ตอนที่32 ความโลภ
ตอนที่32 ความโล�
กลุ่มของฉู่เทียนที่เพิ่งหยุดพักผ่อนระหว่างทาง ยามนี้พวกเขาเริ่มเดินทางต่ออีกครั้งพร้อมกับอวิ๋นฉิงเหยาและคนอื่นๆ
เส้นทางถนนท้องที่ยังคงขรุขระตลอดเป็นทางยาวจวบกลางค่ำกลางคืน เย่เจวี๋ยและอวิ๋นชิงเหยาหาได้ปริปากพูดคุยใดๆ กันอีกภายในรถม้า ยามรัตติกาลคลืบคลานมาถึง เป็นรถม้าของฉู่เทียนที่หยุดลงก่อนกลางป่า พวกเขาให้เหตุผลว่า ต้องการพักแรมที่นี่ก่อนสักคืนหนึ่ง ยามรุ่งสางวันต่อไปค่อยออกเดินทางไปต่อ อวิ๋นชิงเหยาเองก็เห็นด้วย เย่เจวี๋ยก็เช่นกัน
พวกเขาเดินทางตลอดเกือบพันลี้ทั้งวัน และเส้นทางไปยังทวีปตะวันออกยังคงอีกไกลโพ้นนัก
สาวรับใช้ของอวิ๋นชิงเหยารีบเร่งกางกระโจมที่พักช่างคร่องแคล่ว จากนั้นก็ก่อกองไฟ เจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องหยิบอาหารแห้งที่เตรียมกันมาแจกจ่าย เชิญชวนให้พวกอวิ๋นชิงเหยานั่งล้อมวงกินอาหารร่วมกัน แต่พอเห็นสาวใช้ทั้งสองหยิบอาหารที่เตรียมมาเป็นเนื้อแห้งมากมาย แถมยังใจดีเผื่อแผ่พวกเขา ทั้งเจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องก็พลันอดคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายมิได้เลย
ไม่ไกลนักแล เป็นกลุ่มของฉู่เทียนที่นั่งก่อกองไฟล้อมวงเช่นกัน
“คุณชายอวิ๋น ตัวท่านเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า ท่านมาจากตระกูลพ่อค้าจึงพอมีฐานะ แต่เหตุอันใดข้าถึงไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย?”
เย่เจวี๋ยเป็นคนเอ่ยปากทำลายบรรยากาศอันเงียบงันลง
ตลอดทางที่ผ่านมา นอกจากคำพูดบางคำพูดที่เย่เจวี๋ยยิงคำถามออกไปและนางจำเป็นต้องตอบ อวิ๋นชิงเหยาก็แทบจะไม่พูดอะไรอีกเลย แม้ท่าทางการแสดงออกจะดูสุภาพ แต่ช่างรู้สึกห่างเหิน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเช่นกัน เพราะถึงยังไงพวกเย่เจวี๋ยก็แค่คนแปลกหน้าที่ร่วมเดินทาง ดังนั้นระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงมีการสื่อสารกันที่น้อยมาก
แต่ในเวลานี้เองเย่เจวี๋ยทำลายเส้นแบ่งดังกล่าวไปเรียบร้อย ตอนนี้เขาเริ่มเป็นฝ่ายรุกถามอว๋นชิงเหยาแทนแล้ว
“จริงรึ?”
อวิ๋นชิงเหยากวาดสายตามองเย่เจวี๋ยอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาเร้นแฝงแววสงสัยประดุจคมมีดปราดหนึ่ง
“อืม ใช่แล้ว ใช่แล้ว เหมือนองค์หญิงเสด็จมาเที่ยวมากกว่า งำๆ งำๆ ....”
เจ้ากุ้งแห้งเคี้ยวเนื้อแห้งอย่างเอร็ดอร่อยพลางแสดงความเห็นออกมา ในที่สุดเขาก็มีโอกาสพูดกับเขาสักที
คำกล่าวที่ทำให้อวิ๋นชิงเหยาเบนสายตาจากเย่เจวี๋ยเหลือไปใส่เจ้ากุ้งแห้งทันทีอย่างเย็นชา เล่นเอาเจ้ากุ้งแห้งแทบกระเดือกเนื้อแห้งไม่ลง รีบโบกมือปัดอธิบายทันที
“ขะ-ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่พูดพร่อยไปงั้นแหละท่าน ฮ่าฮ่า...อย่าได้ถือสาเลยขอบรับ อย่าได้ถือสา แหะ แหะ...”
“ทำไม? หรือเจ้าอิจฉาที่คึณชายอวิ๋นหน้าสวย? ไอ้คนที่ควรอิจฉาเขาครวจะเป็นน้องสามมากกว่า ฮ่าฮ่า!”
“ใช่แล้ว! น้องรองกล่าวถูก น้องรองกล่าวถูกต้อง! ฮ่าฮ่าๆๆๆ”
หยินต้าซงกล่าวเสริมพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะ
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะคิดเห็นอย่างไร แต่พวกเรามาจากพ่อค้าเมืองใหญ่จริงๆ”
อวิ๋นชิงเหยากล่าวน้ำเสียงเรียบ เคี้ยวเนื้อแห้งในมืออย่างแช่มช้า พลางเหลือบมองไปที่มือของพวกสามพี่น้องและเจ้ากุ้งแห้งที่ยามนี้กินเนื้อแห้งที่นางแจกให้จนหมด และหยิบอาหารแห้งซึ่งเป็นอาหารราคาถูกของพวกตนขึ้นมากินต่อ
พอเห็นเช่นนั้นอวิ๋นชิงเหยาพลันประหลาดใจเล็กน้อย เจ้ากุ้งแห้งเป็นถึงผู้งฝึกยุทธ์อาณาจักรนภาม่วงแท้ๆ ชนชั้นย่อมมิต่ำทราม แต่ไฉนถึงได้กินแค่อาหารหยาบๆ ชั้นต่ำแบบนี้ด้วย? ในความเห็นของนางถึงผืนพิภพซวนหยวนจะถือเป็นดินแดนโบราณ แต่ทุกคนที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้ ชะตากรรมของพวกเขาล้วนไม่ย่ำแย่ตกทุกข์ได้ยาก
แต่ก็ว่าอวิ๋งชิงเหยาไม่ได้ เพราะนางไม่รู้เลยว่า อาหารแห้งราคาถูกที่เห็นจะเป็นของที่เจ้ากุ้งแห้งชื่นชอบอย่างมากจนต้องเก็บหอมรอมลิดเพื่อซื้อกินในสมัยที่ยังเป็นคนใช้ ดังนั้นแล้ว อย่าว่าแต่อาณาจักรนภาม่วงเลย ต่อให้เจ้ากุ้งแห้งบรรลุไปถึงอาณาจักรปราณฟ้าถ่องแท้ได้ เขาย่อมจะแวะเวียนมาซื้ออาหารแห้งราคาถูกที่ว่าเหมือนเดิม ตลอดทั้งวันและตลอดไป
เพราะในวัยเด็กสมัยที่ยังยากจนอยู่ในตระกูลเย่ แม่ของเขาชอบทำอาหารแห้งชนิดนี้ให้ และทุกครั้งที่เขาได้กินก็มักจะระลึกถึงท่านแม่และรสชาติในวันหวานที่ท่านแม่ทำให้ทานประจำอยู่เสมอ
“ขออภัยที่เสียมารยาท”
“ไม่เป็นไร”
อวิ๋นชิงเหยากล่าวตอบน้ำเสียงเรียบนิ่งดังเดิม
หลังจากนั้นไม่นาน เย่เจวี๋ยก็ลุกขึ้นยืน
“นายน้อย ท่านจะไปไหนขอรับ?”
เจ้ากุ้งแห้งเอ่ยถาม
“ไปเยี่ยว”
“ข้าไปด้วย”
“ข้าไปด้วย”
“ข้าด้วย”
สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานรีบลุกขึ้นยืนทันที
“คุณชายอวิ๋นล่ะ? ไปด้วยกันไหม?”
เย่เจวียเหลือบมองอวิ๋นชิงเหยาเล็กน้อยพลางเอ่ยถามขึ้นมา
สีหน้าของอวิ๋นชิงเหยาดูลุกลี้ลุกลนไม่เป็นธรรมชาติ นางเอ่ยตอบแค่ว่า
“ไม่ ข้ายังไม่ปวด ไปกันก่อนเถิด”
หากนางมาทราบทีหลังว่า เย่เจวี๋ยจงใจแกล้ง นางจะรู้สึกอย่างไรกัน?
เย่เจวี๋ยและคนอื่นๆ ตรงเข้าป่า หาดงหญ้าเตรียมปลดอาวุธยิงกระต่ายกัน แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่า จะบังเอิญมาพบฉู่เทียนในดงหญ้าเหมือนกันแบบนี้ ดูท่าอีกฝ่ายจะมีเป้าหมายเดียวกันกับพวกเขา พอเห็นเช่นนั้นก็มิได้สนใจอะไร แต่ละคนปลดเข็มขัดแหวกชุดคลุมเตรียมปลดทุกข์ทันที
“ฮ่าฮ่าๆ องค์รัชทายาทฉู่นี่เอง ช่างบังเอิญเสียจริง ท่านเองก็มาปลดทุกข์เหมือนกันสิท่า?”
เมื่อเห็นฉู่เทียน เจ้ากุ้งแห้งก็เป็นฝ่ายทักทายก่อนพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก แต่อย่าลืมไปเสียว่าอีกฝ่ายมีสถานะศักดิ์สูงส่งเพียงใด
บรรดาคนรับใช้ของฉู่เทียนหาได้ไว้หน้าพวกเขาไม่ พร้อมตะคอกสวนน้ำเสียงเย็นใส่ว่า
“องค์รัชทายาทของเรามาก่อน! พวกเจ้าไปหาที่อื่นไป!”
น้ำเสียงของคนพวกนี้ดูท่าทีจะโมโหไม่ใช่น้อยเลย
“อะไรกัน? พวกเราก็ผู้ชายเหมือนกัน ไม่เห็นต้องเขินอายกันเลย”
สำหรับเรื่องนี้ หยินต้าซ่งรู้สึกอดขำมิได้ พวกเขาสามพี่น้องใช้ชีวิตร่วมกันมาโดยตลอด กล่าวได้ว่าเห็นของกันและกันจนชินตาไปแล้ว กับแค่ไอ้เจ้าโลกขององค์รัชทายาทคนเดียว ทำไมต้องทำเป็นหวง?
พาพูดจบ สามพี่น้องก็งัดเอาเจ้าโลกออกมาและเตรียมปลดทุกข์ทันที
แต่ทันใดนั้นฉู่เทียนกลับขมวดคิ้วแน่นด้วยความโกรธจัด ตะคอกสวนกลับไปทันทีว่า
“ไสหัสไป! มิฉะนั้นก็อย่าตำหนิว่าข้าหยาบคาย!”
ทันทีที่สิ้นเสียง รัศมีกลิ่นอายสุดแกร่งกร้าวของฉู่เทียนพลันระเบิดคลั่งออกมา ฝูงนกโบยบินแตกรังออกไปนับไม่ถ้วน
ปรากฏให้เห็นอย่างชัดแจ้ง เขาผู้นี้อยู่ในอาณาจักรนภาม่วงขั้นสุด
เข้ากุ้งแห้งตกใจแทบฉี่ราดคาเป้ากางเกง
คำกล่าวนี้ทำให้เย่เจวี๋ยถึงกับขมวดคิ้วย่น ภายในผืนป่ากว้างใหญ่แบบนี้ กับแค่หาที่เยี่ยวมันจะยากเย็นแค่ไหนกัน ดูเหมือนว่าฉู่เทียนคนนี้จะถูกเลี้ยงดูมาแบบตามใจ จึงวางตัวหยิ่งผยองไปซะหมด แม้แต่ผืนป่าแห่งนี้ยังคงคิดว่าเป็นของตนเลยกระมัง
แต่บางที...นี่อาจจะเป็นแค่ข้อแก้ตัวเท่านั้น
อย่างไรเสีย ถ้าต้องการให้พวกเขาย้ายไปจุดอื่น ก็แค่พูดจาดีๆ สักคำสองคำก็ได้มิใช่รึ?
“องค์รัชทายาท ให้พวกข้าไล่พวกมันไปเลยดีไหมขอรับ?”
คนรับใช้ของฉู่เทียนกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าสุดเหี้ยม ราวกับกำลังอยู่ในสนามรบทะเลเพลิงก็มิปาน
“ลากพวกมันออกไป! อย่าให้มันโผล่หัวมาแถวนี้อีก!”
“ขอรับ”
ขึ้นเสียงใส่พวกเขา แล้วตอนนี้ยังคิดจะไล่กันอีกงั้นเหรอ? เย่เจวี๋ยรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที
เสี้ยวอคดใจที่คนรับใช้คนหนึ่งตรงเข้ามาใกล้ เย่เจวี๋ยก็ซัดกำปั้นทะลวงกลางอกเป็นรูโบ๋ ธารเลือดสาดกระเซ็นออกมาทันควัน ส่วนคนรับใช้ที่เหลือต่างโดนแรงระเบิดกระเด็นกระดอนออกไป เจ้ากุ้งแห้งรีบเก็บไอ้จ๋อนดึงเข็มขัดใส่กางเกงทันที แต่เพราะเนื่องด้วยตัวเขาปราศจากประสบการณ์การต่อสู้ใดๆ มาก่อน จึงทำได้แค่โบกไม้โบกมือไปมากลางอากาศมัวๆ ไร้กระบวนท่า ทว่านั้นกลับสร้างแรงลมโหมจนทำให้พวกคนใช้รุกเข้าใกล้มิได้
ส่วนสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานกำลังรีบสะบัดเด็ดเยี่ยวให้เสร็จโดยไว แต่ยังไม่ทันไร กลับโดนคนรับใช้พวกนั้นกระชากแขนหมุนตัวจนเสียการทรงตัวโดยมิตั้งใจ ทันใดนั้นของเหลวสีเหลืองกระแสนอุ่นร้อน พลันสะบัดมาโดนตัวพวกคนรับใช้จนเปียกแฉะเป็นสาย แค่เห็นก็รู้สึกขยะแขยงแทนแล้ว
“พวกเจ้า!”
ฉู่เทียนกัดฟันแน่นด้วยความโกรธจัด ขณะที่กำลังจะลงมือเอง อวิ๋งชิงเหยาและคนอื่นๆ ก็ตรงเข้ามาถึงเสียก่อน
“กรี๊ดดด!”
อวิ๋นชิงเหยาที่เดินตรงเข้ามาหาโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรก็ถึงกับส่งเสียงร้องลั่นด้วยความตกใจ ถึงกับได้เห็นของลับของชายฉกรรจ์ทั้งสามถึงกับร้องเสียงหลง รีบหันหน้าหนีด้วยความอับอายสุดขีด แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังปลอมตัวอยู่ จึงรีบฝืนหน้านิ่งหันกลับไปทันที พลางเอ่ยถามฉู่เทียนขึ้นว่า
“เกิดอะไรขึ้นกัน? ข้าได้ยินเสียงร้องโวยวายขององค์รัชทายาท”
“เจ้าพวกนี้มันกล้าลุกล้ำอาณาเขตของข้า แถมยังกระทำกิริยามารยาทต่ำทรามอีก ข้าเลยตะโกนไล่ให้ไปที่อื่น”
ฉู่เทียนรู้สึกโมโหไม่น้อยเลยในขณะนี้ ราวกับว่าคนที่ผิดไม่ใช่เขา และในสายตาของเขาเอง ก็เป็นฝ่ายของเย่เจวี๋ยก่อนที่มารบกวน
“แล้วดูสันดานเสียของพวกมัน ไล่ก็ไม่ไป แถมยังฆ่าคนรับใช้ของข้าไปอีกด้วย คงเป็นพวกบ้านนอกไร้ซึ่งการสั่งสอนแน่นอน”
“หื้ม? รุกล้ำอาณาเขตเชียวรึ? ไฉนเจ้าไม่กล่าวว่า หุบเขาทั้งลูกนี้เป็นของเจ้าเลยล่ะ? หรือเป็นเพราะว่า...องค์รัชทายาทป่วยเป็นโรคร้ายแรง จึงไม่อยากให้คนอื่นเห็นของลับตนเอง?”
เย่เจวี๋ยยิ้มเยาะ
ไม่คิดเลยว่า คำกล่าวนี้ของเย่เจวี๋ยจะยิ่งไปยั่วโมโหของฉู่เทียนเข้าไปใหญ่
โดยเฉพาะกับคำว่า ‘เจ้า’ และ ‘โรคร้ายแรง’ มันได้กระตุ้นความโกรธของฉู่เทียนขึ้นอย่างแรง ตั้งแต่เขาเกิดและเติบโตมา ไม่เคยมีใครกล้าพูดจาลบหลู่และไม่ให้เกียรติแก่เขาจนาดนี้มาก่อน
เช่นนั้นแล้ว ทั่วอญูกายาของฉู่เทียนพลันระเบิดรัศมีแห่งขุมพลังอาณาจักรนภาม่วงขั้นสุดออกมาทันใด แรงกดดันแผ่ไพศาลขยายออกเข้าปกคลุมร่างของเย่เจวี๋ยอย่างรวดเร็ว แววตาที่สาดสะท้อนเปี่ยมล้นความอาฆาตราวกับต้องการจะจับเย่เจวี๋ยมาสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น
“เจ้าคนแซ่เย่! อย่าได้โอหังเกินไป! ขอเพียงข้ากระดิกนิ้วเท่านั้น เจ้าจักต้องตายโดยไร้หลุมฝังศพ!”
ขณะเอ่ยกล่าววาจาเหล่านี้ออกมา ท่าทางการแสดงออกของฉู่เทียนช่างดูโหดเหี้ยม เหมือนกับคนเถื่อนมากกว่าองค์รัชทายาท
“เช่นนั้นก็เข้ามาได้ทุกเมื่อ”
ด้วยความรังเกียจภายในใจ เย่เจวี๋ยถล่มน้ำลายลงพื้นไปทีหนึ่งและกล่าวยั่วยุอีกฝ่ายสวนกลับทันควัน
“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้า!”
ทั่วทั้งใบหน้าของฉู่เทียนบิดเบี้ยวดูน่าเกลียดยิ่ง ดวงตาคู่นั้นโกรธจัดจนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“หยุดเถิด”
เป็นอวิ๋นชิงเหยาที่กล่าวขึ้นมาขัดและหันมากล่าวขอโทษฉู่เทียนแทนว่า
“เช่นนั้นข้าต้องขอโทษองค์รัชทายาทแทนพวกเขาด้วย พวกเขาเป็นคนจากเมืองชนบทห่างไกล ย่อมมีนิสัยโผงผางเป็นธรรมดา”
ฉู่เทียนเหลือบหางตามองไปที่เย่เจวี๋ยเจือแววตารังเกียจ พร้อมกล่าวดูถูกขึ้นว่า
“ช่างเถอะ กับแค่พวกบ้านนอกไร้การสั่งสอน ข้าไม่จำมาใส่ใจหรอก”
“ขอบคุณองค์รับทายาทฉู่ที่มีน้ำใจ เอาล่ะ พวกเราแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้พวกเราต้องเดินทางกันแต่เช้า”
“เจ้ากุ้งแห้ง พวกเจ้า ไปกันเถอะ”
เย่เจวี๋ยยังคงซึ่งอากัปกิริยาอันสง่าผ่าเผย ให้ความร่วมมือกับอวิ๋นชิงเหยาดี เรียกเจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องเดินจากออกไป
พอเห็นว่าพวกเย่เจวี๋ยกำลังเดินจากไปทั้งแบบนั้นโดยไม่มีข้อโทษขอโผยกันสักคำ ฉู่เทียนก็ตามจะไปเอาเรื่องต่อ แต่ก็ถูกอวิ๋นชิงเหยาเกลี้ยกล่อมอยู่นาน จนท้ายที่สุดนางต้องจำใจยัดผลึดมณีสีม่วงก้อนหน้าลงในมือของฉู่เทียน
“องค์รัชทายาทฉู่ นี่ถือเป็นของแทนคำขอโทษเสียแล้วกัน อย่าทำอะไรเขาเลย”
เมื่อเห็นเจ้าสิ่งนี้ แม้แต่ตัวฉู่เทียนที่เป็นถึงองค์รัชทายาทยังอดดีใจดวงตาเปล่งประกายมิได้ หลังจากเขารับมันเก็บเข้ากระเป๋าไป ก็เรียกพวกคนรับใช้และทหารกลับออกไป
ถึงกับต้องสละผลึกมณีจิตม่วงไปหนึ่งก้อน ถึงจะปลอบประโลมความโกรธของฉู่เทียนลงได้
พอเห็นทุกอย่างกลับสู่ความสงบอีกครั้ง อวิ๋นชิงเหยาก็อดถอนหายใจมิได้ด้วยความโล่งอก
ฉู่เทียนเดินกลับมาที่กระโจมของตนเอง และเรียกระดมทหารที่เป็นลูกน้องตนเองมาสี่นาย สีหน้าการแสดงออกของแต่ละคนดูมืดทมิฬยิ่ง ทั้งสี่มีชื่อว่า หลัวซื่อ หลัวอี้ หลัวซา และหลัวเชิน พวกเขาทั้งสี่เคยมีประสบการณ์เป็นนักฆ่าเก่ามาก่อน และยังเป็นทหารข้างกายที่ฉู่เทียนไว้วางใจมากที่สุด โดยปกติแล้วพวกเขาทั้งสี่มักถูกมอบหมายภารกิจพิเศษให้ไปลอบสังหารเป้าหมาย ดังนั้นแล้วความแข็งแกร่งของทั้งสี่ย่อมหาใช่ธรรมดาไม่
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ที่เผลิญหน้ากับเย่เจวี๋ย เขาเองก็สัมผัสได้ว่า อีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรก่อกายาระดับเก้า อย่าว่าแต่สี่คนเลย ส่งไปแค่คนเดียวในนี้ก็มากเกินพอแล้ว
“ไอ้บัดซบที่ชื่อเย่เจวี๋ยที่อยู่อีกกลุ่มเดินทาง ไปจัดการมันซะ พรุ่งนี้เช้าข้าไม่อยากเจอหน้ามันอีก!”
น้ำเสียงของฉู่เทียนเย็นยะเยือกดูน่าสะพรึงยิ่งยวด
“ขอรับ!”
ทหารนักฆ่าทั้งสี่หายวับกลายเป็นเงาดำสายหนึ่งกระจายตัวกันออกไปทันที
ค่ำรัตติดาลอันแสนเงียบสงัด
ฉู่เทียนที่กำลังเล่นกับผลึกมณีจิตม่วงก้อนใสบริสุทธิ์ในมืออย่างสนุกสนาน พลางเผยจิตสังหารออกมาผ่านความคิดที่ว่า เขาจะค่อยๆ จัดการพวกมันทีละคน เริ่มจากเย่เจวี๋ยและพวกพ้องบ้านนอกของมันก่อน จากนั้นก็เป็นอวิ๋นชิงเหยาและสาวรับใช้ทั้งสองเป็นรายต่อไป พวกมันทั้งหมดจะต้องถูกฝังระหว่างทางไปทวีปตะวันออก!
แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ได้ลงมาเล่นเองในละครฉากใหญ่ฉากนี้ แต่ตัวฉู่เทียนนี่แหละคือผู้กำกับที่คอยชักจูงให้บรรดาทหารนักฆ่าของเขาไปลงมือ ทั้งนี้ก็เพื่อลดจำนวนผู้เข้าทดสอบในทวีปตะวันออกให้ได้มากที่สุด ยิ่งคนน้อยลงเท่าไหร่ตัวเขาก็ยิ่งมีโอกาสคว้าชัยได้มากขึ้น ตอนนี้แผนการลงมือสังหารของเขาขึ้นอยู่กับเวลาแล้วเท่านั้น แต่เนื่องจากเมื่อครู่ เย่เจวี๋ยกลับทำตัวต่ำทรามใส่เขาก่อน เช่นนั้นแล้วเขาเองก็ไม่มีปราณีแล้วเช่นกัน
และที่คุ้มเกินคุ้มก็คือ ฉู่เทียนยังได้ผลึกมณีจิตม่วงเป็นของแถม ซึ่งมันแต่ละก้อนกล่าวได้ว่าหายากยิ่ง แม้แต่เขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรนภาม่วงขั้นสุดยังไม่มีปัญญาหามาได้แม้นสักก้อน หากคนที่ชื่ออวิ๋นชิงไป๋สามารถหยิบออกมาให้ก้อนหนึ่งแก่เขาง่ายปานนั้น แสดงว่าในตัวอีกฝ่ายย่อมมีมากกว่านี้แน่นอน
เช่นนั้นยิ่งไม่ควรปล่อยไว้ หลังจากฆ่าเย่เจวี๋ยทิ้งเสร็จสรรพ ก็ถึงตาของคนที่ชื่ออวิ๋นชิงไป๋นั้นแล้ว!
ฉู่เทียนระเบิดหัวเราะลั่นอย่างมีความสุขยิ่ง