80Y-ตอนที่ 43 ทักษะปรับแต่งต้นกำเนิดจิตวิญญาณ
หลังจากทะลวงผ่านขั้นเทพมนุษย์ หลินจิ่วเฟิง ก็ตระหนักได้ว่า เทพมนุษย์ เป็นเพียงสถานะของคนที่ยืนอยู่บนยอดเขาที่แตกต่างจากคนอื่น
อายุขัยที่ต่ำที่สุดของเทพมนุษย์คือ 800 ปี
หลินจิ่วเฟิง มีเวลามากพอสำหรับเขาในช่วงชีวิตนี้
ขณะที่ นิกายชาวพุทธในมณฑลเจียงหนาน ได้ปฏิบัติตามราชโองการแล้ว อีกสามเดือนข้างหน้าก็เป็นการรวมตัวกันของบรรดาผู้ที่ศรัทธาในพุทธศาสนาและผนวกดินแดนและทรัพย์สินของพวกเขาร่วมกัน
ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปปิดทอง ปล่อยวางดินแดนที่ว่างเปล่า ให้สร้างเป็นทุ่งนาที่มีคุณภาพสูง ทำให้ มีประชากรหลายล้านคนมีงานทำ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มรากฐานให้กับความแข็งแกร่งของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
หลินเทียนหยวน ได้จัดการกับสิ่งเหล่านี้
หลังจากที่ภาพวาดทั้งสองปรากฏขึ้นในมณฑลเจียงหนานตอนนั้น ทั่วทั้งโลกก็พลันเงียบสงบลง
ในตอนแรก การมาของฝนแห่งยุคสมัยใหม่คือสัญญาณในการเกิดขึ้นของผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่ง ทำให้มีปราชญ์การต่อสู้จำนวนมากปรากฏตัวขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน ดังนั้นการคุกคามของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาในสายตาของศัตรูจึงลดลง
ถ้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเขาย่อมรวมตัวกันก่อความโกลาหลและจัดการกับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาในตอนนั้น
นอกจากนี้ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา ยังไม่มีความสามารถในการจัดการกับภัยพิบัติเหล่านี้
แต่ทันใดนั้น จู่ ๆ ก็มีเทพมนุษย์ปรากฏตัวขึ้นและปราบปรามนิกายชาวพุทธสร้างชื่อเสียงไปทั่วทั้งโลก
การปรากฏตัวของเทพมนุษย์ ทำให้ผู้ที่คิดร้ายต่อราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาไม่กล้าเคลื่อนไหว
นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ หลินจิ่วเฟิง ทำเพื่อ หลินเทียนหยวน
เขาให้เวลา หลินเทียนหยวน มากพอที่จะรวบรวมดินแดนและความแข็งแกร่งในการพัฒนารากฐานของราชวงศ์สำหรับโลกใหม่ในเวลานี้
แน่นอนว่า หลินจิ่วเฟิง ได้รับประกันการปฏิรูปที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นในตอนแรก
ช่วงนี้ หลินเทียนหยวน ก็ค่อนข้างยุ่งมาก
หลินจิ่วเฟิง ก็เช่นเดียวกัน
เขากำลังยุ่งอยู่กับการฝึกฝนของเขาหลังจากประสบความสำเร็จ ในการเข้าสู่ขั้นเทพมนุษย์ การบ่มเพาะพลังของเขาไม่ใช่แค่การ ฝึกฝนพลังปราณ,ดูดซับพลังปราณ,สะสมพลังปราณ และ เปิดจุดชีพจรใหม่อีกต่อไป
ถ้าเขาต้องการความก้าวหน้าในขั้นพลังปัจจุบัน เขาจำเป็นจะต้องบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สังเกตุพลังของโลก และ เข้าใจหลักการของโลกใหม่ด้วยตัวเอง
ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ทำให้ความยากในการฝึกฝนของเขาเพิ่มมากขึ้น
โชคดีที่ หลินจิ่วเฟิง สามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างเงียบสงบ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความกังวลใด ๆ
เพราะท้ายที่สุดก็ไม่มีใครมาที่นี่เพื่อรบกวนเขา
ในขณะที่โลกกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับการปรากฏตัวของเทพมนุษย์
หลินจิ่วเฟิง ก็ได้เข้าสู่ช่วงต่อไปในการฝึกฝนของเขาแล้ว
หลินจิ่วเฟิง มีความก้าวหน้าอย่างมากในการฝึกฝนของเขา
เขามีความสามารถในการทำความเข้าใจและฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว เขาวางแผนที่จะสั่งสมประสบการณ์ในการฝึกฝนให้มากพอที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดดในครั้งเดียว
ทำให้ หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้ยินข่าวลือจากโลกภายนอก
เขาได้ลงชื่อเข้าใช้ตำหนักเย็นอย่างเงียบ ๆ
เพื่อนคนเดียวของเขาก็คือเจ้าแมวขาว
ในวันนี้ หลินจิ่วเฟิง ได้กล่าวถาม“เจ้าติดตาม จอมมาร คนสุดท้าย งั้นเจ้ารู้ข้อมูลเกี่ยวกับพลังขั้นเทพมนุษย์มากน้อยแค่ไหน?”
เจ้าแมวขาวได้ใช้อุ้งเท้าเล็ก ๆ และเขียนตัวอักษรในทันที“ข้าได้ยินมาจากจอมมารว่ามีอุปสรรคจำนวนมากในขั้นเทพมนุษย์”
“ดูเหมือนว่ามันจะเรียกอะไรบางอย่างเช่น ด่านสงบนิ่ง,ด่านไร้สิ้นสุด,ด่านกายาศักดิ์สิทธิ์ อะไรทำนองนั้น”เจ้าแมวขาวได้เขียนคำพูดจำนวนมาก
ดูเหมือนว่าความทรงจำของมันจะพร่ามัวขณะที่ลบคำบางคำและเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
หลินจิ่วเฟิง รู้สึกพูดไม่ออก
ท้ายที่สุด เขาก็เลือกออกจากตำหนักเย็นไปที่หอสมุด
ที่นี่เขาสามารถตรวจสอบเอกสารที่มีความเกี่ยวข้องกับเทพมนุษย์ได้
เจ้าแมวขาวได้ติดตามมาด้วย
มันก็อยากจะรู้เห็นเกี่ยวกับอุปสรรคบางอย่างในขั้นเทพมนุษย์
เมื่อมาถึง หลินจิ่วเฟิง ได้เดินเข้าไปยังห้องสมุดที่มีการป้องกันแน่นหนาไม่มีใครค้นพบเขา
เมื่อ 2-3 ปีก่อนเขาได้มาเยี่ยมเยือนห้องสมุดในตอนนั้น ก็ไม่มีใครสังเกตุเห็นเขา
มาตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครสังเกตุเห็นเขา
ห้องสมุดมีขนาดใหญ่อย่างมาก มันมีบันทึกช่วงเวลาและยุคต่าง ๆ
หลินจิ่วเฟิง เคยตรวจสอบนิกายปีศาจมาก่อน
คราวนี้เขากำลังมองหาบันทึกเกี่ยวกับ ลัทธิเต๋า
ในแง่ของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ลัทธิเต๋า นั้นเหนือกว่า ดังนั้น หลินจิ่วเฟิง จึงต้องการใช้วรรณกรรมของพวกเขาเป็นข้อมูลอ้างอิง
ข้อความหนึ่งได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของ หลินจิ่วเฟิง ขณะที่เขาก้าวเข้าไปในพื้นที่ที่มีการเก็บรักษาเกี่ยวกับบันทึกของลัทธิเต๋า
[คุณต้องการลงชื่อเข้าใช้ห้องสมุดเต๋าหรือไม่]
“ยืนยันการเข้าใช้!”หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบตกลง
[ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับทักษะปรับแต่งต้นกำเนิดจิตวิญญาณ!]
คลื่นแห่งความทรงจำได้หลั่งไหลเข้าสู่ห้วงสำนึกของหลินจิ่วเฟิง
ตอนนี้เขาได้คุ้นเคยกับมันแล้ว ดังนั้นเขาจึงรักษาความสงบนิ่งในใจของเขาได้
มีหนังสือแปลก ๆ ปรากฏขึ้น
ความคลุมเครือของคำบางอย่างที่อยู่ในจิตใจของคนธรรมดาอาจจะค่อนข้างสับสนวุ่นวาย แต่ด้วยคลื่นความทรงจำที่ หลินจิ่วเฟิง ได้รับ ทำให้เขาไม่มีปัญหาในการทำความเข้าใจเนื้อห้าที่เขาถืออยู่
“นี่เป็นทักษะบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณที่เหมาะสมกับข้าอย่างสมบูรณ์แบบ”
หลินจิ่วเฟิง รู้สึกพึงพอใจมาก
เมี้ยว!
เจ้าแมวขาวได้ปรากฏตัวข้าง หลินจิ่วเฟิง มันร้องออกมาอย่างแผ่วเบา
และไม่เข้าใจว่าทำไม หลินจิ่วเฟิง ถึงยืนนิ่ง
หลินจิ่วเฟิง ได้ตื่นจากภวังค์และไม่ได้พูดอะไร
เขาได้ยิ้มเบา ๆ ให้กับแมวขาว ก่อนที่จะเดินเข้าไปยังพื้นที่วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหนังสือที่เกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า
ในช่วง 400 ปีที่ผ่านมา หนังสือที่มีความเกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋าส่วนใหญ่ ได้เก็บเอาไว้ในห้องสมุดแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาแห่งนี้
ส่วนที่เหลืออีก 1-2 ส่วน ที่เป็นหนังสือและมรดกอันล้ำค่าของลัทธิเต๋า ส่วนใหญ่ถูกซ่อนไว้โดยลัทธิเต๋า ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาไม่สามารถคว้าเอาพวกมันมาได้
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับ หลินจิ่วเฟิง ที่จะศึกษามัน
เขาได้ละทิ้งความสนใจทักษะบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณของเขาและมุ่งเน้นไปที่หนังสือลัทธิเต๋า
หนังสือเหล่านี้มีบันทึกหลายอย่างเกี่ยวกับขั้นเทพมนุษย์
ยังมีหลายอย่างที่แมวขาวพูดไว้เช่น ด่านสงบนิ่ง,ด่านไร้สิ้นสุด,ด่านกายาศักดิ์สิทธิ์ และ อื่น ๆ
ในที่สุด หลินจิ่วเฟิง ก็เข้าใจ
คำว่า ‘เทพมนุษย์’ เป็นคำเรียกทั่วไป เช่นเดียวกับ ‘ปราชญ์การต่อสู้’
ขั้นปราชญ์การต่อสู้แบ่งออกเป็น ทำความเข้าใจ,ตระหนักรู้ในชีวิต,ข้ามผ่าน และ เส้นทางการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่
ขั้นเทพมนุษย์แบ่งออกเป็น ด่านสงบนิ่ง,ด่านไร้สิ้นสุด,ด่านกายาศักดิ์สิทธิ์ และ ด่านจุติใหม่
หลินจิ่วเฟิงอยู่ในช่วง ด่านสงบนิ่ง
สงบนิ่งเป็นคำเปรียบเทียบ
สิ่งนี้คือห้องลับอันดำมืดที่สงบเงียบอย่างมาก
เทพมนุษย์ที่ให้กำเนิดจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พลังของพวกเขาจะถูกขังในห้องลับแห่งนี้และไม่สามารถหลุดพ้นออกไปได้
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะดำรงอยู่ในห้องลับอันมืดมิดแห่งนี้
ในการทะลวงผ่านช่วงต่อไปของขั้นเทพมนุษย์-เราจะต้องทำให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเราหลุดพ้นจากห้องลับแห่งนี้เพื่อที่จะได้มองโลก
เจ้าแมวขาวได้อ่านบันทึกเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นมันก็เริ่มมีความหวังสำหรับอนาคตของตัวเอง
บางทีถ้ามันฝึกฝนอย่างจริงจัง มันจะสามารถพัฒนาให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นได้
ถ้ามันพยายามหนันกขึ้นจนสามารถเอาชนะหลินจิ่วเฟิงได้ มันจะน่าพอใจขนาดไหนกัน?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเจ้าแมวขาวก็ได้โค้งเป็นรอยยิ้ม ซึ่งมันดูน่ารักมาก
หลินจิ่วเฟิง ได้หันกลับมาและมองไปที่การแสดงออกบนใบหน้าของเจ้าแมวขาว
ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง
เมื่อแมวขาวลืมตาและเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ของหลินจิ่วเฟิง มันก็หยุดชะงักในทันทีและรีบเขียน“อ่านต่อไป”
หลินจิ่วเฟิง ได้สั่นศีรษะและตอบกลับ“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้ากำลังมีความสุขเรื่องอะไร”
“เพียงแต่แมวโง่ ๆ เช่นเจ้าก็คงมีความสุขกับเรื่องโง่ ๆ เท่านั้นแหละ?”หลินจิ่วเฟิง ได้พึมพัมอย่างสับสน
เจ้าแมวขาวรู้สึกโกรธมาก
มันได้กางกรงเล็บออกมาและยกอุ้งเท้าชี้ไปที่ด้านหน้าของ หลินจิ่วเฟิง
อย่างไรก็ตาม มันรู้สึกกังวลมาก ถ้ามันไม่สามารถตัดผ่านผิวหนังของ หลินจิ่วเฟิง ได้ มันคงรู้สึกอับอายอย่างมาก และ จบลงด้วยการที่ตนเองถูกอีกฝ่ายทำให้บาดเจ็บ
ดังนั้นมันจึงหดเล็บของมันกลับไป
หลังจากอ่านหนังสือลัทธิเต๋าทุกเล่มในห้องสมุดแล้ว หลินจิ่วเฟิง ก็ได้รู้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับขั้นเทพมนุษย์
“หนทางการบ่มเพาะพลังยังอีกยาวไกล”
หลินจิ่วเฟิง ได้ถอนหายใจออกมาและออกจากห้องสมุดราชวงศ์
หลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่เตียงหยกน้ำแข็งและครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ
แม้ว่าเตียงหยกน้ำแข็งจะไม่ช่วยเขาอีกต่อไปแต่ หลินจิ่วเฟิง ก็ชอบนอนบนนี้
เพราะมันให้ความรู้สึกเย็นสบาย
มันค่อนข้างให้ความสบายและรู้สึกเพลิดเพลินอย่างแท้จริง
แม้แต่เจ้าแมวขาวก็ยังติดใจมันหลังจากบังเอิญค้นพบความอัศจรรย์นี้
เมื่อมันไม่มีอะไรทำ มันก็จะเข้ามานอนที่นี่ มันได้ขดตัวเป็นลูกบอล เป็นก้อนเล็ก ๆ ซึ่งกินพื้นที่ไม่มาก
มันได้หันหน้าไปทางเดี่ยวกับ หลินจิ่วเฟิง และ นอนกับเขา
คราวนี้ มันได้ขดตัวอยู่บนเตียงและมองไปที่ หลินจิ่วเฟิง
จากนั้นมันก็หลับตาลงและพยายามอย่างหนักในการฝึกฝนเพื่อที่สักวันหนึ่งมันจะได้มีโอกาสจัดการ หลินจิ่วเฟิง ด้วยเล็บของมัน
“มาลองฝึกทักษะปรับแต่งต้นกำเนิดจิตวิญญาณนี้กันเถอะ”
ไม่นาน หลินจิ่วเฟิง ก็หลับตาลง