80Y-ตอนที่ 37 ทัศนคติของเหล่านิกายพุทธ
โลกได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเพียงชั่วข้ามคืน
เหล่ามหาอำนาจที่เก่าแก่ในอดีตได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง และ พรสวรรค์ของคนรุ่ยเยาว์ได้พัฒนาขึ้นนับไม่ถ้วนและทะลวงขั้นการบ่มเพาะพลังของพวกเขา
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ หลินจิ่วเฟิง
เขายังคงลงชื่อเข้าใช้อยู่ในตำหนักเย็นตามปกติ
[คุณต้องการลงชื่อเข้าใช้ดินแดนแห่งการเกิดใหม่ของพลังงานทางลบหรือไม่]
คำพูดได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของ หลินจิ่วเฟิง
เขารู้สึกประหลาดใจ
“ดินแดนแห่งการเกิดใหม่ของพลังงานทางลบ?”
คำเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร
ดินแดนพลังงานทางลบดั้งเดิมตั้งอยู่ใต้ตำหนักเย็น ซึ่งถูกสร้างเป็นพระราชวังของจอมมารเมื่อ 1,500 ปีก่อน และ นิกายซากศพ ก็ได้มาทิ้งร่องรอยการค้นพบเอาไว้เมื่อ 7-8 ร้อยปีก่อน
หลินจิ่วเฟิง เคยลงชื่อเข้าใช้สถานที่แห่งนี้ไปก่อนแล้ว
แต่เขาไม่ได้รับประโยชน์อะไรมากขนาดนั้น
เพราะดินแดนพลังงานทางลบได้อยู่อาศัยมานานหลายพันปี
นอกจากนี้ จอมมารยังสร้างแค่พระราชวังเดียวเอาไว้ ขณะที่ นิกายซากศพ ได้ใช้สถานที่แห่งนี้มาฝังบรรพบุรุษของพวกเขา ส่งผลให้พลังงานด้านลบเหล่านี้ถูกใช้ไปหลายส่วน ก่อนที่ หลินจิ่วเฟิง จะมาถึง
ถ้าไม่เช่นนั้น ด้วยวิญญาณอาฆาตของสนมเจียที่อาศัยอยู่ในดินแดนพลังงานทางลบ นางคงไม่อ่อนแอจนถึงขนาดไม่แม้แต่จะฆ่า หลินจิ่วเฟิง ที่เพิ่งเริ่มบ่มเพาะพลังในตอนนั้น
“มันควรจะเป็นฝนแห่งยุคสมัยใหม่ ที่ทำให้ดินแดนแห่งพลังงานทางลบกลับมาทรงพลังมากขึ้นอีกครั้ง”
หลินจิ่วเฟิง ได้คิดอย่างรอบคอบและอนุมาน
ในอนาคตจะมีสถานที่ที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นมากมายทั่วโลกนี้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงต้องการจะพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้น
หลินจิ่วเฟิง ได้ตอบกลับในทันที“ยืนยันการเข้าใช!”
[ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับทักษะ กำปั้นหกวิถีแห่งการจุติ]
ในช่วงเวลาต่อมา ความเข้าใจในเต๋าที่ยิ่งใหญ่ และ เจตนากำปั้นก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา รวมถึงความหมายที่แท้จริงของ หกวิถีแห่งการจุติ ใหม่
หลินจิ่วเฟิง รู้สึกตกตะลึง
“การทำให้หกวิถีแห่งการเกิดใหม่ปรากฏขึ้นในหมัดเดียว ทักษะนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ”
โลกนี้ยังคงเป็นโลกที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ ความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของ หลินจิ่วเฟิง ก็คือเขาสามารถใช้ปราณดาบสังหารศัตรูที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยเมตรจากตัวเขาได้
แต่หลังจากฝนแห่งยุคสมัยใหม่มาถึง เขาก็ได้รับ กำปั้นหกวิถีแห่งการจุติ หลังจากลงชื่อเข้าใช้ตามปกติในวันนี้
กำปั้นหกวิถีแห่งการจุติ คือการใช้พลังชกออกไปเพื่อกลืนกินและทำลายศัตรู
โลกนี้ได้กลายเป็นโลกแฟนตาซีโดยสมบูรณ์
“จุดสุดยอดของเส้นทางการต่อสู้ได้เพิ่มขึ้นในโลกใหม่นี้ แต่ทว่าตอนนี้ยังมีหลายขั้นพลังที่ข้าจะต้องฝ่าฟันไปให้ได้”หลินจิ่วเฟิง ได้อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
ไม่มีใครรู้ว่ามีปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่กี่คนที่เข้าสู่ขั้นปราชญ์การต่อสู้ และ ขั้นปราชญ์การต่อสู้ในช่วงทำความเข้าใจกี่คนที่เข้าสู่ช่วงตระหนักรู้ในชีวิต
แม้แต่เจ้าแมวขาวที่นอนอยู่ตรงขอบหน้าต่างก็ยังส่งเสียงและกลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา
มันได้กา้วหน้าอย่างมากในการบ่มเพาะพลัง
แต่ทันใดนั้น กลิ่นอายพลังในร่างกายของเจ้าแมวขาวก็ปะทุรุนแรงขึ้น
พลังงานสีดำได้โผล่ออกมาจากร่างกายจากนั้นมันก็เริ่มร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวด
มันทำผิดพลาดในขณะฝึกฝนหรือไม่?
หลินจิ่วเฟิง ขมวดคิ้วแน่น
เจ้าแมวขาวรีบเร่งเกินไปในการบ่มเพาะพลัง มันไม่สามารถควบคุมพลังปราณจำนวนมหาศาลที่สะสมไว้ในร่างกายของมันได้
หลินจิ่วเฟิง ได้เอื้อมมือออกไปอย่างเด็ดขาดและดึงเจ้าแมวขาวมาไว้ใส่มือของเขา ขณะที่เขาใส่พลังปราณแท้จริงเข้าไปในร่างกายของมัน
ภายใต้การควบคุมของ หลินจิ่วเฟิง ในที่สุด อาการของมันก็สงบลง
มันค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
และพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในฝ่ามือของ หลินจิ่วเฟิง
มันได้เงยหน้ามองไปที่เขา
เมี้ยว!
เจ้าแมวขาวรีบกระโดดออกจากตัวของ หลินจิ่วเฟิง
มันมองเขาไปด้วยความโกรธก่อนที่จะเยีนสองสามคำด้วยอุ้งเท้าของมัน
“เจ้ามาจับข้าทำไม?”
“เจ้าทำผิดพลาดในขณะฝึกฝน”หลินจิ่วเฟิง ได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ความโกรธของเจ้าแมวขาวได้ลดลง
หลินจิ่วเฟิง ก็แค่ช่วยมัน
เพียงแต่ว่า เจ้าแมวขาวได้เขียนลงบนพื้นอย่างอ่อนโยน“เจ้าไม่ได้รับอนุญาติให้แตะตัวข้า”
“เจ้าได้พัฒนาขั้นพลังใหม่อีกครั้ง แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถพูดได้ เจ้านี่ค่อนข้างโง่จริง ๆ”หลินจิ่วเฟิง ได้สั่นศีรษะ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะถูกตัวเจ้าแมวขาวเลย
เขาเพียงถูมือที่รู้สึกดีก่อนหน้านี้ไปมา
“ข้าทะลวงขั้นพลังแล้ว แต่เหตุใดข้ายังไม่สามารถสัมผัสพลังของเจ้าได้เลย?”เจ้าแมวขาวได้เขียนถามเขา
“เพราะข้าได้ทะลวงขั้นพลังใหม่เช่นเดียวกัน และ ระดับพลังของข้าก็อยู่ไกลเกินกว่าที่เจ้าจะเข้าใจ”
มุมปากของ หลินจิ่วเฟิง ได้ขดตัวขณะที่เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
…
ผู้คนทั่วโลกต่างพูดกันอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับฝนที่ตกลงมาเมื่อคืน
ไม่กี่วันผ่านไป ฝนก็ยังตกไม่หยุด
ในที่สุดมันก็ตกนานเป็นเดือน
ภายในเดือนนี้ มีรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์จำนวนมากปรากฏตัวขึ้นที่หนแห่ง
นอกจากนั้นยังมีผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้เริ่มปรากฏตัวขึ้นในโลก การปรากฏตัวของพวกเขาได้ทำลายความสงบขั้นต้นของโลกโดยสมบูรณ์
อัจฉริยะรุ่นเยาว์ และ ยอดฝีมือรุ่นเก่า ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันและแข่งขันกันเอง เหล่ามหาอำนาจนับไม่ถ้วน ต่างได้ทยอยปรากฏตัวขึ้นในโลกใบใหม่นี้
พลังส่วนบุคคลเองก็พัฒนาอย่างต่อเนื่อง อำนาจของราชสำนักและราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ลดลงอย่างมาก เนื่องจากมีการละเมิดกฏหมายต่าง ๆ และ บุคคลที่กระทำผิดก็เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด
ในที่สุด หลินเทียนหยวน ก็ตัดสินใจมุ่งเป้าไปที่นิกายพุทธ
เขาได้ออกราชโองการออกมา
โดยมีคำสั่งรื้อถอน อาราม และ วัด กว่า 80,000 แห่งที่เป็นของ วัดซวนคงและวัดเส้าหลิน แน่นอนว่า สิ่งปลูกสร้างเดิมของนิกายพวกเขาได้รับการยกเว้น
อย่างไรก็ตาม เหล่านักบวชหลายล้านคนได้รับคำสั่งให้ละทิ้งความศรัทธาและเข้าสู่โลกฆราวาส
ในหมู่พวกเขา เหล่าคนบาปที่ทำกรรมไว้ก่อนหน้านี้ต่างถูกเจ้าหน้าที่พาตัวไปพิจารณาคดีอย่างยุติธรรมและรับการลงโทษสำหรับกรรมที่พวกเขาก่อ
ราชโองการนี้ต่างทำให้โลกตกตะลึง
ยุคสมัยใหม่ได้มาถึง
นี่เป็นยุคที่ผู้บ่มเพาะพลังจะกลายเป็นผู้ที่ตัดสินทุกอย่างโดยไม่ต้องสงสัย
ทั้งวัดเส้าหลินและวัดซวนคงต่างมีมรดกตกทอดมานานนับพันปี
ด้วยรากฐานของพวกเขา พวกเขามีทั้งรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์และรุ่นเกาที่แข็งแกร่ง
เมื่อ 400 ปีก่อน ตอนที่ ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา ก่อตั้งขึ้น มีเพียงปราชญ์การต่อสู้ไม่กี่คนภายใต้ร่มธงของพวกเขา แต่ตอนนี้ทางราชสำนักกลับกล้าที่ดำเนินการกับกองกำลังที่ทรงพลังเหล่านี้หรือไม่?
โลกทั้งใบพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ทุกคนต้องการดูว่า วัดเส้าหลิน และ วัดซวนคง จะตอบสนองอย่างไร
เจียงหนาน!
บนทิวเขาสูงตระหง่าน มีนักบวชจำนวนมากทุกหนแห่ง บนยอดเขาที่สูงที่สุดก็คือวัดเส้าหลิน ทุกวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้น แสงสีทองจะส่องสว่างบนยอดเขาแห่งนี้ทำให้มันดูเหมือนกับอาณาจักรของพระเจ้า
นี่คือฐานหลักของ วัดเส้าหลิน มันตั้งอยู่ที่ ภูเขาเส้าฉี
มันถูกเขียนในราชโอดงการของ หลินเทียนหยวน ยกเว้น วัดบนภูเขาลูกนี้ วัดน้อยใหญ่หลายแห่งนอกภูเขาจะต้องถูกรื้อถอน
หลังจากที่วัดเส้าหลินได้รับราชโองการพวกเขาก็เริ่มเรียกตัวกันมาหารือในทันที
ในห้องโถงใหญ่เหล่านักบวชอาวุโสหลายร้อยคนได้นั่งเรียงกันเป็นแถว
บูม!
หัวหน้านักบวชอาวุโส ได้ตบโต๊ะด้วยความโกรธในทันที“นิกายพุทธของเราเป็นอิสระตลอดระยะเวลาหลายพันปีมานี้ ไม่มีราชวงศ์ใดกล้ามาแทรกแซงพวกเรา และ ไม่คิดจะทำลายพวกเรามาก่อน”
“พวกเราได้เผยแพร่ศาสนาไปทั่วเพื่อให้ผู้คนตระหนักรู้ในชีวิตและมีความสุข…”
“แต่ตอนนี้ทางราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาคิดจะทำอะไรกับพวกเรา?”
“ถูกต้องราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา อาจหาญมากเกินไป”
“เป็นแค่ราชวงศ์ที่ถูกก่อตั้งเมื่อ 400 ปีก่อน แต่กลับอาจหาญมากขนาดนี้เลยหรือไม่?”
“การสั่งรื้อถอน อารามและวัดของพวกเราก็เท่ากับการทำลายรากฐานของวัดเส้าหลิน…”
“เราจะต้องคัดค้านราชโองการนี้ให้ถึงที่สุด”
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจความหมายถึงภัยพิบัติที่พระองค์ท่านหมายถึง ปรากฏว่าที่แท้จริงแล้วนี่มันมาจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา”
เหล่านักบวชอาวุโสได้พูดคุยกัน
เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินได้ยกมือขึ้นและกล่าวอย่างใจเย็น“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป”
“นี่คือยุคสมัยใหม่ เหล่าผู้อาวุโสของวัดเส้าหลินเราต่างก็ได้ค้นพบเส้นทางในความก้าวหน้าของพวกเขา…”
“ขอบเขตขั้นปราชญ์การต่อสู้ไม่ยากที่จะเข้าถึงอีกต่อไป”
“บางคนได้ไปถึงช่วงที่ 2 ของขั้นปราชญ์การต่อสู้แล้ว ยังมีผู้อาวุโสบางคนที่พยายามจะทะลวงผ่านไปยังขั้นที่ 3 ‘ข้ามผ่าน’”
“ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา เป็นราชวงศ์ฆราวาส พวกเขาคิดอาศัยปราชญ์การต่อสู้ที่ทรงพลังที่หลบซ่อนตัวในเมืองหลวงในการจัดการพวกเรา เพียงแต่ เขาคิดว่าคน ๆ เดียวจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ลำพังงั้นหรือไม่?”
“ไม่จำเป็นจะต้องรอให้วัดเส้าหลินของเราตอบโต้เป็นการส่วนตัว พวกเราเพียงแค่มองหายอดฝีมือที่มีความเกลียดชังต่อราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา และ รวบรวมพวกเขาเข้าด้วยกัน ข้าคิดว่าด้วยกำลังของพวกเขาก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา”
เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินได้ยิ้มออกมา รอยยิ้มของเขาได้เผยท่าทีเหยียดหยาม“นี่คือยุคสมัยใหม่ของผู้บ่มเพาะพลัง มันไม่ใช่ยุคของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวาอีกต่อไป ในเมื่อพวกเขาไม่ไว้หน้าเราขนาดนี้ พวกเราก็มาเปลี่ยนราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์นี้กันเถอะ!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา นักบวชของวัดเส้าหลินต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
วัดเส้าหลินสืบทอดต่อกันมานับพันปี อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่
พวกเขาจะปล่อยให้ตนเองถูกรังแกโดยราชวงศ์ที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงแค่ 400 ปีได้อย่างไร?
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่านักบวชจากวัดเส้าหลินต่างก็ไม่พอใจในเรื่องนี้
พวกเขาทำราวกับว่าพวกเขาไม่สนใจราชโองการเหล่านี้
ไม่มี อาราม และ วัดใดภายใต้วัดเส้าหลินที่ถูกรื้อถอน
พวกเขาไม่สนใจ!
วัดเส้าหลิน ได้เพิกเฉยต่อราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา และ ราชโองการของจักรพรรดิหลินเทียนหยวนโดยตรง
อย่างไรก็ตาม วัดซวนคง กลับมีความตรงไปตรงมามากกว่า
หลังจากเห็นราชโองการแล้ว พวกเขาก็ประกาศว่าจะสร้างวัดอีก 100 แห่งในมณฑลเจียงหนาน โดยหวังว่าเหล่าผู้ศรัทธาจะบริจาคเงินกันอย่างแข่งขันเพื่อช่วยเหลือในการหล่อเลี้ยงพระพุทธองค์ขึ้น
ในทางกลับกันพวกเขาได้รับอิทธิพลอย่างมาจากการบริจาคเหล่านี้
ทั้งสองนิกายต่างก็ไม่สนใจราชโองการของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา
บางคนเริ่มสงสัยว่าเหตุใด ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา จึงมีการปฏิบัติต่อสามนิกายทางพุทธเหล่านี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าข้อเท็จจริงต้นกำเนิดของพวกเขาจะเหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น เหตุใดราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์หยูฮวา จึงไม่มุ่งเป้าไปที่วัดต้าหลินด้วย