391 - วางแผนล่วงหน้า
391 - วางแผนล่วงหน้า
“เอี้ยนลี่เฉียงพูดอย่างนั้นจริงเหรอ?”
ในสวนหลวงของพระราชวังต้องห้าม จักรพรรดิที่เพิ่งเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารค่ำก็มองหลิวกงกงมองด้วยความประหลาดใจขณะถามคำถาม
หลิวกงกงก้มตัวลงแล้วกล่าวว่า
“บ่าวไม่ได้คาดหวังให้เขากล่าวเช่นนั้น เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริงๆ แต่พูดตามตรงคำขอของเขานั้นโดนใจของบ่าวมาก
หลายปีที่ผ่านมาบ่าวได้เห็นหลายคนที่มาเมืองหลวงของจักรวรรดิและพวกเขาเต็มใจที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งครอบครัวของพวกเขาเพียงเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง
บ่าวไม่เคยพบใครเหมือนลี่เฉียง บางคนที่อยู่ในสถานะเช่นเดียวกันกับเขาอาจจะจำพ่อแม่ของตัวเองที่อยู่ที่บ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
“แล้วเขาพูดอะไรเกี่ยวกับการบ่มเพาะของเขาที่คฤหาสน์กวาง…?” จักรพรรดิถามขณะเดินเล่น
“เขากล่าวว่าเนื่องจากเขาได้รับความรู้ที่แท้จริงจากหลี่หงตู้และจี้เซียวเหยามาแล้ว การฝึกฝนของเขาจะไม่สูญเปล่าแม้ว่าเขาจะกลับไปที่แคว้นกาน ในทำนองเดียวกันเขายังสามารถรับใช้ฝ่าบาทต่อไปได้แม้ว่าเขาจะอยู่ที่นั่น…”
จักรพรรดิขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าการกลับไปที่แคว้นกานของเขานั้นกระทันหันและไม่คาดฝันเกินไป เขาจะละทิ้งทุกอย่างในเมืองหลวงเพียงเพื่อให้ดูแลพ่อที่บ้านอย่างนั้นจริงหรือ”
“ข้าได้ยินมาว่าเอี้ยนลี่เฉียงและพ่อของเขาต่างจากคนอื่นๆ พวกเขาพึ่งพาอาศัยกันเพียงสองคนตั้งแต่ลี่เฉียงยังเด็ก บางทีพวกเขาอาจมีสายสัมพันธ์ที่พิเศษจริงๆ
พ่อของเขาดูเหมือนจะมีสถานที่สำคัญในใจของเขา ในเวลาเช่นนี้เขาพบว่ามันยากที่จะไม่เป็นห่วงพ่อของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเลือกสนองความจงรักภักดีต่อฝ่าบาทก่อน
แล้วจึงทำตามภาระหน้าที่ในฐานะลูกชายด้วยการกลับบ้าน มิฉะนั้นแล้วทำไมเขาถึงยอมแพ้ต่ออนาคตที่สดใสซึ่งกำลังรออยู่หลังจากที่เขาได้รับชัยชนะ?
ความเต็มใจของเขาที่จะเข้าร่วมการแข่งขันปิดตานี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่กลัวความตายหรือหลินชิงเทียน แล้วอะไรจะทำให้คนอย่างเขาไม่กล้าอยู่ในเมืองหลวง…?”
“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่ ถ้าเขาไม่กลัวความตายหรือหลินชิงเทียน เราก็นึกภาพไม่ออกจริงๆว่ามีอะไรอีกในเมืองหลวงที่สามารถทำให้เขาหวาดกลัวมากจนเขาเลือกที่จะกลับไปยังแคว้นกาน!”
จักรพรรดิพยักหน้าช้าๆขณะที่เขาคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นก่อนหน้านี้
“ฝ่าบาท… บ่าวสงสัยว่าควรพูดอะไรหรือไม่”
หลิวกงกงเงยหน้าขึ้นมองชายในชุดมังกรที่อยู่ข้างหน้าเขาขณะที่เขาพูดอย่างระมัดระวัง
“มีเพียงเจ้าและข้าเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ เจ้าพูดได้อย่างเต็มที่…”
“ก็… ลี่เฉียงอายุแค่สิบห้าปีเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปเขาจะมีโอกาสที่ไร้ขอบเขตรออยู่ข้างหน้าและฝีมือของเขาก็ล้ำเลิศจนน่าเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ตาม หากเขาทำการต่อสู้ในการประลองปิดตาก็อาจจะเกิดอันตรายขึ้นกับเขาได้ พวกเราต่างรู้ดีว่าซือหมิงจางเป็นนักธนูผู้ช่ำชองในเมืองหลวงที่ประสบความสำเร็จในวิชายิงธนูถึงระดับสวรรค์ชั้นที่ห้ามิหนำซ้ำเขายังอายุมากกว่าลี่เฉียงหลายปี
บ่าวเกรงว่าเอี้ยนลี่เฉียงจะมีโอกาสเพียงครึ่งเดียวหรือต่ำกว่านั้นที่จะเอาชนะได้ นี่เป็นเหตุผลที่หลินชิงเทียนและพรรคพวกของเขากล้าที่จะดึงซือหมิงจางเข้ามา
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเอี้ยนลี่เฉียงจริงๆในระหว่างการแข่งขันปิดตา นั่นหมายความว่าฝ่าบาทจะสูญเสียผู้ช่วยคนสำคัญในอนาคตไปอีกคนหนึ่ง?”
จักรพรรดิเหลือบมองหลิวกงกง ทำให้คนข้างหลังตกใจเล็กน้อย และรีบก้มศีรษะลงอีกครั้ง
จักรพรรดิเงยศีรษะขึ้นเพื่อมองดูดวงดาวที่เริ่มปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าแปลกๆ
“หากเขาเป็นคนที่เราให้ความคาดหวัง เขาจะไม่ถูกซือหมิงจาง สังหารในการแข่งขันครั้งนี้อย่างแน่นอน
ตรงกันข้ามถ้าเขาไม่สามารถผ่านมันไปได้ นั่นจะเป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคาดหวังให้เขาทำในอนาคตเป็นเรื่องที่ผิด!” จักรพรรดิตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“ถ้าอย่างนั้น… ฝ่าบาทจะให้บ่าวบอกอะไรกับลี่เฉียงเมื่อกลับไป?”
จักรพรรดิไม่กล่าววาจา เขาเพียงเดินเล่นรอบสวนอย่างเงียบๆเป็นเวลานาน หลิวกงกงยังคงติดตามอยู่ด้านหลังโดยไม่พูดอะไรอีก
หลังจากนั้นชั่วครู่จักรพรรดิก็เดินช้าลงเมื่อเขาอยู่ใต้ต้นสนสองสามต้นในสวนของจักรวรรดิ เขาลูบไล้ลำต้นอย่างอ่อนโยนขณะที่ใบหน้าครุ่นคิดของเขามุ่งมั่น
“เจ้าพูดถูก เอี้ยนลี่เฉียงยังเด็กและต้องการประสบการณ์มากกว่านี้ เมื่อเวลาผ่านไปเขาจะมีโอกาสที่ไร้ขอบเขตและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
การผูกมัดเขาไว้กับสถานที่เช่นเมืองหลวงของจักรวรรดิตั้งแต่อายุยังน้อยเกรงว่าอาจจะทำให้เขาเสียคนได้ บางทีถ้าเขากลับไปที่แคว้นกานเขาอาจจะแสดงศักยภาพสูงสุดของตัวเองออกมา
เรามาดูกันว่าเขาจะทำอะไรหลังจากที่ออกจากเมืองหลวง กลับไปบอกเขาว่าเขาได้รับอนุญาตให้กลับไปที่แคว้นกานและจะได้รับความไว้วางใจจากข้าหากเขาสามารถเอาชนะการประลองได้…”
“เข้าใจแล้ว บ่าวจะถ่ายทอดความประสงค์ของฝ่าบาทอย่างไม่ตกหล่น…”
หลังจากหลิวกงกงได้รับคำตอบจากจักรพรรดิ เขาก็รีบออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์กวางด้วยใบหน้าแช่มชื่น
หลังจากที่หลิวกงกงจากไปจักรพรรดิก็เดินไปรอบๆสวนเพียงลำพัง เขาไม่มีใครที่จะแบ่งปันความรู้สึกของตัวเองแม้แต่ฮองเฮาก็ไม่สามารถ
จากนั้นจักรพรรดิก็เงยหน้าขึ้นมองดูแม่น้ำแห่งดวงดาวในขณะที่เขาพึมพำกับตัวเองว่า
“เราสงสัยว่าเจ้าจะเป็นตี้หลงตู้ของเราได้ไหมเจ้าจะเป็นเสาค้ำยันของอาณาจักรฮั่นได้จริงๆหรือเปล่า?”
……
เอี้ยนลี่เฉียงไม่ทราบเจตนาของฝ่าบาทอย่างแน่นอน เขารู้สึกว่าจักรพรรดิต้องการให้เขาท้าทายเพื่อพิสูจน์ความภักดีเท่านั้น
……
เอี้ยนลี่เฉียงโล่งใจที่ได้รับคำตอบจากหลิวกงกงในตอนกลางคืนของวันเดียวกัน
ความปรารถนาของเอี้ยนลี่เฉียงคือการกลับไปยังแคว้นกานเพื่อเริ่มต้นเตรียมตัวทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาคิดเรื่องนี้มาสองวันแล้ว
เขาไม่สามารถหยุดคิดได้ตั้งแต่เขาค้นพบสถานการณ์ที่น่าสยดสยองที่จักรวรรดิฮั่นอาจเผชิญในเวลาสี่ปีและค้นพบว่า หลินชิงเทียนอาจรู้เกี่ยวกับมหันตภัยสวรรค์นี้
เอี้ยนลี่เฉียงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รู้ว่าชนเผ่าชาตูทั้งเจ็ดจะหยิบอาวุธขึ้นมาเพื่อต่อต้านอาณาจักรฮั่นอันยิ่งใหญ่และดำเนินการล้างเลือดในแคว้นกาน
ใบหน้าที่คุ้นเคยของเพื่อนและครอบครัวของเขาวาบขึ้นในจิตใจ ก่อนจะถึงเวลานั้นเขาต้องสังหารพวกชาตูที่อยู่ในเมืองผิงซีให้หมดสิ้นเสียก่อน
ก่อนหน้านี้เอี้ยนลี่เฉียงคิดว่าเขาต้องจัดการกับความทุกข์ยากแห่งสวรรค์ที่จะเกิดขึ้นอีกสี่ปีข้างหน้าโดยกระตุ้นให้ผู้คนอพยพออกจากเขตเมืองหลวงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
แตะจากรูปการณ์แล้วผลพวงของภัยพิบัติในอาณาจักรฮั่นอันยิ่งใหญ่จะเป็นส่วนที่เล็กน้อยมากที่สุดเมื่อเทียบกับสงครามที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
ภูมิทัศน์ทางการเมืองในจักรวรรดิจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในเวลาสี่ปี ดังนั้นเอี้ยนลี่เฉียงจึงต้องดำเนินมาตรการที่เหมาะสมและวางแผนล่วงหน้า
อย่างน้อยที่สุด เขาไม่สามารถมองดูโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเกิดของเขาได้…