80Y-ตอนที่ 38 วาดเทพมนุษย์
ในมณฑล เจียงหนาน ภูเขาพุทธทั้งหมดสามแห่งแต่ละที่ตั้งอยู่ในสถานที่ต่างกัน
และพวกเขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกันมากนักรวมถึงไม่ค่อยได้ติดต่อกัน
ภูเขาเส้าฉีของวัดเส้าหลิน
ภูเขาเหิงของวัดซวนคง
และภูเขาต้าชิงของวัดต้าหลิน
นี่เป็นภูเขาเขียวที่สูงตระหง่านและเป็นประตูสู่วัดต้าหลินอีกด้วย
ต่างจากวัดเส้าหลินอันงดงาม ที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูปออกโนสีที่เน้นไปที่สีทองและกลิ่นอายควาสมบูรณ์ในขณะที่สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายสีขาว-เหลืองแบบธรรมชาติ
ภูเขาที่ตั้งวัดต้าหลินภายนอกดูเรียบง่าย
แต่ส่วนสำคัญที่จริงซ่อนเร้นอยู่ภายใน
ที่นี่ไม่สามารถมองเห็นตัวสิ่งปลูกสร้างใด ๆ บนภูเขาจากภายนอก
วิธีเดียวที่จะเห็นความสดใสที่แท้จริงของวัดต้าหลินได้ก็คือเข้ามาดูภายใน
ที่นี่มีถ้ำหินจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกสลักขึ้นภายในภูเขา
และยังมีงานแกะสลักจำนวนมากอยู่ข้างในนั้น
นักบวชของวัดต้าหลินแต่ละรุ่นต่างก็แกะสลัดพระพุทธรูปด้วยฝีมือของตนเองอย่างวิจิตรงดงาม ว่ากันว่ามันคล้ายกับพระพุทธรูปที่สามารถเคลื่อนไหวได้ซึ่งบอกเล่าความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวโบราณภายใน
ทุกคนที่มาที่นี่ต่างก็ต้องการดูรูปปั้นสลักที่เหมือนจริงเหล่านี้
ดังนั้นวัดต้าหลินจึงไม่แข่งขันด้านการขยับขยายอิทธิพลสู่โลกภายนอก
พวกเขาพึงรักษาอาณาเขตของตนเองและปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนา
นี่เป็นเหตุผลที่ หลินเทียนหยวน ไม่ได้นับพวกเขาเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเขาด้วย
วัดต้าหลิน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้ข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่าง วัดเส้าหลิน วัดซวนคง และ ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
นักบวชของวัดต้าหลินต่างก็พูดถึงเรื่องนี้
แต่เนื่องจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา ไม่ได้กำหนดเป้าหมายมาที่พวกเขา ทำให้พวกเขายืนมองได้จากทางด้านข้างเพียงเท่านั้น
เจ้าอาวาสวัดต้าหลินได้ถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายใจ“โลกแห่งการแข่งขันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ นิกายชาวพุทธก็เข้าร่วมด้วย เดิมมันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้จริง ๆ”
…
วัดเส้าหลิน ได้เพิกเฉยต่อราชโองการของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
ในทางกลับกันวัดซวนคงยังคงลงมือย้อนแย้งกับราชโองการของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาโดยการสร้างวัดเพิ่มหลายร้อยแห่ง
ทัศนคติของพวกเขาชัดเจนมาก สำหรับพวกเขาราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาไม่มีค่าพอให้สนใจ
ทุกคนต่างก็จับจ้องมองไปที่ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาดูว่า จักรพรรดิหมิง-หลินเทียนหยวน จะมีปฏิกิริยาเช่นใด
แม้แต่คนจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา และ คนจากตระกูลขุนนางชั้นสูงบางคน ที่มีความทะเยอทะยานอย่างดุเดือด พวกเขาก็เฝ้าสังเกตุอย่างเงียบ ๆ
จักรพรรดิหมิงถึงกับกล้าเขียนราชโองการเช่นนี้ออกมา พระองค์ทรงประกาศไปทั่วทั้งโลกและสร้างความขุ่นเคืองให้กับนิกายพุทธ พวกเขาต้องการดูว่าบทสรุปของเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร?
พระราชวังต้องห้าม ห้องโถงใหญ่
จักรพรรดิหมิง-หลินเทียนหยวน ต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมบนใบหน้าของเขา และ พลันโกรธจัด
เขาได้ยินเกี่ยวกับวิธีการของวัดเส้าหลินจากระบบข่าวกรองของเขาแล้วทำให้เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา
“ถึงกลับกล้ากระทำการโดยไม่สนใจกฏหมายเช่นนี้”
และยิ่งเขานึกถึงวิธีการของวัดซวนคงก็ยิ่งทำให้เขาเดือดจัด
“พวกเขากำลังท้าทายข้า ท้าทายราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา!”
“ฝ่าบาท นิกายชาวพุทธต่างก็เป็นนิกายที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน คนในพื้นที่มณฑลเจียงหนาน ต่างก็นับถือและเคารพพวกเขา”หัวหน้าคณะรัฐมนตรีได้พูดขึ้น
“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกรงว่าควรค่อยเป็นค่อยไป พวกเราไม่สามารถจัดการกับพวกเขาแบบตัวต่อตัวได้ในตอนนี้”เหล่าเจ้าหน้าที่ในราชสำนักต่างแนะนำ หลินเทียนหยวน
แต่ หลินเทียนหยวน ก็มั่นใจ
เพราะเขาได้รับการสนับสนุนจาก หลินจิ่วเฟิง ทั้งหมด
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พวกเราจะลงมือตามแผนเดิม หากจำเป็นก็เตรียมกวาดล้างนิกายพุทธเหล่านี้!”หลินเทียนหยวน ได้กล่าวอย่างหนักแน่น
“ฝ่าบาท พวกเราจะจัดการพวกเขาได้อย่างไร?”หัวหน้าคณะรัฐมนตรีกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ข้ามีวิธีของข้า!”หลินเทียนหยวนกล่าวอย่างมั่นใจ
หลังจากไล่เจ้าหน้าที่ในราชสำนักออกไปแล้ว หลินเทียนหยวน ก็ไม่สามารถนั่งเฉยได้
เขาได้ออกจากพระราชวังในทันทีและมุ่งหน้าไปหา หลินจิ่วเฟิง เพียงคนเดียว
หากมีปัญหาที่เขาแก้ไขไม่ได้ ให้มาปรึกษา ท่านลุง
เขาได้ติดนิสัยดังกล่าวไปแล้ว
ที่ด้านหน้าตำหนักเย็น หลินเทียนหยวน ได้เคาะประตูก่อนเข้าไป
หลินจิ่วเฟิง มองไปที่ หลินเทียนหยวน และกล่าวถาม“เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่อีก?”
หลินเทียนหยวน มาเยี่ยมเขาบ่อยมากในช่วงนี้
“ท่านลุง วัดเส้าหลินและวัดซวนคงต่างเพิกเฉยต่อกฏหมาย”
หลินเทียนหยวน ได้อธิบายสั้น ๆ
“ไม่ใช่ว่าเจ้ามีปราชญ์การต่อสู้ภายใต้บัญชามากกว่า 10 คนมิใช่หรือ?”หลินจิ่วเฟิง ได้กล่าวถาม
“หลังจากฝนตกในตอนนั้น พลังงานทางโลกก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ตอนนี้ปราชญ์การต่อสู้ภายใต้ข้าทั้งหมดล้วนเป็นคนไร้ค่าในชั่วข้ามคืน เดิม ข้าคิดว่า ด้วยกำลังรบของปราชญ์การต่อสู้มากกว่า 10 คนก็เพียงพอที่จะจัดการพวกเขาแต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว”หลินเทียนหยวน ได้ตอบกลับด้วยสีหน้าขมขื่น
แผนการของเขาได้คลาดเคลื่อนไปจากเดิมอย่างมาก
หลินจิ่วเฟิง ขมวดคิ้วแน่นและกล่าวถาม“การปฏิรูปของพ่อเจ้าคือหลังจากที่เราทำลายวัดและอารามกว่า 80,000 แห่งใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง หลังจากนั้นพวกเราจะรักษาเสถียรภาพในการจัดการและปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน”หลินเทียนหยวน ได้พยักหน้า
“เอากระดาษกับพู่กันมาให้ข้า”หลินจิ่วเฟิง ได้โบกมือ
หลินเทียนหยวน ได้รีบวิ่งออกไปหยิบกระดาษกับพู่กันมาให้เขา
เจ้าแมวขาวได้เดินออกมาจากเงามืดขณะที่มันเขียนบนพื้นเพื่อกล่าวถาม
“เหตุใดเจ้าถึงต้องช่วยเขาตลอดเวลา?”
หลินจิ่วเฟิง ได้มองดูและคร่ำครวญ
“ข้าไม่ได้ต้องการช่วยเขา ข้ากำลังช่วยทำตามความปราถนาสุดท้ายของน้องชายข้า”
จักรพรรดิหยวนได้ต่อสู้ตลอดชีวิตเพื่อการปฏิรูป
หลินเทียนหยวน ได้สืบทอดเจตจำนงค์ของจักรพรรดิหยวนและทำตามแผนการปฏิรูปที่วางเอาไว้
แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันซับซ่อนอย่างมาก
แม้ว่า หลินเทียนหยวน จะเป็นจักรพรรดิ แต่ก็มีคนจำนวนไม่มากที่เขาวางใจได้
ถ้า หลินจิ่วเฟิง ไม่ช่วยเขา การปฏิรูปก็คงไม่สามารถทำได้สำเร็จ
การช่วยเหลือ หลินเทียนหยวน ก็เหมือนกับเป็นการเติมเต็มความปราถนาของน้องชายเขา
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะช่วยเขา หลังจากกำจัดวัดและอารามกว่า 80,000 แห่งในมณฑลเจียงหนาน มันจะกลายเป็นดินแดนที่สงบสุขในทันทีและการปฏิรูปก็จะเสร็จสมบูรณ์ในที่สุด”หลินจิ่วเฟิง ได้บ่นออกมา
ในอนาคตจ หลินเทียนหยวน จะต้องยืนด้วยตัวเอง
เพราะ หลินจิ่วเฟิง วางแผนจะดำเนินการตามกิจวัตรประจำวันของเขาอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เขาไล่ตามจุดสูงสุดของเส้นทางการบ่มเพาะพลัง
เจ้าแมวขาว พลางเข้าใจมันได้เขียนอีกครั้ง“เจ้าวางแผนจะเดินทางไป เจียงหนาน ?”
หลินจิ่วเฟิง ได้สั่นศีรษะและตอบกลับ“นิกายพุทธในปัจจุบัน ไม่คู่ควรให้ข้าต้องเดินทางไปยัง เจียงหนานเป็นการส่วนตัว!”
เจ้าแมวขาวรู้สึกแปลกใจ
มันต้องการสอบถาม เพิ่มเติม แต่ หลินเทียนหยวน ได้กลับมาแล้ว
ดังนั้นเจ้าแมวขาวจึงทำได้เพียงขีดข่วนบนพื้นไม่กี่ครั้งเพื่อขีดฆ่าคำเหล่านั้น
หลินจิ่วเฟิง ไม่เห็นคำที่มันเขียน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก
เจ้าแมวขาวนั้นเย่อหยิ่งเกินกว่าที่จะปล่อยให้คนอื่นมาเห็นตัวอักษรที่คดเคี้ยวของมัน
“ท่านลุง ข้านำสมบัติทั้ง 4 จากห้องทรงอักษรมาด้วย”
หลินเทียนหยวน ได้วางสิ่งของบนโต๊ะหินด้วยความเคารพ
หลินจิ่วเฟิง ได้ยกพู่กันขึ้นและเริ่มวาดภาพ
เขาวาดภาพเหมือนกับ ทุ่งหญ้า ต้นไม้ และ กระบี่
มันเป็นองค์ประกอบที่เรียบง่ายมากของ ต้นหญ้าสีเขียว ลำธาร ต้นไม้ ภูเขา และ ดวงอาทิตย์ที่สาดส่อง…
จากนั้นเขาก็เริ่มวาดภาพที่สอง
เป็นชายหนุ่มที่กำลังฝึกฝนท่าม้านั่งยองและชกต่อย
หลังจากวาดภาพทั้งสองเสร็จ หลินจิ่วเฟิง ก็วางพู่กันลง
หลินเทียนหยวน กระพริบตาเล็กน้อยและมองไปที่ หลินจิ่วเฟิง ก่อนที่จะกล่าวถาม“ท่านลุง นี่คืออะไร?”
นี่เป็นภาพวาดที่เรียบง่าย
เขามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือไม่ใช่เพื่อขอภาพวาดเหล่านี้
หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับ“ให้ปราชญ์การต่อสู้สองคนนำภาพวาดนี้ติดตัวไปด้วย จากนั้นให้พวกเขาเดินทางไปพร้อมกับราชโองการของเจ้าไปที่ วัดเส้าหลิน และ วัดซวนคง หากพวกเขาไม่รับฟังราชโองการ ก็ให้เปิดภาพวาดนี้”
หลินเทียนหยวน รู้สึกสับสน
สิ่งนี้คือ?
มันเพียงพอที่จะทำให้ นิกายทั้งสองนั่นยอมจำนนงั้นหรือไม่?
เพียงแต่ หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
เขาได้พบภาพวาดทั้งสองแล้ววางไว้ข้าง ๆ
“จำไว้ อย่าได้เปิดดูล่วงหน้า ไม่งั้นชีวิตเจ้าอาจจะสูญสิ้น”หลินจิ่วเฟิง ได้ยิ้มเล็กน้อย และ ปล่อยมันให้ หลินเทียนหยวน
หลินเทียนหยวน ได้รับภาพทั้งสองมาด้วยความงุนงงก่อนที่จะรีบกลับไปยังพระราชวังต้องห้าม
เจ้าแมวขาวรู้สึกสงสัยในทันที“ภาพวาดทั้งสอง นั่นเป็นของที่เจ้าใช้หลอกเขางั้นหรือไม่?”
“ด้วยภาพวาดทั้งสองนี้ก็เพียงพอที่จะจัดการคนเหล่านั้นแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าสองนิกายอยู่คนละสถานที่กัน ภาพวาดเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการพวกเขาแล้ว”หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับ
“เจ้าวาดอะไรบนกระดาษ?”เจ้าแมวขาวถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลินจิ่วเฟิง ครุ่นคิดอย่างจริงจังและตอบกลับ
“ข้าวาดเทพมนุษย์!”
เจ้าแมวขาวมองไปที่ หลินจิ่วเฟิง ด้วยความกลัว
หลินจิ่วเฟิง ได้ยิ้มจาง ๆ ให้กับมัน อารมณ์ของเขาอบอุ่นราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ