขาไม่รู้ว่าจะพบเจออะไรบ้างที่นั่น แล้วต้องรับมือมันอย่างไร
"ต่อจากนี้ เราควรทำอย่างไรดี" พ่อมดแซมเมียร์ถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขณะที่เขากวาดสายตาไปทั่วห้อง
“เราจะทำอย่างไรดี แม้ว่าการแพร่กระจายของข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถานจะทำให้เราเสียเปรียบแต่สถานการณ์ก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างนั้น ด้วยความสามารถของเรา มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าไปในโบราณสถาน หากใครจะกล้าต่อสู้กับเรา พวกเราก็แค่ฆ่าพวกมันทิ้งซะ!”
พ่อมดเบรนยิ้มเยาะและน้ำเสียงของเขาค่อนข้างน่ากลัว แม้แต่โฮมุนครุสที่มีรูปร่างใหญ่ข้างหลังเขาก็ยังใช้ทัศนคติที่เย็นชากับคำพูดของเขา พวกมันปล่อยออร่าที่น่ากลัวออกมา ทำให้เกิดความรู้สึกกดดันรอบตัวพวกเขาเล็กน้อย
พ่อมดรีเซนเหลือบมองไปที่พ่อมดเบรนและพยักหน้า เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ใช่แล้ว ด้วยความสามารถของเรา ใครจะกล้าสู้กับเราเมื่อเรารวมพลังกันแต่เราต้องเข้าไปในโบราณสถานโดยเร็ว แม้ว่าเราจะไม่ได้เสียเปรียบพวกนักเวทย์เหล่านั้นแต่เราก็ไม่ควรตามไปทีหลัง ถึงแม้ว่าภายในโบราณสถานจะอันตรายและพวกนักเวทย์ธรรมดาไม่สามารถเอาตัวรอดจากพวกมันได้แต่หากมีบางคนโชคดีและเข้าไปยังส่วนลึกของโบราณสถานและเอาล้ำค่าไป หากพวกเราไปถึง มันอาจะทำให้พวกเราคว้าน้ำเหลว”
ถึงตอนนี้ นักเวทย์บางคนได้เข้าไปในโบราณสถานแล้ว บางคนอาจจะโชคดีและหลีกเลี่ยงเขตอันตรายในโบราณสถาน เมื่อพวกเขาไปถึงส่วนลึกของโบราณสถาน พวกเขาอาจจะได้รับคาถา อุปกรณ์เวทมนต์และยาทั้งหมด
แม้ว่าจะมีความรู้สึกร้อนรนในน้ำเสียงของพ่อมดรีเซนแต่เมอร์ลินก็สังเกตเห็นความสงบที่ซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาของรีเซน
นี่แสดงให้เห็นว่าพลังปีศาจแพนโดร่าที่พ่อมดรีเซนให้ความสำคัญมากที่สุดนั้นปลอดภัย กล่าวอีกนัยหนึ่ง สถานที่แห่นนั้นใช่ว่าจะหาพบได้ง่าย ๆ
“พ่อมดเมอร์ลิน ท่านคิดเห็นอย่างไร”
พ่อมดแซมเมียร์มองไปที่เมอร์ลินอีกครั้ง ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เมอร์ลินใช้ดัชนีเยือกแข็งและสังหารพ่อมดเดอมาร์โก้ไป เมอร์ลินก็มีบทบาทสำคัญขึ้นมาทันที พ่อมดแซมเมียร์และคนอื่นๆ ยอมรับและสถานะของเมอร์ลินเทียบเท่ากับพวกเขา
เมอร์ลินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัวเล็กน้อย “ฉันคิดว่าสถานการณ์ค่อนข้างแย่ ข้อมูลรั่วไหลมาหลายวันแล้ว นักเวทย์ระดับสี่ขึ้นไปอาจไปถึงที่นั่นแล้ว แม้ว่าเราจะมีนักเวทย์ระดับสามถึงสามคนแต่ความสามารถของเรายังด้อยกว่านักเวทย์ระดับสี่และระดับห้าเล็กน้อย”
นับตั้งแต่ที่เมอร์ลินรู้เกี่ยวกับการแพร่กระจายของข้อมูล เขาก็ถูกกดดันด้วยความกังวล เขาคิดว่าสถานการณ์เลวร้าย หากโบราณสถานดึงดูดความสนใจของนักเวทย์ระดับสี่ ความได้เปรียบของพวกเขาก็จะหายไปทันที
เมอร์ลินเริ่มจินตนาการถึงฉากที่นักเวทย์ทรงพลังระดับสี่หรือระดับห้าต่อสู้อย่างบ้าคลั่งเพื่อแย่งชิงพลังปีศาจแพนดอร่าในโบราณสถาน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เมอร์ลินพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นเพื่อพบพ่อมดแซมเมียร์ และคนอื่นๆ ก็จ้องมองเขาแปลก ๆ
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า สถานการณ์ของเราแย่เกินไปงั้นหรือ?”
เมอร์ลินขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงมีท่าทางแปลก ๆ เช่นนี้
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนพ่อมดแซมเมียร์จะคิดอะไรบางอย่างออก เขาส่ายหัวเล็กน้อยและยิ้มอย่างขมขื่น
"พ่อมดเมอร์ลิน ท่านคิดว่ามีนักเวทย์ระดับสี่อยู่ในเมืองโฟลตติ้งกี่คน?
ภายในเมืองโฟลตติ้งมีนักเวทย์ระดับสี่ที่ทรงพลังอยู่ในอาคารสเตอลิ่งเท่านั้น นอกจากนี้ทางอาคารสเตอลิ่งยังมีมีกฎที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พวกเขาไม่เคยส่งนักเวทย์ไปยังโบราณสถาน พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นเพราะพวกเขาสามารถซื้อมันจากนักเวทย์ที่เสี่ยงชีวิตเขาไปในโบราณสถานได้
พ่อมดเมอร์ลิน ท่านอาจมาจากองค์กรนักเวทย์และไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ที่แท้จริงของพ่อมดพเนจร มันเป็นเรื่องยากมากที่จะไปถึงระดับสามสำหรับพ่อมดพเนจร พ่อมดเบรน พ่อมดรีเซ่นและข้าได้รับการพิจารณาว่าเป็นพ่อมดพเนจรที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองโฟลตติ้ง ข้าไม่เคยเห็นพ่อมดพเนจรระดับสี่ขึ้นไปในเมืองโฟลตติ้งตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่นี่เลย"
เมอร์ลินตระหนักได้ในทันใดว่าพ่อมดแซมเมียร์และคนอื่นๆ ถูกมองว่าเป็นผู้มีอำนาจในหมู่พ่อมดพเนจร การฝึกฝนของพ่อมดพเนจรทำได้ยากมาก เมอร์ลินได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้จากเอเลน่า การได้ยินเรื่องนี้อีกครั้งจากพ่อมดแซมเมียร์ ทำให้เขาเข้าใจเรื่องของพ่อมดพเนจรลึกซึ้งยิ่งขึ้น
พ่อมดพเนจรบางคนอาจมีประสบการณ์การต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมและนอกจากจะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมแล้ว พวกเขายังมีโอกาสได้เป็นนักเวทย์ระดับสี่อีกด้วย อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ไม่มีอยู่ในเมืองโฟลตติ้งอย่างแน่นอน เนื่องจากพ่อมดแซมเมียร์และคนอื่น ๆ ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพ่อมดพเนจรที่ทรงพลังที่สุดที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพ่อมดเบรนถึงมีทัศนคติที่เย่อหยิ่งก่อนหน้านี้
“นอกจากตระกูลนักเวทย์และพ่อมดพเนจรแล้ว ยังมีองค์กรนักเวทย์อีกด้วย! ถ้าพวกเขาได้ยินเกี่ยวกับโบราณสถาน พวกเขาจะส่งนักเวทย์ที่แข็งแกร่งไปยังสถานที่นั้นไหม?”
เมอร์ลินนึกถึงองค์กรนักเวทย์ที่ทรงพลังในทันที เขาจึงเกิดคำถามขึ้นมา